記憶標記記得經驗的所緣 - 佛法線上討論(中泰文對照)14

記憶標記記得經驗的所緣

ความทรงจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด


問: 我兒子最近去北京讀書了,早上起來看到兒子空蕩蕩的房間會覺得怪怪的,請問如何用佛法來解釋這種和家人之間強烈的親情聯結?

ผู้ถาม: ตอนนี้ลูกชายของกระผมได้เข้าไปเรียนที่ปักกิ่ง ตอนเช้าผมตื่นขึ้นมา มองไปที่ห้องของลูกชายเห็นแต่ห้องที่ว่าง ก็รู้สึกแปลกๆ ขอเรียนถามว่าจะใช้ธรรมะมาอธิบายความผูกผันกับครอบครัวที่แรงกล้าเช่นนี้ได้อย่างไรครับ

Jon: 請問你提到和兒子之間的聯結,所謂的聯結是什麼意思呢?

จอน: ขอเรียนถามว่าความผูกพันระหว่างคุณกับลูกชาย ที่เรียกว่า”ผูกพัน”หมายถึงอะไร?

問: 就是習慣吧。以前早上起來他都會在他的房間,但現在早上起來,房間空蕩蕩的,覺得怪怪的。

ผู้ถาม: คงจะเป็นความคุ้นเคย เพราะว่าเมื่อก่อนตอนที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ลูกชายเขาก็จะอยู่ในห้องของเขา แต่ตอนนี้ห้องนั้นว่างเปล่า เลยรู้สึกแปลกๆ

Jon: 你剛所描述的心裡狀態是善的還是不善的呢?

จอน: สิ่งที่คุณได้อธิบายออกมาเมื่อสักครู่นั้น เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศล?

問: 應該是貪愛比較多吧。

ผู้ถาม: โดยมากน่าจะเป็นไปด้วยโลภะ

Jon: 對父母來說有這樣子的經驗是正常的,這是貪愛的一種形式,在一整天中經常有的心裡狀態。不管在任何狀況下,貪愛的特徵都是一樣的。並不是對一個對象有很強烈的貪愛就認為應該要有智慧和覺知去瞭解,因為智慧和覺知也是因緣和合才會生起的。這也是為什麼阿姜會強調瞭解現在在那裡的是什麼。因為重點是瞭解法的特徵,而不是試著去分析一個情境 或狀況。

จอน: คนที่เป็นบิดามารดาก็ย่อมต้องพบกับสถานการณ์อย่างนี้เป็นเรื่องธรรดา นี่เป็นสภาพของโลภะอย่างหนึ่ง เป็นสภาพที่มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ทั้งวัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ลักษณะของโลภะเป็นโลภะเหมือนกันหมด ไม่ใช่ว่าพอเกิดโลภะอย่างแรงกล้ากับสิ่งนั้น ก็เลยคิดว่าควรจะมีปัญญาและสติไปเข้าใจในสิ่งนั้น เพราะว่าปัญญาและสติจะเกิดได้ ต้องมีเหตุปัจจัย นี่จึงเป็นเหตุที่ท่านอาจารย์สุจินต์มักจะเน้นย้ำบ่อยๆ ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีอยู่ตรงนั้นว่าคืออะไร เพราะว่าสิ่งที่สำคัญ คือการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม แต่ไม่ใช่การพยายามวิเคราะห์เรื่องราวหรือสถานการณ์

瞭解佛法不只是對自己有利也可以幫助到其它人。當對現在這一刻的真相有無明什麼都不知道的時候,無明會繼續累積,這會是之後無明再生起的因緣條件。

การเข้าใจธรรมะไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์แก่ ตนเองเท่านั้น แต่ยังสามารถเกื้อกูลบุคคลอื่นได้ด้วย เมื่อมีอวิชชาความไม่รู้สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ อวิชชาก็ย่อมสะสมต่อไป และเป็นเหตุปัจจัยให้อวิชชานั้นเกิดขึ้นอีก

Sarah: 剛剛你說因為兒子去讀書了所以房間空空的。我們要知道佛陀所指"世界是空的"是什麼意思? "世界是空的"指的是這些因緣和合生起的法 生起就滅了,沒有人沒有東西,這是佛陀所指的”空”。在想念兒子或是房間是空的時候,那個去想的是空的,被想的是因為之前的記憶才能夠去想。

