ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๓

 
khampan.a
วันที่  26 มิ.ย. 2559
หมายเลข  27920
อ่าน  2,637

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๓

~ กำลังสนุกเพลิดเพลิน สติที่ได้อบรมมาแล้วก็สามารถที่จะระลึกรู้ได้ว่า แม้ขณะนั้นความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน ความพอใจนั้นก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ปรากฏเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

~ ขณะที่เพลิดเพลินยินดี ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ก็เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ว่าไม่ว่าลักษณะของนามธรรมประเภทใดจะเกิดขึ้น สติจะต้องระลึกรู้ในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของนามธรรมและรูปธรรมในขณะนั้นตามปกติตามความเป็นจริง ต้องเจริญอย่างละเอียดทีเดียว จึงจะละการที่เคยยึดถือว่าสภาพนั้นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็น ตัวตนได้

~ ถ้าท่านผู้ฟังได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คงจะมีจิตสัทธาใคร่ที่จะถวายภัตตาหาร แต่ว่าถ้าเกิดเป็นบุคคลในครั้งโน้นที่ไม่มีความเห็นถูก ไม่มีความเข้าใจธรรม แม้ว่าพระผู้มีพระภาคจะประทับอยู่ไม่ไกล ก็ไม่เคยถวายอาหารแม้เพียงทัพพีเดียว

~ ผู้ที่เข้าใจผิดเห็นผิดปฏิบัติผิดจะเหมือนกับกุศลมูลถูกถอนขึ้นหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องที่ท่านจะพิจารณาเป็นแต่ละบุคคล เพราะเหตุว่าถ้ามีความเห็นผิด มีความเข้าใจผิดในสภาพธรรมแล้ว ก็ย่อมจะทำให้อกุศลกรรมเพิ่มพูนมากขึ้นได้

~ สาวก คือ ผู้ฟัง ผู้ฟังจริงๆ คือ ฟังพระธรรมเพื่อน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตาม ขัดเกลาจิตใจ แล้วก็เพื่อที่จะได้เจริญสติปัญญารู้สภาพธรรมตรงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ไม่ผิด ไม่คลาดเคลื่อน จึงชื่อว่าเป็นผู้ฟัง ไม่ใช่เพียงแต่ฟังเท่านั้นแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตาม

~ สำหรับพระพุทธศาสนานั้น จุดประสงค์คือการขัดเกลากิเลสให้หมดจด จึงจะเป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพยกย่อง

~ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้เห็นว่าในกำเนิดของเปรต การที่จะไปเลี้ยงชีวิต ด้วยการทำนาเลี้ยงโค ขายนมโค หรือการค้า การซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยเงินด้วยทองต่างๆ นั้นไม่มีเลย ที่จะให้พวกเปรตไปประกอบการงานอาชีพต่างๆ เลี้ยงชีวิตนั้น ไม่มีในกำเนิดของเปรต พวกเปรตนั้นย่อมมีชีวิตเป็นไปด้วยทานทั้งหลายที่ญาติให้แล้วแต่มนุษย์โลกนี้

~ ถ้าให้ทานแก่บุคคลผู้ทุศีลแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ เปรตจะไม่ได้รับ เพราะเหตุว่าไม่เกิดปิติโสมนัสที่จะอนุโมทนา เพราะเปรตนี้เป็นอมนุษย์ไม่ใช่มนุษย์ สามารถที่จะรู้จะเห็นการกระทำกุศลและอกุศลของบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ได้ ที่จะให้บุคคลอื่นมายินดีอนุโมทนาในอกุศลธรรมนั้นก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าให้ทานซึ่งเป็นการให้แก่บุคคลที่ไม่บริสุทธิ์เป็นผู้ทุศีลแล้ว เปรตจะไม่ได้รับอุทิศส่วนกุศล

~ ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็มีโอกาสมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิด้วยการสะสมของกรรมที่วิจิตรที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีบุคคลใดจะทราบเลยว่าจุติจากชาตินี้แล้ว อาจจะไปเกิดเป็นเปรตมีรูปร่างลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ ซึ่งเป็นความวิจิตรมากทีเดียว

~ ถ้าใครจะอบรมเจริญปัญญาในเพศของบรรพชิตซึ่งเป็นเพศสูง ต้องรู้ตัวว่า สามารถที่จะมีอัธยาศัยที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศนั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุว่านับตั้งแต่เวลาบวช เจตนาว่า (เป็น) คฤหัสถ์ ไม่มี ชีวิตเดิมที่เคยเป็นคฤหัสถ์ทุกประการ ไม่มี

~ ถ้าไม่ฟังพระธรรมเลยก็ไม่สามารถจะมีเครื่องลับปัญญาให้คมกล้า เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังที่ให้พิจารณาอย่างละเอียดนั้น เปรียบเสมือนเครื่องลับปัญญาให้คมกล้า ซึ่งถ้าไม่มีเครื่องลับปัญญาก็จะคมไม่ได้เลย ไม่สามารถจะเข้าใจความละเอียดของลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย

