พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๖. ปฐมนาวาวิมาน ว่าด้วยนาวาวิมานที่ ๑

 
บ้านธัมมะ
วันที่  15 พ.ย. 2564
หมายเลข  40252
อ่าน  315

[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 63

๑. อิตถิวิมานวัตถุ

ปีฐวรรคที่ ๑

๖. ปฐมนาวาวิมาน

ว่าด้วยนาวาวิมานที่ ๑


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 48]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 63

๖. ปฐมนาวาวิมาน

ว่าด้วยนาวาวิมาน ๑

[๖] พระโมคคัลลานะถามว่า

ดูก่อนเทพนารี ท่านขึ้นนั่งนาวาวิมานอันมุงบังด้วยทอง ลงเล่นสระโบกขรณี หักดอกปทุมด้วยมือ กูฏาคารนิเวศของท่านจัดไว้พิมพ์เดียวกัน ประหนึ่งเนรมิตเป็นส่วนสัด เมื่อส่องแสงก็สว่างไปโดยรอบทั้งสี่ทิศ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน อนึ่ง โภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ดูก่อนเทพผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทวดานั้นถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว ดีใจ ได้พยากรณ์ปัญหา โดยอาการที่ท่านถามถึงกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

ในชาติก่อน ครั้งเห็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์ในมนุษยโลก ได้เห็นภิกษุทั้งหลายผู้ลำบากกายกระหายน้ำ จึงขวนขวายถวายน้ำฉัน อันว่าผู้ใดแลได้ขวนขวายถวายน้ำฉันแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ลำบากกาย กระหายน้ำมา แม่น้ำหลายสายมีน้ำเยือกเย็น มีสวน

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 64

ไม้มาก มีบุณฑริกบัวขาวมาก ย่อมเกิดมีแก่ผู้นั้น น้ำหลายสายย่อมเรียงรายไหลล้อมรอบวิมานนั้นเป็นประจำ มีแม่น้ำทั้งหลายที่ลาดด้วยทราย น้ำเย็นสนิท มีต้นมะม่วง ต้นสาละ ต้นหมากหอม ต้นชมพู่ ต้น ราชพฤกษ์ และต้นแคฝอยที่ออกดอกสะพรั่ง ผู้ทำบุญไว้แล้วย่อมได้วิมานชั้นดีเยี่ยม ประกอบด้วยภูมิภาค เช่นนั้น สง่างามนักหนา นี้เป็นวิบากแห่งกรรมนั้นทั้งนั้น ผู้ที่ทำบุญไว้แล้วต้องย่อมได้ผลเช่นนี้ กูฏาคารนิเวศของดีฉันจัดไว้พิมพ์เดียวกัน ประหนึ่งเนรมิตเป็นส่วนสัด เมื่อส่องแสงก็สว่างไปโดยรอบทั้งสี่ทิศ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดิฉัน อนึ่ง โภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดขึ้นแก่ดีฉัน.

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดิฉันขอบอกแก่ท่าน ครั้งเป็นมนุษย์ ดีฉันได้กระทำบุญอันใดไว้ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดิฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

จบปฐมนาวาวิมาน

อรรถกถาปฐมนาวาวิมาน

นาวาวิมาน มีคาถาว่า สุวณฺณจฺฉทนํ นาวํ เป็นต้น. วิมานเรือนั้นเกิดขึ้นอย่างไร.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 65

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่กรุงสาวัตถี ภิกษุจำนวน ๑๖ รูป จำพรรษาในอาวาสใกล้บ้านแห่งหนึ่ง ออกพรรษาแล้ว ตั้งใจว่าจักเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และจักฟังธรรม ก็พากันเดินทางไกลในฤดูร้อน มุ่งกรุงสาวัตถี ระหว่างทางกันดารไม่มีน้ำ. ในทางกันดารนั้น ภิกษุเหล่านั้นถูกความร้อนแผดเผา ลำบากกาย กระหายน้ำ ไม่ได้น้ำดื่ม พากันเดินไปไม่ไกลหมู่บ้านแห่งหนึ่ง. ในหมู่บ้านนั้น หญิงผู้หนึ่งถือ ภาชนะสำหรับใส่น้ำ เดินบ่ายหน้าไปยังบ่อน้ำเพื่อตักน้ำ. ขณะนั้น ภิกษุเหล่านั้นแลเห็นนาง ก็คิดว่า เมื่อไปในที่หญิงผู้นี้ไปอาจได้น้ำดื่ม ถูกความกระหายน้ำบังคับ ก็พากันเดินบ่ายหน้าไปทิศนั้น เห็นบ่อน้ำ ก็ยืนไม่ไกลหญิงนั้น. หญิงนั้นได้น้ำจากบ่อนั้นแล้ว ประสงค์จะกลับ แลเห็นภิกษุเหล่านั้น รู้ว่า พระผู้เป็นเจ้าเหล่านี้กระหายน้ำต้องการน้ำ จึงเข้าไปแสดงความเคารพยำเกรง นิมนต์ให้ฉันน้ำ. ภิกษุเหล่านั้น ก็นำผ้ากรองน้ำออกจากถุงบาตร กรองน้ำแล้วก็ดื่มน้ำจนพอแก่ความต้องการ เอาน้ำ ลูบมือเท้าให้เย็น กล่าวคำอนุโมทนาในปานียทาน (ถวายน้ำดื่ม) แก่หญิงนั้นแล้ว ก็พากันไป.

