สุดยอดปาฏิหาริย์ของพระโคตมพุทธเจ้า

 
dets25226
วันที่  15 ก.ย. 2554
หมายเลข  19730
อ่าน  16,877

สุดยอดปาฏิหาริย์ของพระโคตมพุทธเจ้า คืออะไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ปาฏิหาริย์ มี ๓ อย่าง คือ

๑. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์

๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์

๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์

อิทธิปาฏิหาริย์ คือ การแสดงฤทธิ์ได้ เช่น คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ เป็นต้น

อาเทสนาปาฏิหาริย์ คือ สามารถรู้ใจผู้อื่นได้ว่าผู้นั้นคิดอย่างไร

อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงกับเหล่าสาวก อันสามารถทำให้ละกิเลสประการต่างๆ ได้

ซึ่งผู้ถามคงหมายถึง อิทธิปาฏิหาริย์ในการแสดงฤทธิ์ได้ว่า ช่วงไหน เวลาใดที่แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้สูงสุด สำหรับอิทธิปาฏิหาริย์ที่เลิศสูงสุดของพระพุทธเจ้าในด้านอิทธิปาฏิหาริย์ คือ ยมกปาฏิหาริย์ อันเป็นการแสดงฤทธิ์ได้เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่แสดงฤทธิ์ด้วยความเป็นคู่ๆ เช่น น้ำออกจากพระเนตรซ้าย ไฟออกจาพระเนตรขวาพร้อมๆ กัน เป็นต้น ซึ่งการแสดงฤทธิ์ที่สูงสุดในนัยอิทธิปาฏิหาริย์

ซึ่งช่วงเวลาที่พระองค์แสดงยมกปาฏิหาริย์ ก็มีคราวที่พระพุทธเจ้า เสด็จไปที่เมืองกบิลพัสด์ุ โปรดพระญาติ พระญาติทั้งหลาย เห็นว่าพระองค์อายุน้อยกว่า จึงมีมานะไม่ทำความเคารพ พระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในคราวนั้นครับ ก็ทำให้พระญาติทั้งหลายเคารพพระองค์ และเมื่อคราวที่ปราบอัญเดียรถีย์ที่จะมาแข่งฤทธิ์กับพระพุทธเจ้าที่โคนต้นมะม่วงก็ได้แสดงยมกปาฏิหาริย์เช่นกันครับ และเมื่อคราวจะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่สังกัสสะ หลังจากโปรดพุทธมารดา แสดงอภิธรรม ๓ เดือนแล้ว เมื่อคราวเสด็จลงก็แสดงยมกปาฏิหาริย์เช่นกัน อันเป็นปาฏิหาริย์อันสูงสุดโดยนัยที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ยังไม่ได้อ่านเจอในเรื่องการแสดงฤทธิ์ที่เป็นยมกปาฏิหาริย์ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 15 ก.ย. 2554

สนทนาเพิ่มในปาฏิหาริย์ ๓ อย่าง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้แสดงว่า ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ อนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นเลิศ ประเสริฐที่สุดครับ ดังนั้น ถ้าจะกล่าวว่า สุดยอดปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าคืออะไร ก็ต้องกล่าวว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ สุดยอดปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า เหตุผลเพราะว่า อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่สามารถสละขัดเกลา และละกิเลสได้เลย จึงไม่ใช่ปาฏิหารย์จริงๆ แต่ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนสาวกให้รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ สิ่งใดควรเจริญ ไม่ควรเจริญ สิ่งนี้เป็นกุศล สิ่งนี้เป็นอกุศล หนทางนี้คือทางดับกิเลส คืออริยมรรค การสอนด้วยพระธรรมที่เป็นสัจจะนี้เองที่สามารถให้สาวกหรือผู้ที่ได้ฟัง ละสละ ขัดเกลากิเลส และมีปัญญาถึงการดับกิเลสได้ นี่คือ ปาฏิหาริย์สูงสุด เพราะว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ละยาก การละกิเลสได้จนหมดสิ้นด้วยพระธรรม จึงเป็นสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์สูงสุดครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ... ปาฏิหาริย์ ๓ [เกวัฏฏสูตร]

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
dets25226
วันที่ 15 ก.ย. 2554

อนุโมทนาครับ

พอดีผมว่างๆ ก็เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับจักรวาล ในจูฬนีสูตร

