ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๔

 
khampan.a
วันที่  12 ต.ค. 2557
หมายเลข  25631
อ่าน  1,586

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๔

พระธรรมยังอยู่ และผู้ที่เคยสนใจ เคยศึกษาธรรม ฟังธรรมในครั้งสมัยพุทธกาล

ภพชาติก็ยังไม่หมดสิ้น ก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น ก็เป็นปัจจัยทำให้ได้มีโอกาสฟังพระ

ธรรม และได้พิจารณาศึกษาพระธรรมต่อไป

ไม่ว่าใครจะมีกาย วาจา ใจที่ผิด ที่เป็นอกุศล หรือว่าที่เป็นไป เพราะความเห็น

ผิดต่างๆ ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่ามิจฉาทิฏฐิ เป็นอกุศล-

เจตสิก ซึ่งเมื่อบุคคลนั้นสะสมมา สืบต่อมาเป็นอันมากในอดีต เป็นปัจจัยที่จะให้มี

ความโน้มเอียงที่จะเห็นผิด พิจารณาผิด เข้าใจผิด ประพฤติปฏิบัติผิด บุคคลนั้น

ก็มีปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น

เห็นโทษของอกุศล ใคร่ที่จะดับอกุศล เพราะฉะนั้น มีทางเดียวที่จะดับอกุศล

ได้ โดยการที่เริ่มอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะได้เป็นปัจจัยที่จะทำให้กุศลจิตเกิด

และสามารถที่จะดับกิเลสได้ในอนาคต

คำหยาบที่พูด ถ้าไม่มีปัจจัยก็ย่อมพูดไม่ได้ เกิดไม่ได้ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะ

ให้พูดคำหยาบครั้งหนึ่ง ก็จะเป็นปัจจัยให้พูดคำหยาบครั้งต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่า

จนกระทั่งเป็นอุปนิสสัยที่จะให้เป็นผู้ที่มีปกติพูดคำหยาบคายได้

ผู้ที่พูดคำหยาบ จิตที่พูดในขณะนั้น ต้องเป็นจิตที่ประทุษร้ายบุคคลที่ตนกล่าว

คำหยาบด้วย และถ้ามีโทสะเกิดมีกำลังแรงกล้าขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่จะกล่าววาจา

ที่เป็นผรุสวาจาเท่านั้น ก็ยังจะถึงประทุษร้ายร่างกายได้ หรือถึงกับทำลายชีวิตได้

อันเนื่องมาจากการพูดคำหยาบนั้นเอง

-ภพนี้ ชาตินี้ อาจจะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยชาติ ตระกูล โภคสมบัติ รูปสมบัติ

วิชาความรู้ บริวารสมบัติทุกสิ่งทุกประการ แต่ว่าภพหน้า ชาติหน้า จะเป็นใคร

จะมีรูปสวย รูปงาม มีทรัพย์สมบัติมาก เกิดในสกุลที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ

ลาภ ยศ ข้าทาสบริวาร หรือเปล่า อาจจะตรงกันข้ามเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่

ระลึกถึงความตาย เห็นความไม่เที่ยง ก็ย่อมจะทำให้ท่านละคลายแม้ความติดใน

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในสมบัติของท่าน ซึ่งเคยถือว่าเป็นของเรา และ

นอกจากนั้นก็ยังทำให้เกิดละคลายมานะ การถือตน การสำคัญตน หรือความผูก

พันในสัตว์ ในบุคคล ซึ่งเป็นที่รัก

ทุกท่านกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ไม่มีเครื่องหมายที่จะให้รู้เลยว่า ชีวิตของใครจะ

อยู่ต่อไปถึงพรุ่งนี้ หรือว่าเดือนหน้า หรือว่าปีหน้า ไม่มีเครื่องหมายให้รู้ว่า

จากที่นี้ไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น จะเป็นสุข หรือว่าจะเป็นทุกข์ จะประสบกับ

อิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าพอใจ) หรืออนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ)

จะมีอุบัติเหตุ หรือไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะว่าชีวิต

ไม่มีเครื่องหมาย ใครๆ ก็รู้ไม่ได้

ไม่มีใครสามารถที่จะไปหยุดยั้งปัจจัยที่ทำให้เกิดการเห็น ซึ่งเป็นกิจการงาน

อย่างหนึ่ง จิตเกิดขึ้นทำอะไร ทำกิจเห็น ต้องเห็น ขณะนี้ทำกิจแล้ว คือ เห็น

มีปัจจัยที่จะทำให้จิตได้ยินเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งไม่ให้จิตได้ยินเกิดขึ้น

เมื่อมีปัจจัย จิตก็เกิดขึ้นกระทำกิจได้ยิน เป็นการทำงานแต่ละขณะจิตจริงๆ ซึ่งจะ

ต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

เวลานี้กระแสของอะไรกำลังเป็นไป? โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง สติเกิด

