เกิดเป็นทุกข์


        ความทุกข์ประการต่างๆ มีเพราะการเกิดในแต่ละภพแต่ละชาติ และมีความจำความคิดที่วนเวียนทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนเป็นเรื่องราวให้ยึดถือ และก็หลงเป็นทุกข์ไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระธรรมจึงมีคุณค่าอย่างยิ่งที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้


        เคยได้ยินคำว่า “ทุกข์” ใช่ไหมคะ รู้จักกันทุกคนหรือยัง และพูดถึงทุกข์แล้วด้วย เกิดเป็นทุกข์ ได้ยินแค่นี้พอหรือ ไม่พอ ถ้าไม่เกิด จะมีอะไร อะไร อะไร อะไร ไหมคะ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดมาจากไหน เพราะมีสิ่งที่เกิดโดยบังคับบัญชาไม่ได้ จะไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะเกิดแล้ว แต่เกิดแล้วเป็นทุกข์อย่างไร จะต้องโยงไปถึงทุกข์ทั้ง ๘ ด้วย ไม่ใช่เพียงการเกิด ถ้าเกิดเห็น ไม่ใช่มีแต่เห็น แต่มีสภาพที่เกิดพร้อมกับเห็น คือ จำสิ่งที่ปรากฏ และถึงแม้จะจำสิ่งที่ปรากฏ และเห็นดับไปแล้ว สภาพจำที่เกิดพร้อมจิตขณะต่อไปก็จำไว้อีก

        เพราะฉะนั้น จากขณะแรกที่เกิดจำเฉพาะสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเลย แต่ธาตุนั้นที่เกิดพร้อมกัน คือ จิต และเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นขณะแรกสืบต่อจากจุติจิต จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนก็เกิดแล้ว ยังไม่รู้อะไรเลย แต่เริ่มวัฏฏะที่จะต้องวนเวียนทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจแล้ว เมื่อถึงวาระที่เมื่อมีตา ก็มีเห็น มีหู และก็มีได้ยิน เพราะตอนเกิดไม่มี มีชั่วขณะจิตที่ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา ขณะนั้นยังไม่มีตา ยังไม่มีหู มีแต่เพียงกลุ่มของรูปเล็กๆ ๓ กลุ่มเท่านั้นที่เกิดพร้อมกับจิต และเจตสิกที่เกิดเพราะกรรม และก็อยู่มาเรื่อยๆ ทุกวันๆ โดยจำเพิ่มขึ้น เริ่มวนเวียนทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุ คือ ทุกข์เกิดจากวัฏฏะเป็นมูล ในอดีตชาติก่อนเป็นอย่างนี้ ชาติหน้าก็เป็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีวัฏฏะ ไม่มีการเกิดขึ้นเลยของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่จะวนเวียนจนเป็นเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่รู้ความจนกระทั่งขณะที่จากโลกนี้ไป อะไรๆ ก็ไม่มีที่จะต้องเดือดร้อน แต่วัฏฏะไม่ได้เป็นอย่างนั้น วัฏฏะต้องเกิดสืบต่อวนเวียน จดจำ ปรุงแต่งทุกอย่าง จนกระทั่งเป็นแต่ละชาติๆ ไป

        ลองคิดถึงสัตว์เดรัจฉานก็เกิด มีตาเห็นแล้วมีใจคิด มีจำ มีทุกข์ไหมคะ เป็นทุกข์เพราะต้องแสวงหาอาหาร โดยมีวัฏฏะเป็นมูล ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นของสิ่งที่มีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเลย จะต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนไหม แต่มีกายก็เป็นทุกข์แล้วจะต้องแสวงหาอาหาร มีตาก็ต้องมองเห็นว่าอาหารเป็นอย่างไร มีใจก็ต้องคิดนึก ทั้งหมดถ้าดูโดยละเอียดจริงๆ แต่ละขณะที่เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไปผสมผสานจนเป็นทุกข์มากมายมหาศาลในแต่ละชาติ ซึ่งก็คือทุกข์ในวัฏฏะ ทุกข์ซึ่งมีวัฏฏะเป็นมูลในอดีต ไม่ให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ อนาคตก็เป็นอย่างนี้ แม้แต่ชาตินี้เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ต่างกันเลย

        เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า การฟังธรรมะละเอียดลึกซึ้ง และจริงที่จะต้องรู้ว่า ความไม่รู้มีมาก แม้แต่ฟังเรื่องทุกข์ก็เผินๆ ทุกข์เพราะเกิด เกิดแล้วเป็นอย่างไร ตอบได้เพียงแก่ ซึ่งหมายถึงรูปที่สืบต่อจากขณะปฏิสนธิเรื่อยมาตามกาล จนกระทั่งปรากฏความชราที่สามารถมองเห็นได้ ทางผิวพรรณ สุขภาพร่างกาย ทั้งหมดคือเกิดแล้วต้องแก่ แล้วต้องเจ็บ แล้วต้องตาย ว่างเปล่าหมดทั้งชาติ นอกจากอกุศลที่เกิดสะสมสืบต่อไปเหนียวแน่น และหนาแน่นที่ทำให้เป็นทุกข์ไปทุกชาติ บางคนในชาตินี้มีทุกข์มาก กำลังเดือดร้อน แต่เพียงแค่ขณะสุดท้ายของจิตเกิดแล้วดับไป ก็จำอะไรไม่ได้แล้ว ทุกข์มากมายมหาศาล ทุกข์ของคนนั้น ทุกข์ของคนนี้ ทุกข์ของเพื่อน ทุกข์ของญาติ ทั้งหมดไม่เหลือเลย

        เพราะฉะนั้น ระหว่างที่ยังไม่จากโลกนี้ไปก็จำในสิ่งที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไร เพียงชั่วเกิดขึ้นคิดแล้วก็ดับไป เห็นแล้วก็คิด ได้ยินแล้วก็คิด ทั้งหมดก็เป็นอย่างนี้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม

        โล่งใจขึ้นบ้างไหม ไม่มีอะไรเลย หลงเป็นสุขเป็นทุกข์ไป หลงจำไว้มั่นคงว่า ยังมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่อยู่ที่ไหน เพียงแค่จุติจิตเกิดแล้วดับไป ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย ถ้าได้เข้าใจพระธรรมก็รู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ในความหมายว่า สิ่งนั้นมี แต่ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพียงแต่มีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏชั่วคราวแล้วก็ดับไป ยับยั้งไม่ได้เลย และความจริงนี้สามารถรู้ด้วยตัวเอง เพราะเมื่อฟังแล้วเข้าใจขึ้น ละคลายความไม่รู้ สิ่งที่ปรากฏก็ทนต่อการสนใจ ใส่ใจ และเข้าใจขึ้น

        เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็คือเข้าใจขึ้น ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า ปัญญา ไม่ใช่ใครเลย แต่เข้าใจขึ้นๆ และขณะที่เข้าใจก็มีสภาพธรรมะอื่นซึ่งเป็นธรรมะฝ่ายดีเกิดร่วมด้วย ปรุงแต่งให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง และมั่นคงด้วยความผ่องใส สงบจากอกุศล

        เพราะฉะนั้น คุณของพระธรรมมากมายมหาศาล จากความไม่รู้เลยจนเป็นความเข้าใจละเอียดขึ้น จนกระทั่งไม่ประมาทในแต่ละคำ ไม่ใช่เพียงแค่เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูลในอดีตก็แจ่มแจ้ง เพราะว่าชาตินี้ก็เป็นอดีตของชาติหน้าแล้ว แจ่มแจ้งไหม และอนาคตต่อไปก็เป็นอย่างนี้ ต้องมีวัฏฏะเป็นมูลทำให้เกิดทุกข์ แม้แต่เพียงลืมตาเห็นก็แสวงหาสิ่งต่างๆ เพื่อร่างกาย เพื่อความเป็นอยู่

        คุณของพระธรรมทำให้พ้นจากความไม่รู้ และความทุกข์ได้ จนถึงดับกิเลสหมด


    หมายเลข 10318
    31 ธ.ค. 2566