ซาร่า: เมื่อสักครู่คุณกล่าวว่า เพราะลูกชายไปเรียนหนังสือห้องนั้นจึงว่าง เราควรรู้ว่าสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเกี่ยวกับ "โลกว่างเปล่า" นั้นมีความหมายว่าอย่างไร? "โลกว่างเปล่า"หมายความว่า ธรรมะที่เกิดจากเหตุปัจจัยทั้งหมด เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีคน ไม่มีสิ่งของ นี่คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง ตรัสถึงคำว่า "ว่างเปล่า" เวลาที่คิดถึงลูกชายหรือห้องนอนที่ว่างนั้น ที่คิดนั้นคือห้องว่าง สิ่งที่ถูกคิด มีเพราะสัญญาจำไว้ในก่อนหน้านั้นจึงสามารถคิดถึงเรื่องหรือสิ่งนั้นได้

不管是跟家人在一起還是自己一個人在森林裡,在那裡的真相都不會改變。在看的那一刻就只是眼識在看,在聽的那一刻就只是耳識在聽。日常生活中我們會尋求家人朋友的陪伴,但真正能夠給予支持的是能夠瞭解真相。開始去瞭解每一刻不管是什麼,都是生起就滅去,都是空的。

ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา หรือตัวเราไปอยู่ในป่าเพียงลำพังคนเดียว สิ่งที่มีจริงๆ ที่มีอยู่ตรงนั้นไม่เปลี่ยน ขณะที่เห็นขณะนั้นเป็นเพียงจิตเห็น ขณะที่ได้ยินขณะนั้นเป็นเพียงจิตได้ยิน ในชีวิตประจำวันเรามักจะโหยหาการมีครอบครัวหรือเพื่อนให้อยู่เคียงข้าง แต่สิ่งที่สามารถอยู่เคียงข้างได้จริงๆ คือ การเข้าใจความจริง การเริ่มที่จะเข้าใจว่าทุกขณะไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ว่างเปล่าทั้งหมด

既使當你兒子在房間時,看起來房間雖然不是空的,但事實上每一刻都只是法生起滅去,什麼都沒有留下,都是空的。這對很多人來說是不容易瞭解的真相。

แม้ขณะที่ลูกชายยังอยู่ในห้อง เหมือนกับว่าห้องไม่ได้ว่าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกขณะเป็นเพียงธรรมะที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ว่างเปล่าทั้งหมด นี่เป็นความจริงที่ยากสำหรับคนส่วนใหญ่จะเข้าใจได้

問: 有時候也能馬上想到佛法,可以瞭解到當時的狀況,知道就算去想也沒有用。

ผู้ถาม: ในบางครั้งก็สามารถนึกถึงธรรมะ สามารถที่จะเข้าใจสภาวะในขณะนั้นได้ รู้ว่าแม้ คิดก็ไม่มีประโยชน์

Sarah: 心會這麼去想也是因為因緣和合的。

ซาร่า: จิตที่จะคิดอย่างนั้นได้ก็เพราะมีเหตุปัจจัย

Jon: ”愛別離苦”是包括在佛陀所教導的第一聖諦裡。當分離成為悲傷生起的條件時也可以去瞭解法。思惟佛法並沒有一定的方式,依累積的習性會有所不同。

จอน: "พลัดพรากจากลา" ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เป็นสิ่งที่อยู่ในทุกขอริยสัจที่ ๑ เมื่อความพลัดพรากเป็นเหตุปัจจัยให้ความเศร้าโศกเกิดขึ้น สภาพนั้นก็เป็นสิ่งที่สามารถจะเข้าใจให้ถูกได้ การคิดพิจารณาธรรมะไม่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว จะแตกต่างกันไปตามอุปนิสัยของแต่ละคนที่ได้สะสมมา

問: 對佛法的瞭解並沒有給我帶來生活上特別的改變,但對個人的情緒有很大的幫助。

ผู้ถาม: การที่ได้เข้าใจธรรมะ ในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เป็นพิเศษ แต่โดยส่วนตัวแล้ว สามารถเกื้อกูลด้านอารมณ์สภาพจิตใจเป็นอย่างมาก

Jon: 但這不代表已經不會再有貪愛執取了,只是暫時還沒有條件生起。

จอน: แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีโลภะความติดข้องแล้ว เพียงแต่ชั่วขณะนั้นยังไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิด

Ajhan Sujin: 你有兒子嗎?