~ ทุกสิ่งเป็นเพียงเครื่องล่อที่จะให้ติด หลังจากที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ซึ่งผู้ที่ฉลาด แทนที่จะปล่อยให้เป็นอกุศล ก็ย่อมจะหาทางที่จะทำให้เจริญกุศลยิ่งขึ้น นั่นก็จะทำให้ชาติหนึ่งๆ ที่เกิดมา เราบำเพ็ญชีวิตเพื่อที่จะได้เกิดปัญญามากน้อยแค่ไหน หรือว่ายังคงลุ่มหลงมัวเมาอยู่ต่อไป

~ ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไรเลย เพียงแต่ถูกชักชวนให้ปฏิบัติ ก็ปฏิบัติ แล้วก็จะพลอยเข้าใจไปว่าได้รู้แจ้งนิพพาน ซึ่งความจริงในขณะนั้นยังไม่รู้แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นการปฏิบัติธรรมโดยไม่ใช่ปัญญา ขณะนั้นต้องเป็นกิเลสแน่ เพราะเหตุว่าอวิชชา (ความไม่รู้) ทำให้ปฏิบัติข้อปฏิบัติที่เป็นมิจฉามรรค (ทางผิด)

~ กิเลสมากมายเหลือเกิน และการที่จะละคลายกิเลสก็แสนที่จะยาก ไม่ใช่จะเป็นไปได้โดยรวดเร็ว เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีวิริยะอุตสาหะจริงๆ ที่จะต้องเข้าใจพระธรรมตั้งแต่ขั้นต้น ไม่ใช่จะไปข้ามขั้นไปเรียนเรื่องอื่นก่อน แต่จะข้ามการเข้าใจพระธรรมไปตามลำดับไม่ได้เลย คือ จะต้องเข้าใจเรื่องของปรมัตถธรรม (สิ่งที่มีจริง ไม่มีเปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น)

~ ในขณะนี้ที่ทุกคนมีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะเข้าใจมากน้อยเท่าใด ก็ต้องฟังต่อไปอีกเรื่อยๆ ชาตินี้ยังไม่ถึงการรู้แจ้งเป็นพระอริยบุคคล ชาติหน้าต้องฟังอีก ถ้ามีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม เกิดในประเทศที่สมควร ก็ขอจงฟังพระธรรมต่อไป จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นขณะที่หายาก

~ เวลาที่ประกอบด้วยโทสเจตสิก เป็นโทสมูลจิต (จิตที่มีโทสะเป็นมูล) ความรู้สึกไม่แช่มชื่น ขุ่นมัว เดือดร้อน หงุดหงิด กังวล ไม่แช่มชื่น ไม่ผ่องใส ไม่แจ่มใส นั่นเป็นลักษณะของอกุศลจิตที่เป็นโทสมูลจิต ถ้าสังเกตก็คงจะทราบได้ เวลาที่หงุดหงิด หรือขุ่นใจ ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของจิตที่เศร้าหมอง หรือเวลาที่โกรธ ก็ยิ่งชัด นั่นเป็นลักษณะของจิตที่เศร้าหมอง

~ ความเห็นผิดว่ากรรมไม่มี ผลของกรรมไม่มี นั่นเป็นความเห็นผิดขั้นหยาบ ซึ่งรู้ได้ว่า ไม่ใช่เหตุผลเลย เพราะเมื่อมีเหตุ ก็ต้องมีผล หรือผลที่จะเกิดขึ้นได้ ก็ย่อมมาจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุแล้ว ผลก็ย่อมเกิดไม่ได้

~ เห็นโทษของอกุศลในขณะนั้นทันที เพราะอกุศลเกิด เมตตาจึงเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่เห็นโทษของอกุศล เมตตาก็ไม่เกิด

~ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ว่า กุศลทั้งหลายสามารถที่จะอบรมเจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อยได้ สิ่งที่คิดว่ายาก เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าค่อยๆ ฝึกหัดอบรมก็ย่อมจะค่อยๆ เกิด จนกระทั่งสามารถจะมีมาได้ เพราะฉะนั้น การที่จะให้มีเมตตาจิตมากขึ้นนี้ อย่าหวังว่าวันหนึ่งจะมีมาก แต่ว่าทุกขณะที่เมตตาสามารถที่จะเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย นั่นจะเป็นปัจจัยให้มีเมตตามากได้

~ ใครเป็นผู้ที่มีกรุณามากที่สุด? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ เพราะถ้าไม่ประกอบด้วยพระมหากรุณาคุณ ก็คงจะไม่มีการทรงแสดงธรรม ไม่มีข้อความที่จดจำสืบต่อกันมา จนกระทั่งจารึกเป็นพระไตรปิฎกให้บุคคลรุ่นหลังได้รู้ว่า พระองค์ทรงแสดงธรรมที่จะทำให้สัตว์โลกทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงอย่างไร