ขณะใด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น จึงจะกั้นกระแส

ของโลภะ โทสะ โมหะได้

มิจฉามรรคก็เป็นการปฏิบัติผิด คลาดเคลื่อนไป ไม่ใช่การระลึกรู้ลักษณะของ

สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้

เห็นความน่ากลัว การที่จะติดในข่ายของกาม ซึ่งยากที่จะสลัดให้หลุดออกได้

ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ถ้ามีมากๆ ก็

ติดอย่างมากๆ ทีเดียว และยิ่งได้มากเท่าไร ก็ยิ่งไม่พอ

ทุกคนมีโทษมาก มีข้อที่ควรตำหนิมาก แต่ผู้ที่จะตำหนิและชี้โทษ

ไม่มีใครที่สามารถจะทำได้มากเท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น

เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วพิจารณา ก็ย่อมเห็นโทษของกิเลส ซึ่งทุกคนยังมี

อยู่มากทีเดียว

ชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่างกันระหว่างบรรพชิตและคฤหัสถ์ ซึ่งถ้าบรรพชิตใดมี

ความเป็นอยู่ไม่ต่างกับคฤหัสถ์ ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดที่เป็นที่ควรแก่การที่จะสรรเสริญ

และเคารพกราบไหว้มากกว่าคฤหัสถ์

เราสะสมอกุศลไว้มากและอวิชชาไว้มากแล้ว วันนี้เราจะเอาสิ่งที่เราสะสมมา

แสนโกฏิกัปป์ออกไปได้ยังไง นอกจากสะสมใหม่ที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของ

สภาพธรรม แต่ว่าน่าอุ่นใจที่ว่าได้สะสมมาที่จะได้ฟังพระธรรมและพิจารณาจน

กระทั่งเป็นความเข้าใจของเราแม้ทีละเล็กทีละน้อย แต่ก็มีพืชเชื้อที่จะเจริญเติบ

โตได้ในเมื่อเป็นความเห็นถูก ทุกชาติไปที่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมและก็ค่อยๆ

สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

เราไม่รู้ชีวิตข้างหน้าของเราว่าจะเป็นแบบไหน แต่ว่าถ้ามีปัญญามีโอกาสได้ฟัง

พระธรรมไตร่ตรองพระธรรม ถึงกาลที่จะค่อยๆ เข้าใจพระธรรมยิ่งขึ้น ก็ค่อยๆ

เข้าใจขึ้น

การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้

ไปโลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไปอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่

กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวันนี่เอง แล้วจะดำเนินไปทางไห ระหว่าง

ทางถูก กับ ทางผิด

พระไตรปิฎกทั้งหมด จะเต็มไปด้วยบท พยัญชนะ พระธรรมเทศนาหาประ-

มาณมิได้ในเรื่องของอกุศลธรรมและกุศลธรรมโดยละเอียด โดยนัยต่างๆ เพื่อที่จะ

ให้เห็นโทษของอกุศล เพื่อที่จะได้ละอกุศล และก็เพื่อที่จะได้เห็นประโยชน์ของ

กุศล เพื่อที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

สิ่งที่ไม่ดี จะเก็บไว้ทำไม

เมตตา ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน ไม่เป็นโทษ ทั้งกับตนเอง และ ผู้อื่น

โทสะ นอกจากจะทำร้ายตนเองแล้ว ยังสามารถทำร้ายคนอื่นได้ด้วย

จะทิ้งในเรื่องของ ธรรม ไม่ได้

ทั้งหมดของพระธรรม เพื่อละความหวัง ความต้องการ

ศีลธรรม ก็เสื่อม คุณธรรม ก็เสื่อม เพราะไม่เข้าใจธรรม

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๓

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 ต.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วยครับ

@ การศึกษาพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามี ๓ ขั้น คือ ขั้นปริยัติ

ขั้นปฏิบัติ และขั้นปฏิเวธ พระพุทธดำรัสที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็น ตถาคต

หมายถึงการเห็นธรรมรู้แจ้งธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ คือ โลกุตตรธรรม ๙ ขั้นปฏิเวธ

การเห็นธรรมขั้นปฏิเวธเป็นผลของการเจริญธรรมขั้นปฏิบัติ การเจริญธรรมขั้นปฏิบัติ

ต้องอาศัยขั้นปริยัติ ด้วยเหตุนี้ปริยัติ คือ การศึกษาพระธรรมวินัยจึงเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง

เป็นทางนำไปสู่พระพุทธศาสนาขั้นปฏิบัติและขั้นปฏิเวธ เป็นลำดับไป

@ ไม่มีตัวตนที่จะพยายามไปฝึกสติ และที่สำคัญถ้าอบรมเหตุผิด เช่น ไปนั่งสมาธิ

ไปจดจ้องสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เป็นโลภะ ไม่ใช่สติ นั่นไม่ใช่เหตุปัจจัยให้สติเกิดเลย

ดังนั้นต้องเริ่มจากเหตุที่ถูกต้อง คือฟังให้เข้าใจก่อนว่าธรรมคืออะไร ขณะที่ฟังเข้าใจ

แม้ในขณะนี้ที่อ่านนี้ก็ตาม ขณะนั้นแม้จะไม่เรียกชื่อว่า กำลังฝึกสติ แต่ก็เป็นการอบรม