หญิงนั้นตั้งบุญนั้นไว้ในใจ รำลึกถึงในระหว่างๆ ต่อมาก็ตาย ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์. ด้วยบุญญานุภาพของนาง วิมานใหญ่งดงามด้วยต้นกัลปพฤกษ์ก็เกิดขึ้น. แม่น้ำกลาดเกลื่อนด้วยกองทรายและหาดทรายขาว ประหนึ่งประดับด้วยเงิน ประกอบด้วยข่ายมุกดาไหลมาเฉพาะน้ำที่ใสไร้มลทิน ดังก้อนแก้วมณี ล้อมรอบวิมานนั้น. ณ สองฝั่งของแม่น้ำนั้น และใกล้ประตูอุทยานและวิมาน สระโบกขรณีขนาดใหญ่ ประดับด้วยดงปทุม ๕ สี ก็บังเกิดพร้อมด้วยเรือทอง. เทวดาองค์นั้นเมื่อเสวยทิพยสมบัติในวิมานนั้น ก็เที่ยวระเริงเล่นอยู่ในเรือ. ต่อมาวันหนึ่ง ท่าน

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 66

พระมหาโมคคัลลานะเที่ยวเทวจาริกไป เห็นเทพธิดาองค์นั้นกำลังเล่นอยู่ในเรือ เมื่อจะถามถึงบุญกรรมที่นางทำไว้ จึงถามว่า

ดูก่อนเทพนารี ท่านขึ้นเรือปิดทอง ยืนอยู่ ท่านลงเล่นสระโบกขรณี หักดอกปทุมด้วยมือ. กูฏาคารนิเวศของท่าน จัดไว้พิมพ์เดียวกัน ประหนึ่งเนรมิตเป็นสัดส่วน เมื่อส่องแสงก็สว่างไปรอบสี่ทิศ. เพราะบุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนั้น เพราะบุญอะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก จึงเกิดแก่ท่าน.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะ ของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

ต่อนั้น เพื่อแสดงอาการที่เทวดาซึ่งถูกพระเถระถามแล้วกล่าวตอบ พระธรรมสังคาหกาจารย์ พระเถระผู้ร่วมทำสังคายนา จึงกล่าวคาถานี้ว่า

เทวดาองค์นั้น ถูกท่านพระโมคคัลลานะถาม ดีใจ ครั้นแล้ว ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผล อย่างนี้.

อาการที่เทวดากล่าวตอบดังนี้ว่า

ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ในชาติก่อน ในมนุษยโลก ดีฉันพบภิกษุทั้งหลายลำบากกาย กระหายน้ำ จึงขวนขวายถวายน้ำให้ท่านดื่ม. ผู้ใดแล

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 67

ขวนขวายถวายน้ำดื่มแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้ลำบากกาย กระหายน้ำ แม่น้ำหลายสายที่มีน้ำเย็น มีสวนไม้มาก มีบุณฑริกบัวขาวมาก ย่อมเกิดมีแก่ผู้นั้น. ลำน้ำ หลายสายเรียงรายไหลล้อมรอบวิมานนั้นเป็นประจำ มีแม่น้ำที่มีน้ำเย็น ลาดด้วยทราย มีมะม่วง สาละ หมากหอม หว้า ราชพฤกษ์ และแคฝอยมีดอกบานสะพรั่ง. ผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมได้วิมานอันประเสริฐสุด ประกอบด้วยภูมิภาคเช่นนั้น ที่สง่างามหนักหนา นี้เป็นวิบากของกรรมนั้นทั้งนั้น ผู้ทำบุญไว้แล้วย่อมได้ผลเช่นนี้. กูฏาคารนิเวศของดีฉัน จัดไว้พิมพ์เดียวกัน ประหนึ่งเนรมิตเป็นสัดส่วน เมื่อส่องแสงก็สว่างไปรอบสี่ทิศ เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนั้น เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอกแก่ท่าน ดีฉันครั้งเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญใด เพราะบุญนั้น ดิฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดีฉันจึงส่องสว่างไปทุกทิศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุวณฺณจฺฉทนํ ได้แก่ ชื่อว่า ปิดทอง เพราะข้างในกำบังด้วยฝาทั้งสองข้างอันทำด้วยทองสีแดงจำหลักฝาอย่างวิจิตร และเพราะปิดข้างบนด้วยเครื่องประดับทำด้วยทองโชติช่วงด้วย

