พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๗. เปสการิยวิมาน ว่าด้วยเปสการิยวิมาน

 
บ้านธัมมะ
วันที่  15 พ.ย. 2564
หมายเลข  40263
อ่าน  337

[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 145

๑. อิตถิวิมานวัตถุ

ปีฐวรรคที่ ๑

๑๗. เปสการิยวิมาน

ว่าด้วยเปสการิยวิมาน


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 48]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 145

๑๗. เปสการิยวิมาน

ว่าด้วยเปสการิยวิมาน

[๑๗] ท้าวสักกเทวราชตรัสถามว่า

วิมานนี้งดงามส่องแสงรุ่งเรืองประจำ มีเสาแก้วไพฑูรย์ สดใสไร้มลทิน ต้นไม้ทองคำปกคลุมโดยรอบ เป็นสถานที่เกิดด้วยผลกรรมของเรา เทพอัปสรที่มีอยู่ก่อนตั้งแสนเหล่านั้นก็เกิดในวิมานนั้น เพราะกรรมของตนเอง.

เจ้าเป็นผู้เพรียบพร้อมด้วยบริวารยศก็เข้าอยู่ ส่งรัศมีข่มเทวดาที่เกิดก่อน พระจันทร์ราชาแห่ง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 146

ดาวนักษัตรส่งข่มหมู่ดาวฉันใด เจ้าเมื่อส่งแสงก็รุ่งโรจน์ข่มเทพอัปสรทั้งหมด โดยบริวารยศฉันนั้นเหมือนกัน ดูก่อนเทพธิดาผู้มีพักตร์ชวนพิศ เจ้ามาจากภพไหนจึงได้มาถึงภพของเรานี้ เราทั้งหมดไม่อิ่มด้วยการพบเจ้าเหมือนเทพเจ้าชาวไตรทศรวมหมดทั้งพระอินทร์ ไม่อิ่มด้วยการพบองค์พระพรหมฉะนั้น.

เทพธิดา อันท้าวสักกเทวราชตรัสถามอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงกล่าวสองคาถาว่า

ข้าแต่ท่านท้าวสักกะ พระองค์ตรัสถามข้าพระบาทถึงปัญหาอันใดว่า จุติมาจากภพไหนจึงได้มาถึงภพของเรานี้ กรุงพาราณสี เป็นราชธานีของแคว้นกาสี เมื่อก่อนข้าพระบาทอยู่ในนครนั้น เป็นธิดานายช่างหูก เป็นผู้มีใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เชื่อมั่นโดยส่วนเดียว ไม่สงสัย มีสิกขาบทอันได้สมาทานแล้วไม่ขาดวิ่น ได้บรรลุอริยผลเป็นผู้แน่นอนในธรรม คือความตรัสรู้ เป็นผู้มีอนามัย.

ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะทรงอนุโมทนาบุญสมบัติของเทพธิดานั้น จึงตรัสกึ่งคาถาว่า

ดูก่อนเทพธิดาผู้รุ่งเรืองด้วยยศโดยธรรม มีใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เชื่อมั่นโดยส่วนเดียว ไม่สงสัย ผู้มีสิกขาบทไม่ขาด

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 147

วิ่น บรรลุอริยผล ผู้แน่นอนในธรรมคือความตรัสรู้ ผู้มีอนามัย เราขอแสดงความยินดีต่อบุญสมบัตินั้นของท่าน และการมาดีของท่าน.

จบเปสการิยวิมาน

อรรถกถาเปสการิยวิมาน

เปสการิยวิมาน มีคาถาว่า อิทํ วิมานํ รุจิรํ ปภสฺสรํ เป็นต้น. เปสการิยวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร? พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน กรุงพาราณสี สมัยนั้น เวลาเช้า ภิกษุเป็นอันมากนุ่งแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงพาราณสี. ภิกษุเหล่านั้นเดินเข้าไปใกล้ประตูเรือนของพราหมณ์ผู้หนึ่ง ในเรือนหลังนั้นธิดาของพราหมณ์ ชื่อเปสการี กำลังเก็บเหาจากศรีษะของมารดา ใกล้กับประตูเรือน เห็นภิกษุเหล่านั้นกำลังเดินไป จึงพูดกะมารดาว่า แม่จ๋า นักบวชเหล่านี้ ยังหนุ่มแน่นอยู่ในปฐมวัย สะสวย น่าดูน่าชม ละเอียดอ่อน ชะรอยจะสูญเสียอะไรบางอย่างไปกระมัง เหตุไรหนอจึงพากันบวชในวัยนี้นะแม่นะ มารดาพูดกะธิดาว่า ลูกเอ๋ย มีโอรสเจ้าศากยะออกผนวชจากราชตระกูลศากยะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นในโลก. พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง นักบวชเหล่านี้ฟังธรรมของ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 148

พระองค์แล้ว ก็พากันออกบวชจ้ะลูก.