อ.สุจินต์: คุณมีลูกชายไหม?

問: 有的 是概念上有的兒子。

ผู้ถาม: มีครับ ลูกชายนั้นมีอยู่ในความคิด

Ajhan Sujin: 你兒子的眼識是你的眼識嗎?

อ.สุจินต์: จิตเห็นของลูกชายคุณใช่จิตเห็นของคุณหรือเปล่า?

問: 不是的。

ผู้ถาม: ไม่ใช่ครับ

Ajhan Sujin: 你兒子的手指會是你的手指嗎?

อ.สุจินต์: นิ้วมือของลูกชายของคุณเป็นนิ้วมือของคุณไหม?

問: 不是的。

ผู้ถาม: ไม่ใช่ครับ

Ajhan Sujin: 因為執取於是我的兒子,我兒子的手指頭,所以會覺得很重要。雖然你認為他是你的兒子,但你可以找得到你兒子有什麼部位真的是屬於你的嗎?

อ.สุจินต์: เพราะเหตุว่ามีการยึดมั่นว่าเป็นลูกชายของเรา เป็นนิ้วของลูกชายของเรา จึงมีความรู้สึกว่าสำคัญมาก ถึงแม้ว่าจะคิดว่าเขาคือลูกชายของเรา แต่คุณสามารถที่จะค้นหาเจอสักส่วนหนึ่งของลูกชายไหมที่จะกล่าวว่าส่วนนั้นเป็นของเรา?

問: 是的 那是一種比較牢固的觀念。

ผู้ถาม: ใช่ครับ นั่นเป็นความเห็นที่มั่นคงแนบแน่นอย่างหนึ่ง

Ajhan Sujin: 這是開始去瞭解到底有什麼是真的屬於我的? 如果不是持續地聞慧和思慧是不可能能夠真的捨離執取於在那裡的是某個東西某個人的想法。

อ.สุจินต์: นี่คือการเริ่มต้นที่จะเข้าใจ ว่ามีสิ่งใดที่เป็นของเราจริงๆ หรือเปล่า? ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมและคิดพิจารณาธรรม เป็นไปไม่ได้เลยที่จะละความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มีอยู่ตรงนั้น ก็จะยังคงคิดว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

有沒有可能現在這一刻你兒子就會死?

เป็นไปได้ไหมที่ลูกของคุณตายในขณะนี้?

問: 是的,有可能,因為是無常的。

ผู้ถาม: ใช่ครับ ก็เป็นไปได้ครับ เพราะเหตุว่าทุกอย่างไม่เที่ยง

Ajhan Sujin: 如果他已經不在這個世界了 你還會把他叫著是你的兒子嗎? 有沒有可能現在這一刻你也是會死,當死亡發生的時候,你的身體,你的思考,你的感受全都在哪裡呢? 真相就是死亡可以隨時發生,既使是現在這一刻。現在開始去瞭解真相是沒有任何人,沒有任何東西,都是因緣和合生滅的法。在執取的那一刻 不管執取的對象是什麼,那一刻的真相就只是去執取的。 當我們說沒有人沒有兒子的時候,那麼在那裡的到底是什麼? 現在最重要的就是什麼在那裡,因為很多人會忘了,能夠被知道的一定是現在,否則怎麼會知道是什麼在那裡。 如果不是瞭解現在在那裡的是什麼又怎麼能夠瞭解到真相呢?

อ.สุจินต์: ถ้าหากว่าลูกของคุณไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว เขายังเป็นลูกของคุณอยู่ไหม? เป็นไปได้ไหมที่เดี๋ยวนี้คุณก็ตายได้? ในขณะที่ความตายเกิดขึ้น ขณะนั้นร่างกายของคุณ ความคิดนึกของคุณ ความรู้สึกของคุณ ทั้งหมดนี้อยู่ที่ไหน? ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แม้ในขณะนี้ก็ได้ เริ่มที่จะเข้าใจในความจริงว่าไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ในขณะที่ยึดถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าสิ่งที่ยึดถือนั้นจะเป็นสิ่งใดก็ตาม ความจริงในขณะที่ยึดถือ ก็เป็นเพียงความยึดถือเท่านั้น ในขณะที่เรากล่าวว่าไม่มีคน ไม่มีลูกชาย แล้วมีอะไรกันแน่ที่อยู่ตรงนั้นในขณะนั้น? สิ่งที่สำคัญที่สุดเดี๋ยวนี้ที่ควรเข้าใจให้ถูกต้อง ก็คือมีอะไรที่อยู่ตรงนั้น? เพราะเหตุว่าส่วนใหญ่เรามักจะลืมไปว่า สิ่งที่จะรู้ได้แน่ๆ นั้นต้องเป็นเดี๋ยวนี้เท่านั้น มิฉะนั้นจะรู้สิ่งที่อยู่ที่นั่นได้อย่างไร ถ้าหากว่าไม่เข้าใจว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นคืออะไร แล้วจะไปเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงได้ อย่างไร?

