การกระทำใดๆ ที่เราคิดว่าเรากระทำต่อบุคคลอื่น


        ผู้ถาม จิต เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีปัจจัยเกิด ก็มีความสงสัยว่าสังขารธรรมที่ปรุงแต่ง สภาพธรรมที่ให้ปรากฏกับปัจจัยทั้งหลาย ใช่อย่างเดียวกันหรือเปล่า

        สุ. ได้ยินคำว่า “ปัจจัย” บ่อยๆ หมายความถึงสภาพธรรมซึ่งอุปถัมถ์หรือทำให้สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดจะเกิดโดยที่ไม่มีปัจจัยไม่ได้เลย เพราะว่าปัจจัยเป็นสภาพธรรม ที่อุปถัมภ์หรือทำให้สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้น

        เพราะฉะนั้น ปัจจัย ก็คือสภาพธรรมนั่นเอง โดยทั่วไป เราจะรู้ได้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นต้องมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น แต่เราไม่รู้ปัจจัยนั้น ใช่ไหม อย่างเห็น ขณะเห็น ทรงแสดงว่า จิตเห็น ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดได้เลย แต่จิตเห็นนี้ก็มีเหตุที่จะให้เกิดขึ้นคือกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้ขณะนี้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าผู้รู้สามารถที่จะรู้ถึงปัจจัยที่ทำให้จิตเห็นในขณะนี้เกิด แต่ผู้ไม่รู้จะไม่รู้เลยว่าจิตเห็นที่เกิดในขณะนี้เกิดเพราะมีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมดมี ๒๔ ปัจจัย โดยมากก็เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดร่วมกัน แต่สภาพที่เป็นบัญญัติจะเป็นปัจจัยโดยประการเดียว คือ เป็นอารัมมณปัจจัย นอกจากนั้นแล้วก็เป็นสภาพธรรมทั้งนั้นที่เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมเกิดขึ้น เช่น ในขณะนี้ กรรมทำให้จักขุปสาทรูปเกิด นี่เราก็ไม่รู้อีก เราก็เกิดมามีตาแล้ว แต่ว่าแม้เกิดก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แม้จักขุปสาทเกิดก็ไม่รู้ว่าเกิดได้อย่างไร แต่ก็มีกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้จักขุปสาทรูปเกิด ซึ่งบางคนถ้ามีเจตนาที่จะประทุษร้ายคนอื่นเพื่อไม่ให้จักขุปสาทรูปเกิด ขณะนั้นเป็นอกุศลจิตที่มีกำลังที่ได้กระทำกรรมแล้ว เพราะฉะนั้นจะไม่เป็นปัจจัยให้จักขุปสาทรูปเกิด เพราะว่าต้องการไม่ให้จักขุปสาทรูปเกิด เพราะฉะนั้นการกระทำใดๆ ที่เราคิดว่าเราทำต่อคนอื่น ความจริงขณะนั้นเป็นอกุศลของเราเอง เมื่อเกิดแล้วไม่ไปไหนเลย เพราะว่าสภาพของจิตเกิดแล้วก็ดับไป แต่การดับของจิตขณะที่ดับไปนั้นก็เป็นอนันตรปัจจัย ทำให้จิต และเจตสิกขณะต่อไปเกิดขึ้น ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงปัจจัยนี้ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าจิตขณะหนึ่งดับ แต่ว่าอะไรมีอยู่ในจิตนั้นซึ่งเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ก็สืบต่อ สะสม เป็นอุปนิสัย หรือว่าอุปนิสสย เพราะฉะนั้นทุกอย่างแม้แต่เจตนาที่ไม่ต้องการที่จะให้คนอื่นมีตาเบียดเบียนเขา ขณะนั้นก็เป็นการสะสมของความต้องการที่จะไม่ให้มีจักขุปสาทรูปเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้เมื่อเป็นผลของกรรมนั้น ผู้นั้นก็ไม่มีจักขุปสาทรูป เราก็ไม่รู้เลย ทำไมบางคนมีจักขุปสาทรูป ทำไมบางคนไม่มีจักขุปสาทรูป และเมื่อมีจักขุปสาทรูปแล้วก็ใช่ว่าทุกคนจะเห็นเหมือนกัน แล้วแต่ว่ากรรมของใครเป็นปัจจัย เป็นผลของกุศลกรรมเมื่อไหร่ ก็เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ นี่ก็คือความหมายของปัจจัย ซึ่งไม่ใช่มีแต่เฉพาะปัจจัยเดียว

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 180


    หมายเลข 10157
    25 ม.ค. 2567