~ พระภิกษุขัดเกลากิเลส ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับเงินทองทั้งสิ้น เป็นเรื่องของความสงบจากอกุศลทั้งหมด

~ ภิกษุไม่มีเงินและทอง แล้วก็รับไม่ได้ด้วย ไม่มีตั้งแต่สละ ตั้งแต่วันที่บวชเป็นพระภิกษุ นี่ไม่มีเลยไม่มีแล้วกลับไปรับ ไม่ได้ จะไปทำกิจอะไรทั้งหมด (ที่เกี่ยวกับเงินทอง) ไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่า พระภิกษุต้องมีชีวิตในการขัดเกลากิเลส

~ ผิด กันมานาน สมควรหรือยังที่จะช่วยกันรักษาพระธรรมวินัย สิ่งที่ผิด ก็แก้ไขได้ ดีกว่าที่จะปล่อยไป ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ค่อยๆ ทำ ร่วมใจกันที่จะรักษาดำรงพระศาสนา คิดว่าไม่ยากถ้าจะทำจริงๆ และก็เป็นกุศลใหญ่หลวงด้วยต่อพระศาสนา

~ อุทธัจจะ เป็นเจตสิกธรรมที่ทำให้จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่านไป กุกกุจจะ เป็นเจตสิกธรรมที่รำคาญใจเดือดร้อนใจในอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว หรือในกุศลกรรมที่ยังไม่ได้กระทำ

~ ถ้าคบผู้ที่เป็นพาล ก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไร แต่ถ้าคบกับผู้ที่เป็นบัณฑิต ก็จะได้รับประโยชน์มาก

~ การฟังธรรม เป็นประโยชน์ที่สุด ไม่ควรที่จะให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเสียโอกาสที่จะได้รับฟังพระธรรม

~ ชาวนาผู้หนึ่งเสียใจที่นาของตนถูกน้ำท่วมเสียหายมาก มีความเศร้าโศกเสียใจ พระผู้มีพระภาคทรงเล็งเห็นอุปนิสสัยของการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยสาวก ของชาวนาท่านนั้น เพราะฉะนั้น ก็ได้เสด็จไปโปรด ทรงแสดงธรรมให้ชาวนานั้นคลายความโศกเศร้าและบรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เป็นชีวิตจริงๆ ใน ขณะนั้น ไม่ได้ไปเปลี่ยนไปเทศนาไปบอกว่าให้ไปที่อื่น

~ สมัยโน้น คือ สมัยพุทธกาลภิกษุรับเงินรับทองคฤหัสถ์ เพ่งโทษ (กล่าวให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีโทษ เป็นการกระทำของผู้ไม่ความละอาย) ติเตียน (กล่าวให้สำนึกว่าเป็นพระภิกษุทำอย่างนี้ได้อย่างไร) โพนทะนา (กระจายข่าวให้ได้รู้ความจริงโดยทั่วกันในทุกที่) แต่สมัยนี้คฤหัสถ์ชักชวนกันมอบเงินให้แก่พระภิกษุ เป็นการรักษาพระพุทธศาสนา หรือเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา? เพราะเหตุว่าภิกษุไม่ใช่คฤหัสถ์ ความต่างกันมีมาก เพราะเงินนี่แหละ เพราะทองนี่แหละ เพราะรับ และ เพราะยินดีนี่แหละ จึงได้เกิดการทุจริตต่างๆ มากมาย ทุจริต ที่นี้คือความประพฤติที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต, เพราะฉะนั้น อุบาสกอุบาสิกาที่รู้ธรรม ศึกษาและเข้าใจธรรม จะไม่ให้เงินและทองแก่พระภิกษุ

~ ถ้าสะสมความไม่ดีบ่อยๆ ก็มีเหตุปัจจัยให้ความไม่ดีเกิดได้บ่อยๆ และ ถ้าสะสมความเข้าใจธรรม ความดีก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

~ ถ้าจิตใจที่ไม่ได้รับการขัดเกลา กิเลสกำเริบแน่ ไม่มีทางที่จะไม่ประพฤติผิดพระธรรมวินัย

~ ถ้าไปปฏิบัติธรรม โดยที่ไม่รู้ว่า ปฏิบัติคืออะไร? นี่คือเริ่มผิด นี่คือเครื่องล่อให้พ้นจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~
พระธรรมแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัส เป็นที่พึ่งเป็นที่อาศัยให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูก

 

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๒

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
j.jim
วันที่ 26 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Boonyavee
วันที่ 26 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 26 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 26 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Noparat
วันที่ 26 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 26 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 26 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
rrebs10576
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pulit
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
siraya
วันที่ 28 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เจียมจิต
วันที่ 13 มี.ค. 2561

กราบขอบคุณ อนุโมทนาค่ะ,

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 12 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