現在有眼識嗎? 在那裡被看到的是什麼? 現在有什麼嗎?

เดี๋ยวนี้มีจิตเห็นไหม? สิ่งที่จิตเห็นนั้นคืออะไร? เดี๋ยวนี้มีอะไร?

問: 現在有想 有想念。

ผู้ถาม: เดี๋ยวนี้มีคิด มีความคิดถึง

Ajhan Sujin: 所以 是不是我在想?

อ.สุจินต์: เป็นเราคิดใช่ไหม?

問: 是的

ผู้ถาม: ใช่ครับ

Ajhan Sujin: 你能不能記得任何的事情呢?

อ.สุจินต์: คุณจำเรื่องราวต่างๆ ได้ไหม?

問: 是的 都是很多記憶。

ผู้ถาม: ใช่ครับ เป็นความทรงจำมากมาย

Ajhan Sujing: 那就請說一個記憶

อ.สุจินต์: ช่วยลองพูดมาสักหนึ่งความทรงจำ

問: 記得孩子在房間裡做作業

ผู้ถาม: จำได้ว่าลูกกำลังทำการบ้านอยู่ให้ห้อง

Ajhan Sujin: 那個太遠了 那現在有沒有眼識呢? 有沒有記得被看到的是什麼? 看到的是什麼?

อ.สุจินต์: นั่นเป็นสิ่งที่ไกลมาก ขอว่าเดี๋ยวนี้มีจิตเห็นไหม? จำได้ไหมว่าสิ่งที่ถูกเห็นนั้นคืออะไร? สิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร?

問: 看到的是桌子。

ผู้ถาม: สิ่งที่เห็นคือโต๊ะ

Ajhan Sujin: 眼識不會知道那個是桌子,是記憶標記所以才會記得那是桌子。所以在一天之中 有沒有哪一刻是沒有記憶這個法的。

อ.สุจินต์: จิตเห็นไม่อาจรู้ว่าเป็นโต๊ะ แต่เป็นสัญญาที่จำ จำได้ว่าสิ่งนั้นคือโต๊ะ ดังนั้นในวันหนึ่งวันหนึ่งจะมีสักขณะไหมที่ไม่มีสภาพธรรมที่จำ?

問: 對 每一刻都有。

ผู้ถาม: ใช่ครับ มีทุกๆ ขณะ

Ajhan Sujin: 記憶每一刻都有,在看的那一刻記憶標記看到的,在聽的那一刻記憶標記聽到的。所以在想起兒子的時候呢 那個時候的記憶是什麼?

อ.สุจินต์: ความจำมีอยู่ทุกขณะ ขณะที่เห็น ความจำก็ทรงจำในสิ่งที่ถูกเห็น ขณะที่ได้ยิน ความจำก็ทรงจำในสิ่งที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเวลาที่คิดถึงลูกชาย ขณะนั้นจำในอะไร?

問: 記得那個形象

ผู้ถาม: จำในรูปร่างลักษณะนั้น

Ajhan Sujin: 記憶可以標記記住那個樣子,比如說"兒子"這個名稱。在執取於那是我兒子的那一刻,是什麼在那裡? 如果從來沒有看過那個對象所緣,會有任何記憶嗎? 在你兒子出生之前,有任何我的兒子的概念嗎? 只有在他出生後,看到了,記憶標記記住了,才能回想起來這是我的兒子。去記住這是我的兒子 那個不是你,就只是一個法是記憶 (想心所) ,去標記記住曾經所經驗。所以要去瞭解這一刻的真相是什麼,記憶就只是一個法生起就是去記住不是你在記,