เหตุที่ถูกต้อง ที่เป็นปัจจัยให้สติและปัญญาเกิด นั่นคือสังขารขันธ์ทำหน้าที่ปรุงแต่ง

เอง ขณะที่เข้าใจ ไม่มีตัวตนไปพยายามฝึกสติ เพราะขณะที่ทำ ขณะที่จะพยายาม นั่น

ไม่ใช่เหตุให้เกิดสติ

@ การอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีอยู่แล้วในขณะนี้จนกระทั่งปัญญาความรู้

ความเข้าใจ เพิ่มขึ้น เจริญขึ้น การที่ปัญญาจะเจริญขึ้น สมบูรณ์ขึ้น ก็ย่อมเป็นไปตาม

ลำดับขั้น ไม่ใช่มีตัวตนที่จะไปทำให้ผลสำเร็จขึ้นได้ อีกทั้งยังต้องมีจุดประสงค์ที่แท้

จริงของการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ด้วย กล่าวคือ เป็นผู้ที่ตั้งจิตไว้ชอบ ถ้าจะศึก

ษาเหมือนวิชาการทางโลกที่มีการสอบวัดผล มีการมอบใบประกาศนียบัตรหลังศึกษา

จบ หรือแม้กระทั่งการศึกษาธรรมเพื่อที่จะเก่ง เพื่อที่จะรู้มากกว่าบุคคลอื่นเพื่อลาภ ยศ

สักการะชื่อเสียงนั้น ไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริง แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อความเข้า

ใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลา

กิเลสอกุศล เพื่อละความไม่รู้

@ ความตายนั้นเป็นปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ในชาติหนึ่งๆ เป็นจิตขณะสุดท้ายเกิดขึ้นและดับไป จิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้

ทำกิจจุติ คือ เคลื่อนหรือพรากให้สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาสู่ความเป็น

บุคคลนี้อีกไม่ได้เลย

@ ความจริง ความตายเร็วที่สุด ก่อนตายอาจจะนอน ป่วย ไข้ หรือ สนุกสนานร่าเริง

แต่พอถึงเวลาตายก็ตายได้ แม้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ตายได้ เพราะฉะนั้น ความตายตามที่

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ชั่วขณะจิต ดังนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อใด ถ้าคิดว่าก่อนตายจะทำ

อย่างไร จงทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้

@ การคบ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าคบคนพาล อาจนำพาเราไปสู่หนทางแห่งความเสื่อม

ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าคบบัณฑิต คบคนดี ก็มีแต่จะนำพาเราไปสู่หนทางแห่งความ

เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

@ การบรรลุ ต้องเป็นปัญญา ไม่ว่าจะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

บรรลุถึงเป็นพระอรหันตขีณาสพ หรือบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นอื่นๆ อีก ต้อง

เป็นปัญญาทั้งนั้น ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว การที่จะบรรลุ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

@ ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน จึงจำเป็นต้องศึกษาพระธรรม เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมตรง

ตามความเป็นจริง แม้แต่ในเรื่องบุญ ก็เช่นเดียวกัน บุญ เป็นกุศลธรรม เป็นสภาพที่ดี

งาม เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษกับใครเลย ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นเป็นบุญ

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 12 ต.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

...๔๕ พรรษา "ทุกคำ" มีประโยชน์ ตั้งแต่คำแรก คือ คำว่า "ธรรมะ"

ถ้าไม่ศึกษา ไม่มีทางเข้าใจแน่นอน...

.........

กราบท่านอาจารย์

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย

และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Jans
วันที่ 12 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Lamphun
วันที่ 12 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 12 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย

และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tanrat
วันที่ 13 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Noparat
วันที่ 13 ต.ค. 2557

ศีลธรรม ก็เสื่อม คุณธรรม ก็เสื่อม เพราะไม่เข้าใจธรรม

การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้

ไปโลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไปอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่

กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวันนี่เอง แล้วจะดำเนินไปทางไหน ระหว่าง

ทางถูก กับ ทางผิด

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 13 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 13 ต.ค. 2557

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนา ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม โดยอาจารย์คำปั่น ส่งให้อ่านด้วยความกรุณายิ่งมาตลอดซึ่งบางส่วนได้นำไปประกอบภาพทาง fb ให้เพื่อนๆ ๆ ได้อ่านซึ่งได้รับความสนใจมากกว่่ากระทู้อื่นๆ ๆ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 13 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
thilda
วันที่ 13 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pulit
วันที่ 14 ต.ค. 2557

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย

และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 14 ต.ค. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ประสาน
วันที่ 15 ต.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
natural
วันที่ 15 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ch.
วันที่ 17 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Thanapolb
วันที่ 18 ต.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น และ อ.เผดิม

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
natnicha
วันที่ 19 ต.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
rrebs10576
วันที่ 24 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
Wisaka
วันที่ 25 ต.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
orawan.c
วันที่ 28 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
เจียมจิต
วันที่ 11 เม.ย. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