สมัยนั้น อุบาสกผู้หนึ่งบรรลุผลรู้แจ่มแจ้งคำสั่งสอน เดินไปตามถนนนั้น ได้ยินคำกล่าวนั้นแล้ว ก็เข้าไปหาสตรีทั้งสองนั้น. ขณะนั้น พราหมณ์จึงกล่าวกะอุบาสกผู้นั้นว่า ท่านอุบาสก เดี๋ยวนี้กุลบุตรจำนวนมาก สละโภคสมบัติเป็นอันมาก สละเครือญาติใหญ่ๆ พากันบวชในลัทธิสมัยของพระศากยเจ้า กุลบุตรเหล่านั้นเห็นอำนาจประโยชน์อะไรหนอ จึงพากันบวช อุบาสกฟังคำนั้นแล้วกล่าวว่า เห็นโทษในกามทั้ง หลาย เห็นอานิสงส์ในการออกบวช แล้วจึงขยายความนั้นตามสมควรแก่กำลังความรู้ของตนโดยพิสดาร พรรณนาคุณของพระรัตนตรัย ประกาศคุณานิสงส์ของศีล ๕ ทั้งปัจจุบัน ทั้งภายหน้า ลำดับนั้น ธิดาของพราหมณ์จึงถามอุบาสกนั้นว่า แม้เราก็สามารถตั้งอยู่ในสรณะและศีล แล้วบรรลุคุณานิสงส์ที่ท่านกล่าวได้หรือ อุบาสกนั้นกล่าวว่า ธรรมเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสทั่วไปแก่คนทุกคน เหตุไรจะไม่สามารถเล่า แล้วได้ให้สรณะและศีลแก่นาง ธิดาพราหมณ์นั้นรับสรณะ สมาทานศีลแล้ว ถามอีกว่า กิจที่ควรทำยิ่งกว่านี้มีอีกไหม. อุบาสกนั้นกำหนดว่า นางเข้าใจ รู้ว่านางคงจักพรักพร้อมด้วยอุปนิสัย เมื่อจะประกาศสภาวะของร่างกาย จึงบอกกรรมฐานคืออาการ ๓๒ ให้นางเกิดคลายความรักในกายสูงขึ้นไปก็ให้สลดใจด้วยธรรมกถาที่ประกอบด้วยไตรลักษณ์ มีความไม่เที่ยงเป็นต้น บอกทางวิปัสสนาให้แล้วก็ไป. ธิดาของพราหมณ์นั้น สนใจทุกคำที่อุบาสกนั้นกล่าวนัยไว้แล้ว มีจิตมั่นคงในการใส่ใจปฏิกูลสัญญา เริ่มตั้งวิปัสสนา เพราะความพรักพร้อมแห่งอุปนิสัยไม่นานนักก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล สมัยต่อมา นางก็ตายไปบังเกิดเป็น

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 149

บริจาริกาของท้าวสักกเทวราช มีบริวารถึงแสนหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชเห็นนางแล้ว เกิดอัศจรรย์จิตมีหฤทัยบันเทิง จึงตรัสถามถึงกรรมที่นางทำด้วย ๔ คาถาว่า

วิมานนี้น่ารัก มีรัศมีสว่างเป็นประจำ มีเสาแก้วไพฑูรย์ เนรมิตไว้ดีแล้ว ต้นไม้ทองทั้งหลายปกคลุมโดยรอบ เป็นสถานที่เกิดด้วยวิบากกรรมของเรา อัปสรที่มีอยู่ก่อนเหล่านี้ เกิดอยู่แล้วในที่นั้นจำนวนแสนหนึ่ง ด้วยกรรมของตนเอง ตัวเจ้าผู้มียศก็เกิดในที่นั่น ส่องรัศมีข่มเหล่าเทวดาเก่าๆ ดวงจันทร์ ราชาแห่งดวงดาว รุ่งโรจน์ข่มหมู่ดาว ฉันใด ตัวเจ้ารุ่งเรืองอยู่ด้วยยศก็รุ่งโรจน์ ข่มอัปสรหมู่นี่ ฉันนั้นเหมือนกัน.