อ.สุจินต์: สัญญาสามารถจำลักษณะนั้นๆ ได้ เช่น “ลูกชาย” คำๆ นี้ในขณะที่ยึดถือในตัวลูกชายนั้น ขณะนั้นมีอะไรอยู่ที่นั่น? สมมุติว่าไม่เคยเห็นสิ่งนั้นมาก่อนเลย จะมีความจำใดๆ ได้ไหม? ก่อนที่ลูกชายของคุณจะเกิดมา ในความคิดของคุณมีการคิดที่เกี่ยวเนื่องถึงลูกชายไหม? จะมีก็ต่อเมื่อเขาเกิดมาแล้ว คุณเห็นแล้ว สัญญาจดจำไว้ จึงคิดได้ว่านี่คือลูกชายของเรา ที่จำได้ว่านี่คือลูกของเรานั้น ก็ไม่ใช่คุณ แต่เป็นเพียงสภาพธรรมะอย่างหนึ่งคือความจำ (สัญญาเจตสิก) จำในสิ่งที่เคยเป็นอารมณ์ ดังนั้นควรที่จะเข้าใจความจริงในขณะนี้ว่าคืออะไร? สัญญาเป็นเพียงสภาพธรรมะชนิดหนึ่งเท่านั้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ไปจำ ไม่ใช่คุณที่กำลังจำ

現在什麼被看到。

ขณะนี้กำลังเห็นอะไร?

問: 手機

ผู้ถาม: โทรศัพท์มือถือ

Ajhan Sujin: 不是你的兒子對嗎?

อ.สุจินต์: ไม่ใช่ลูกของคุณถูกไหม?

問: 對的

ผู้ถาม: ถูกต้องครับ

Ajhan Sujin: 為什麼不是你的兒子

อ.สุจินต์: เพราะอะไรจึงไม่ใช่ลูกชายคุณ?

問: 因為當下看到的是手機

ผู้ถาม: เพราะว่า ณ ขณะนั้นสิ่งที่เห็นคือโทรศัพท์

Ajhan Sujin: 這就是因為記憶能記得一個是兒子 一個是手機 這就是記憶這個功能,所以每一刻都有記憶在執行它功能。在看到手機的那一刻,那一刻你能夠把它改成你的兒子嗎?

อ.สุจินต์: นี่เป็นเพราะว่าสัญญาจำได้ว่าสิ่งหนึ่งคือลูกชาย อีกสิ่งหนึ่งเป็นโทรศัพท์ นี่คือหน้าที่ของสัญญา ดังนั้นสัญญาจึงทำกิจหน้าที่ของเขาในทุกๆ ขณะ ในขณะที่เห็นโทรศัพท์ ขณะนั้นจะเปลี่ยนให้เป็นลูกชายของคุณได้ไหม?

問: 不可以

ผู้ถาม: ไม่ได้

Ajhan Sujin: 不論是在想著你的兒子的那一刻還是沒有想著你的兒子的那一刻,每一刻都是因緣和合,在想著你兒子的時候是什麼在那裡?

อ.สุจินต์: ขณะที่คุณกำลังคิดถึงลูกชายของคุณ หรือขณะที่ไม่ได้คิดถึงลูกชายของคุณ ไม่ว่าจะเป็นขณะใดก็ตาม ทุกขณะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ในขณะที่กำลังคิดถึงลูกชาย มีอะไรในขณะนั้น?

問: 是想念。

ผู้ถาม: ความคิดถึง

Ajhan Sujin: 那一刻有沒有記憶 一定有的,那一刻的記憶會去想到別的嗎!當我們用思考去想這個名詞時候,我們不見得知道是什麼意思 那個時候一定有心,在思考的時候除了心還有記憶在那裡也還有很多的法一起生起不是單獨的。因此在那一刻有心有記憶有貪愛想念... 其實那一刻是有很多法各自在執行自己的功能,這個的瞭解可以幫助瞭解真相並不是我在想,每一刻都沒有我。在想著兒子的時候,心是去經驗的領導者,去經驗的不是記憶 不是貪愛,如果沒有記憶,能夠知道那是我兒子嗎?