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 68

รัตนะต่างๆ. บทว่า นาวํ แปลว่า เรือ. จริงอยู่ เรือนั้น ชื่อว่า โปตะ เพราะข้ามไปจากฝั่งนี้สู่ฝั่งโน้น อนึ่ง ท่านเรียกว่านาวา เพราะนำสัตว์ไป. บทว่า นาริ เป็นคำอาลปนะ เรียก เทพธิดาองค์นั้น. ผู้ใดย่อมพา ย่อมนำไป เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า นระ ผู้นำไป ได้แก่บุรุษผู้ชาย. เหมือนอย่างว่า สัตว์แรกเกิดโดยปกติย่อมนอนก่อน เหตุนั้น จึงเรียกกันว่า บุรุษ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ประเสริฐโดยปกตินอกจากนี้ ฉันใด ที่เรียก ว่านระ ก็เพราะอรรถว่า นำไป ฉันนั้น. จริงอยู่ บุคคลแม้เป็นบุตรผู้พี่ ก็ตั้งอยู่ในฐานะบิดา ฐานะมารดา ของพวกพี่สาวได้. จะป่วยกล่าว ไปไยถึงบุคคลผู้เป็นสามี. หญิงนั้นเป็นของนระ เหตุนั้น หญิงนั้น จึงชื่อว่า นารี. ก็ชื่อนี้เขาเรียกกันอย่างนั้น แม้ในผู้หญิงนอกนี้ โดยที่ขยายความกันออกไปในพวกมนุษย์ผู้หญิง. บทว่า โอคาหสิ โปกฺขรณึ ความว่า ด้วยความยินดีในการอยู่ในน้ำ จึงเข้าไปยังสระทิพย์ ที่ได้ชื่อว่า โบกขรณี เพราะโดยมากในนั้นมีปทุมทิพย์ ที่เรียกกันว่าโปกขระ ในดอกไม้น้ำ ซึ่งทำด้วยรัตนะมากชนิดมีบัวแดง และบัวเขียวเป็นต้นอยู่. บทว่า ปทุมํ ฉินฺทสิ ปาณินา ความว่า ท่านหักด้วยมือของท่าน ก็เพราะประสงค์จะทำดอกบัวที่มีลีลาดังบัวทิพย์ ที่มีชั้นช่อและเกสรแห่งกลีบที่ทำด้วยทอง ให้มีก้านทำด้วยเงิน คู่กับใบที่ทำด้วยรัตนะ คือบุษราคัม.

บทว่า ตสิเต แปลว่า กระหายน้ำ. บทว่า กิลนฺเต ได้แก่ มีกายลำบาก เพราะกระหายน้ำนั้น และเพราะเมื่อยล้าในการเดินทาง. บทว่า อุฏฺาย ได้แก่ ทำความขยันหมั่นเพียร. อธิบายว่า ไม่เกียจคร้าน.

ด้วยบทว่า โย เว เป็นต้น เทวดาเมื่อจะแสดงวิธีอนุมานสิ่งที่ไม่เห็นกับสิ่งที่เห็นว่า แม้ชนเหล่าอื่น ก็ย่อมได้ผลเช่นนี้ เพราะบุญที่เกิด

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 69

แต่อุทกทาน ถวายน้ำ ที่เป็นต้นเหตุ เหมือนอย่างดีฉัน จึงกล่าวตอบความที่พระเถระถามโดยทั่วไป. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺส และ ตํ ย่อมกินความถึงผู้ไม่การทำบุญตามที่กล่าวมาแล้วด้วย.

บทว่า อนุปริยนฺติ ได้แก่ล้อมรอบตามความเหมาะสม ด้วยการล้อมรอบสถานที่อยู่ของผู้นั้น แม้ผู้นั้นก็ชื่อว่าถูกล้อมไว้ด้วย. บทว่า ติลกา ได้แก่ ต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งมีดอกคล้ายดอกชบา. บทว่า อุทฺทาลกา ได้แก่ ต้นไม้ที่ใช้กำจัดโรคลม ที่เราเรียกกันว่า ราชพฤกษ์ ก็มี.

บทว่า ตํ ภูมิภาเคหิ แปลว่า ด้วยภูมิภาคเช่นนั้น. อธิบายว่า ด้วยภูมิประเทศที่มีสระโบกขรณี แม่น้ำและสวน ดังกล่าวแล้ว. บทว่า อุเปตรูปํ ได้แก่ ประกอบด้วยความเป็นวิมานที่ควรสรรเสริญ. ท่านอธิบายว่า เป็นที่รวมรมณีสถานที่น่ารื่นรมย์ มีสระโบกขรณีเป็นต้น เหล่านั้น. บทว่า ภุสโสภมานํ ประกอบความว่า ได้วิมานอันประเสริฐสุดซึ่งรุ่งเรืองหนักหนานัก. คำที่เหลือมีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้นแล.

จบอรรถกถาปฐมนาวาวิมาน