ดูก่อนเทพธิดาผู้มีพักตร์ชวนพิศ ตัวเจ้ามาจากไหน จึงมาถึงภพนี้ของเรา พวกเราทุกองค์ไม่อิ่มด้วยการเห็นเจ้าเลย เหมือนทรงเทพชั้นไตรทศ พร้อมด้วยองค์อินทร์ ไม่อิ่มด้วยการเห็นองค์พระพรหม ฉะนั้น.

ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า อิทํ อิมานํ ในคาถานั้น ทรงหมายเอาวิมานของพระองค์ ซึ่งเทวดานั้นเกิดแล้ว. บทว่า สสตํ ประกอบ ความว่า น่ารัก มีรัศมีสว่างทุกเวลา อีกนัยหนึ่ง บทว่า สสตํ ได้แก่ แผ่ไปโดยชอบ อธิบายว่า กว้างขวางอย่างยิ่ง. บทว่า สมนฺตโมตฺถตํ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 150

ได้แก่ ปกคลุมโดยรอบ. ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า านํ ทรงหมายเอา วิมานนั่นเอง. จริงอยู่วิมานนั้น เรียกว่า ฐานะ สถาน เพราะเป็นที่คนทำบุญดำรงอยู่. บทว่า กมฺมวิปากสมฺภูตํ ได้แก่ เกิดโดยเป็นวิบากของกรรม หรือเกิดพร้อมกับวิบากของกรรม. บทว่า มมํ พึงประกอบเข้ากับสองบทว่า อิทํ มม านํ มม กมฺมวิปากสมฺภวํ สถานของเรานี้เกิดด้วยวิบากกรรมของเรา.

ในคาถาว่า ตตฺรูปปนฺนา มีความย่ออย่างนี้ว่า เหล่าบุพเทวดา เพราะเกิดขึ้นก่อน ชื่อว่าอัปสรมีอยู่ก่อนเหล่านี้ จำนวนแสนหนึ่งเข้าถึง คือเกิดขึ้นในวิมานนั้น คือในวิมานตามที่กล่าวแล้วนั้น. บทว่า ตุวํสิ ได้แก่ ตัวเจ้าเป็นผู้เข้าถึง เกิดขึ้นด้วยกรรมของตนเอง. บทว่า ยสสฺสินี ได้แก่ ผู้พรักพร้อมด้วยปริวารยศ อธิบายว่า ตัวเจ้าส่องรัศมีรุ่งโรจน์ตั้งอยู่ด้วยกรรม คือ อานุภาพกรรมของตนนั้นนั่นแล.

บัดนี้ ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะทรงประกาศรัศมีนั้นด้วยอุปมา จึงตรัสคาถาว่า สสี เป็นต้น. ความของคาถานั้นว่า ดวงจันทร์ได้ชื่อว่า สสี เพราะประกอบด้วยตรารูปกระต่าย และชื่อว่าราชาแห่งดวงดาว เพราะมีคุณยิ่งกว่าดวงดาวทั้งหลาย ย่อมรุ่งโรจน์รุ้งร่วง ข่มงำดวงดาวทุกหมู่ ฉันใด ตัวเจ้าเมื่อรุ่งเรืองด้วยยศของตน ก็รุ่งโรจน์โชติช่วงล้ำอัปสรเทพกัญญาหมู่กลุ่มนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน ก็คำว่า อิมา และ อิมํ เป็นเพียงนิบาต. แต่เกจิอาจารย์กล่าวว่า เจ้ารุ่งโรจน์เหมือนราชาแห่งดวงดาว รุ่งโรจน์ล้ำหมู่ดาวฉะนั้น.

บัดนี้ ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะตรัสถามถึงภพก่อนของเทวดานั้น และบุญที่เทวดานั้นทำไว้ในภพนั้น จึงตรัสถามว่า กุโต นุ อาคมฺม

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 151

เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุโต นุ อาคมฺม ความว่า ดูก่อนนวลนางผู้ดูไม่จืดเลย คืองามทุกส่วนสัด เพราะบุญกรรมอะไรหนอเป็นตัวเหตุ ตัวเจ้าจึงมาเข้าถึง คือเข้าถึงโดยการถือกำเนิดยังภพของเรานี้. ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะทรงประกาศความที่ตรัสว่า อโนมทสฺสเน นี่แล ด้วยอุปมา จึงตรัสว่า พฺรหฺมํว เทวา ติทสา สหินฺทกา สพฺเพน ตปฺปามเส ทสฺสเนน ตํ. ในคาถานั้น ความว่า ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ที่ชื่อว่า สหินทกะ เพราะพร้อมด้วยองค์อินทร์ เมื่อพบท้าวสหัมบดีพรหม หรือสนังกุมารพรหมที่เสด็จถึง ย่อมไม่อิ่มด้วยการเห็น ฉันใด พวกเราทวยเทพทุกองค์ย่อมไม่อิ่มด้วยการเห็นเจ้า ฉันนั้น.