อ.สุจินต์: ขณะนั้นมีสัญญาไหม? ต้องมีแน่นอน สัญญาในขณะนั้นจะไปคิดถึงเรื่องอื่นได้ไหม? ในขณะที่เรากำลังคิดพิจารณาคำๆ นี้ ก็ไม่เห็นว่าจะรู้เลยว่าแปลว่า อะไร แต่ขณะนั้นก็ต้องมีจิต ที่กำลังคิดพิจารณา นอกจากจะมีจิตแล้วยังมีสัญญาอยู่ที่นั่น และยัง มีสภาพธรรมะอื่นๆ เกิดพร้อมกันด้วย เพราะธรรมะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามลำพังเดี่ยวๆ เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีจิต มีสัญญา มีความคิดถึงด้วยโลภะ...ฯลฯ จริงๆ แล้วขณะนั้นมีสภาพธรรมะมากมายเกิดขึ้นกระทำกิจของตน การเข้าใจแบบนี้จะช่วยให้เข้าใจความจริงว่า ไม่ใช่เราที่คิด ทุกขณะนั้นไม่มีเราเลย ในขณะที่คิดถึงลูกชาย จิตเป็นใหญ่เป็นประทานในการรู้ ที่รู้นั้นไม่ใช่สัญญา ไม่ใช่โลภะ หากว่าไม่มีสัญญาจะรู้ได้ไหมว่านั่นคือลูกชายของเรา?

Ajhan Sujin: 這不是指示你不要去想念兒子,而是這是個機會瞭解那一刻在那裡法的特徵。真相就是真相沒有誰能夠改變,在任何情況下,包括當你在思念兒子時都是個機會可以瞭 解法的真相。

อ.สุจินต์: ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามไม่ให้คิดถึงลูกชาย แต่นี่เป็นโอกาสที่จะเข้าใจลักษณะของธรรมะในขณะนั้น ความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด รวมถึงในขณะที่คิดถึงลูกชายด้วย ก็เป็นโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรม

從出生到現在有多少的貪愛,不僅僅是對兒子的貪愛執取。貪愛執取的對象所緣可能不一樣,但貪愛的特徵都是一樣的,貪愛的特徵不會被改變。所以真相要誠實否則是不可能真的瞭解真相, 所以在想著兒子的那一刻是愉快的還是不愉快的

ตั้งแต่เกิดมาจนถึงขณะนี้มีโลภะมากมายแค่ไหน ไม่เพียงแต่เฉพาะโลภะที่ยึดถือในตัวลูกชายเท่านั้น วัตถุที่เป็นที่ตั้งหรือที่โลภะยึดถือนั้นอาจจะแตกต่างกันออกไป แต่ลักษณะของโลภะเหมือนกันหมด ลักษณะของโลภะไม่เปลี่ยน ดังนั้นเมื่อเป็นความจริง ก็ต้องตรง มิฉะนั้นก็ไม่อาจที่จะเข้าใจความจริงจริงๆ ได้ ขณะที่คิดถึงลูกชายขณะนั้นมีความสุขหรือไม่มีความสุข?

問: 是不愉快的

ผู้ถาม: ไม่มีความสุขครับ

Ajhan Sujin: 一直都是不愉快嗎?

อ.สุจินต์: ไม่มีความสุขตลอดเลยใช่ไหม

問: 沒有,很快就過去了

ผู้ถาม: ไม่ครับ สักแป๊บก็ผ่านไป

Ajhan Sujin: 那是因緣條而生起 ,沒有誰能操 控命令它讓它生起,開始去認識真相的價值是什麼,瞭解這一刻真相的益處是什麼?瞭解也不是你 這是真的嗎?

อ.สุจินต์: นั่นเป็นเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิด ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาให้เกิดได้ เริ่มที่จะรู้จักคุณค่าของความจริงคืออะไร ประโยชน์ของการเข้าใจความจริงในขณะนี้คืออะไร ความเข้าใจก็ไม่ใช่คุณ จริงไหม?

問: 是真的。

ผู้ถาม: จริงครับ

Ajhan Sujin: 現在有記憶嗎?

อ.สุจินต์: ขณะนี้มีสัญญาไหม?

問: 有的

ผู้ถาม: มีครับ

Ajhan Sujin: 什麼在想?

อ.สุจินต์: อะไรที่คิด?

問: 是心與 想心所 思心所。

ผู้ถาม: คือจิต และสัญญาเจตสิก เจตนาเจตสิก

Ajhan Sujin: 我們要很清楚的區分在那裡的是什麼,如果還把它混在一起就會模模糊糊不明白,去想的也是有它的特徵並沒有我,請問去想的是什麼?

อ.สุจินต์: เราต้องแยกให้ชัดเจนว่าสิ่งที่อยู่ที่นั่นคืออะไร หากยังรวมกันอยู่อย่างนี้ ก็จะคลุมเครือไม่กระจ่าง ที่”คิด”นั้นก็มีลักษณะเฉพาะของเขาไม่ใช่เรา ที่คิดนั้นคืออะไร?

問: 去想的是心與心所

ผู้ถาม: ที่คิดนั้นคือจิตและเจตสิก

Ajhan Sujin: 心生起去經驗一個對象然後就滅去,在五個感官門經驗的只是色法,所以在意門的才是想,從出生到死亡我們都不會注意到那個去經驗 "心",都比較去注意那個被經驗的"色",因為 心丶心所丶 色法丶是不一樣的法,我們有沒有基本的清楚知道它們是不一樣的法,不只是文字上的知道。 心會去貪愛喜歡什麼嗎?

อ.สุจินต์: จิตเกิดขึ้นต้องรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วดับไป สิ่งที่จิตสามารถรู้ได้ทางปัญจทวารมีเพียงรูปเท่านั้น ดังนั้นการคิด จึงเกิดทางมโนทวาร ตั้งแต่เกิดจนตายเราไม่เคยใส่ใจ"จิต"ซึ่งเป็นสภาพรู้ ส่วนใหญ่จะสนใจในสิ่งที่ถูกรู้ เช่น"รูป" เพราะเหตุว่าจิต เจตสิก รูป คือสิ่งที่มีจริง เรามีความเข้าใจในพื้นฐานตรงนี้อย่างชัดเจนหรือยังว่าเขาคือสภาพธรรมะที่แตกต่างกัน? ไม่ใช่รู้เพียงพยัญชนะเท่านั้น จิตนั้นจะติดข้องพอใจในอะไรได้ไหม?

問: 心不會去喜歡。

ผู้ถาม: จิตไม่อาจไปพอใจได้

Ajhan Sujin: 對了 那心會去瞋恨 討厭嗎?

อ.สุจินต์: ถูกต้อง แล้วจิตนั้น จะไปโกรธ ไปไม่พอใจ ไปไม่ชอบได้ไหม?

問: 不會。

ผู้ถาม: ไม่ได้

Ajhan Sujin: 這就是開始去瞭解在日常生活中所出現的法,這就是你有沒有兒子的答案,只是這一世,那過去世 ,未來世呢,是不是還會有很多兒子,我們要開始區分正確的瞭解和不正確的瞭解。正確的瞭解是心嗎?

อ.สุจินต์: นี่คือการที่เริ่มที่จะเข้าใจสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน นี่คือคำตอบที่ว่าคุณมีลูกชายหรือไม่? ก็เพียงแค่ชาตินี้ชาติแล้ว ชาติต่อๆ ไปก็จะยังคงมีลูกชายอีกมากมาย เราต้องแยกแยะให้ชัดเจนว่าอะไรคือเข้าใจถูกและอะไรคือเข้าใจผิด? เข้าใจถูกคือจิตใช่ไหม?

問: 是智慧心所

ผู้ถาม: คือปัญญาเจตสิกครับ

Ajhan Sujin: 我問的問題是正確的瞭解是心嗎?要很準確很有自信的回答

อ.สุจินต์: สิ่งที่ดิฉันถามคือ เข้าใจถูกต้องคือจิตใช่ไหม? ต้องตอบอย่างมั่นใจและตรง

問: 不是

ผู้ถาม: ไม่ใช่

Ajhan Sujin: 那现在什么被知道?

อ.สุจินต์: แล้วเดี๋ยวนี้อะไรคือสิ่งที่ถูกรู้?