ก็เทวดาองค์นั้น ถูกท้าวสักกะจอมทวยเทพตรัสถามอย่างนี้แล้ว เมื่อจะประกาศความนั้น จึงกล่าว ๒ คาถาว่า

ข้าแต่ท่านท้าวสักกะ พระองค์ทรงพระกรุณาตรัสถามข้าพระบาทถึงปัญหาข้อนี้ได้ว่า เจ้าจุติจากที่ไหนจึงมา ณ ที่นี้ ข้าพระบาทขอทูลตอบปัญหาข้อนั้นว่า ราชธานีของแคว้นกาลีมีอยู่ชื่อว่า พาราณสี ข้าพระบาทเกิดในราชานี้นั้น มีชื่อว่า เปสการี เพคะ.

ข้าพระบาทมีใจเลื่อมใส มีความเชื่อมั่นส่วนเดียว ไม่สงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ รักษาสิกขาบทไม่ขาดวิ่น บรรลุผลแล้ว เป็นผู้แน่นอนในธรรม คือการตรัสรู้ ไม่มีโรคภัย.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 152

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยเมตํ ความว่า ปัญหานั้นใด. บทว่า อนุปุจฺฉเส ได้แก่ พระองค์ตรัสถามโดยอนุกูล. บทว่า มมํ แปลว่า ข้าพระบาท. ปุรตฺถิ ตัดบทว่า ปุรํ อตฺถิ แปลว่า บุรีมีอยู่. บทว่า กาสีนํ ได้แก่ แคว้นกาสี. เทวดาระบุนามตนในอัตภาพก่อนว่า เปสการี ประกาศบุญของตนด้วยบทว่า พุทฺเธ จ ธมฺเม จ เป็นต้น.

ท้าวสักกะ เมื่อจะทรงอนุโมทนาบุญสมบัติและทิพย์สมบัตินั้นของนาง จึงตรัสว่า

ดูก่อนนวลนางผู้มีใจเลื่อมใส มีความเชื่อมั่นส่วนเดียว ไม่สงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ รักษาสิกขาบทไม่ขาดวิ่น บรรลุผลแล้ว เป็นผู้แน่นอนในธรรมคือการตรัสรู้ ไม่มีโรคภัย เราขอแสดงความยินดีสมบัติของเจ้า และการมาดีของเจ้า เจ้ารุ่งโรจน์ด้วยธรรมและยศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตนฺตฺยาภินนฺทามเส ได้แก่ เรายินดีอนุโมทนาสมบัติแม้ทั้งสองของเจ้านั้น. บทว่า สฺวาคตญฺจ เต ได้แก่ และการมาในที่นี้ของเจ้า ที่ชื่อว่า สวฺาคต มาดี เป็นที่จำเริญสติและโสมนัสของเรา. คำที่เหลือมีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.

ท้าวสักกเทวราชตรัสบอกเรื่องนั้น ถวายท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ. พระเถระจึงกราบทูลถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำความข้อนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง จึงทรงแสดงธรรมแก่บริษัทที่ประชุมกัน. เทศนานั้น เกิดประโยชน์แก่โลกพร้อมทั้งเทวโลกแล.

จบอรรถกถาเปสการิยวิมาน

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 153

จบอรรถกถาปีฐวรรคที่ ๑ ประดับด้วยเรื่อง ๑๗ เรื่อง ในวิมานวัตถุ แห่งปรมัตถทีปนี้ อรรถกถาขุททกนิกาย ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถาอิตถีวิมาน

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. ปฐมปีฐวิมาน ๒. ทุติยปีฐวิมาน ๓. ตติยปีฐวิมาน ๔. จตุตถปีฐวิมาน ๕. กุญชรวิมาน ๖. ปฐมนาวาวิมาน ๗. ทุติยนาวาวิมาน ๘. ตติยนาวาวิมาน ๙. ปทีปวิมาน ๑๐. ติลทักขิณาวิมาน ๑๑. ปฐมปติพพตาวิมาน ๑๒. ทุติยปติพพตาวิมาน ๑๓.ปฐมสุณิสาวิมาน ๑๔. ทุติยสุณิสาวิมาน ๑๕ อุตตราวิมาน ๑๖. สิริมาวิมาน ๗. เปสการิยวิมาน และอรรถกถา.