問: 就是心經驗的對象所緣

ผู้ถาม: สิ่งที่จิตรู้ในอารมณ์นั้น

Ajhan Sujin: 還有嗎 是不是忘了還有意門可以去經驗的那個心,講這些事件是容易的但要真的瞭解所講的這些事件是不容易的,如果一刻接著一刻都還混在一起,那能夠真的瞭解什麼是心嗎,沒有"心"這個世界就沒有什麼可以出現,心的真相就只是生起去經驗一個對象 認知一個對象就只是認知而已 因此我們來討論能夠經驗的法和不能去經驗的法,每個法都是很細微,很短暫然而就過去了,因為法快速的生滅,所以真正的出現並不是它本來是樣子,我們不用"心"這個名詞也可以,總之每一刻有什麼出現那是因為有一個法在經驗也就是心,如果沒有心是沒有什麼可以出現的,因此"心"不是記憶 (想心所) ,記憶也不是貪愛,一個法一 個法弄清楚,知道法是法 不是我 沒有我,這就是慢慢植入真相是什麼?不管是思念兒子的時候還是,在想著別的事情的時候都只是法在生滅而已,現在在生起的法並沒有被智慧瞭解而出現,不管在那裡出現的是什麼法智慧的累積都可以去知道一切正在出現的法,忠於真相的誠實波羅蜜是不可或缺的要瞭解真相,否則是不可瞭解現在正在出現的真相,只有正在出現的法才能夠被智慧瞭解。

อ.สุจินต์: ยังมีอีกไหม? ลืมไปแล้วใช่ไหมว่ายังมีมโนทวารซึ่งเป็นสภาพรู้ทางใจด้วย? การพูดเรื่องนั้นง่าย แต่จะเข้าใจในสิ่งที่พูดนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าแต่ละขณะๆ ที่สืบต่อกันยังรวมกันอยู่ แล้วจะเข้าใจ"จิต"จริงๆ ได้อย่างไร? ถ้าไม่มี"จิต"โลกนี้ก็ไม่มีอะไรปรากฎ ความจริงของจิต คือเกิดขึ้นรู้ในอารมณ์นั้น รู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็คือเพียงรู้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้เราจึงสนทนากันเรื่องสิ่งที่รู้ได้และสิ่งที่รู้ไม่ได้ ธรรมะแต่ละอย่างนั้นละเอียดมาก แสนสั้นแล้วก็ผ่านไป เพราะเหตุว่าธรรมะเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฎจึงไม่ใช่ตัวจริงของสิ่งที่มีจริงๆ

เราไม่ใช้คำว่า"จิต"คำนี้ก็ได้ เอาเป็นว่าทุกขณะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฎ ก็เพราะว่ามีสภาพรู้กำลังรู้นั่นเอง ซึ่งก็คือจิต หากไม่มีจิต ก็จะไม่มีสิ่งใดปรากฎเลย เพราะฉะนั้น"จิต"ไม่ใช่ความจำ (สัญญาเจตสิก) และความจำก็ไม่ใช่โลภะ ธรรมะแต่ละอย่าง ทีละหนึ่งต้องแยกให้ชัดเจน รู้ว่าธรรมะ คือธรรมะ ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา นี่คือการค่อยๆ ปลูกฝังว่าความจริงคืออะไร? ไม่ว่าจะกำลังคิดถึงลูกชายหรือคิดถึงเรื่องอื่นๆ ขณะนั้นก็เป็นเพียงธรรมะที่เกิดดับเท่านั้นเอง ธรรมะที่กำลังเกิดขณะนี้ยังไม่ได้ปรากฎด้วยดีกับปัญญา ไม่ว่าอะไรปรากฎ ปัญญาที่สะสมไว้สามารถรู้ได้ทุกอย่างที่ปรากฎตามความเป็นจริงของธรรมะนั้นๆ สัจจบารมีที่ตรงต่อความจริงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการที่จะเข้าใจความจริง มิฉะนั้นก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฎเดี๋ยวนี้ มีเพียงสิ่งที่กำลังปรากฎเท่านั้นที่ปัญญาสามารถจะรู้ได้



敬感恩阿姜舒淨 (Ajhan Sujin Boriharnwanaket) 的恩惠
น้อมเคารพในคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

謹以此施法之功德與我們在輪迴裡每一世的父母 師長 同修 親友 仙人 各位讀者及其他一切眾生分享
กุศลในการนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศแด่บิดามารดาในทุกภพทุกชาติ ครูบาอาจารย์ ญาติมิตรสหาย เทวดา และผู้อ่าน รวมถึงสัตว์ทั้งหลาย

By line group Just Dhamma

หมายเหตุ

ที่มา : การสนทนาธรรมออนไลน์ระหว่างท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กับ ชาวจีน

สรุปใจความภาษาจีน โดย 陳品彤 เฉินผิ่นถง (คุณแพท)
แปลภาษาไทย โดย คุณปาล สว่างพัฒนกุล (黃如蓮)


Topic 344