มีการทูลถามของพระอานนท์กะพระพุทธเจ้าว่า พระองค์มีฤทธิ์มากแค่ไหน ก็เลยเกิดความสนใจเรื่องปาฏิหาริย์ขึ้นครับ แต่ว่า ช่วงท้ายๆ มีประเด็นน่าสนใจในพระสูตรนี้อีกข้อหนึ่งว่า ตอนที่พระอุทายีกล่าวขัดพระอานนท์ ที่ท่านได้อุทานว่า เป็นลาภของเรา ที่ได้มีพระพุทธเจ้าผู้อานุภาพมาก พระพุทธองค์ตรัสห้ามพระอุทายีขึ้นว่า อย่าพูดเช่นนั้น อุทายี ถ้าอานนท์จะพึงเป็นผู้ยังไม่สิ้นราคะอย่างนี้มรณภาพไป ด้วยความที่จิตเลื่อมใสนั้น เธอจะพึงได้เป็นเทวราชาในเทวโลก ๗ ชาติ เป็นมหาราชาในชมพูทวีปนี้ ๗ ชาติ แต่แท้นั้น อานนท์จักปรินิพพานในชาติปัจจุบันนี้ฯ

อาจารย์ครับ แม้กุศลเล็กน้อย ก็มีกำลังมาก ไม่แพ้อกุศลเลยนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 15 ก.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

สำหรับในจูฬนีสูตรนั้น พระพุทธเจ้าของเราแสดงถึงเรื่องในอดีตให้ท่านพระอานนท์ฟัง กล่าวถึง พระสาวกของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีว่ามีฤทธิ์มาก สาวกของพระพุทธเจ้าสิขีพระนามว่า อภิภู สามารถพูดแล้วให้เหล่าสัตว์ได้ยินด้วยเสียง ไปตลอดพันโลกธาตุ พระอานนท์ก็เลยกราบทูลพระพุทธเจ้าของเราว่า และพระองค์สามารถให้เหล่าสัตว์ได้ยินด้วยพระสุรเสียงของพระองค์ ให้ได้ยินเท่าไหร่

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ นั้นสาวก แต่ตถาคตทั้งหลายหาประมาณไม่ได้ ก็คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สามารถให้เหล่าสัตว์ได้ยินด้วยเสียงได้หาประมาณไมได้ครับ นี่คือฤทธิ์และพระคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ครับ

ส่วนในเรื่องนั้น พระอุทายีเป็นผู้ที่ไม่ชอบพระอานนท์ เมื่อพระอานนท์สรรเสริญพระพุทธเจ้าว่าเป็นลาภของเราแล้วที่ได้พระพุทธเจ้าเป็นศาสดา จึงกล่าวขัดคอท่านพระอานนท์ ว่าประโยชน์อะไร ท่านจะได้อะไรในการสรรเสริญนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอุทายีว่า เธออย่ากล่าวอย่างนั้น การที่อานนท์สรรเสริญแล้วนี้ ผลบุญนี้ ถ้าอานนท์จะพึงเป็นผู้ยังไม่สิ้นราคะอย่างนี้มรณภาพไป ด้วยความที่จิตเลื่อมใสนั้น เธอจะพึงได้เป็นเทวราชาในเทวโลก ๗ ชาติ เป็นมหาราชาในชมพูทวีปนี้ ๗ ชาติ แต่แท้นั้น อานนท์จักปรินิพพานในชาติปัจจุบันนี้ฯ

ซึ่งในความเป็นจริงการที่ท่านพระอานนท์สรรเสริญพระพุทธเจ้าไม่ใช่กุศลเล็กน้อยหรอกครับ เพราะเป็นการสรรเสริญผู้เลิศสูงสุดจักรวาล และกล่าวโดยพระอานนท์ผู้มีปัญญา ดังนั้นกุศลนั้นจึงไม่เล็กน้อย เมื่อวัตถุที่สรรเสริญ เลิศ คือ พระพุทธเจ้าและผู้กล่าวประกอบด้วยปัญญา

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา โดยส่วนตัวกระผมชอบจูฬนีสูตรมากครับ ขอบพระคุณที่นำธรรมเรื่องนี้มาได้ให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าอีกครั้งครับ

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 15 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ (คำสอนเป็นอัศจรรย์) เป็นคำสอนของบุคคลผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก เพื่อที่จะตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง และไม่ใช่เพียงเพื่อตรัสรู้เฉพาะพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แต่ทรงมีพระมหากรุณาที่จะทรงแสดงพระธรรมเกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจพระธรรมตามพระองค์ด้วย ดังนั้น พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงทำให้ผู้ได้ฟัง ได้ศึกษา จากที่เคยเต็มไปด้วยกิเลสนานาประการ มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลสตามลำดับมรรคได้ สูงสุดคือถึงความเป็นพระอรหันต์ หมดจดจากกิเลสโดยประการทั้งปวง จะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวัน แต่ละคนก็มีกิเลสมากด้วยกันทั้งนั้น เพราะเคยได้สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ กิเลสเมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ และเกิดขึ้นบ่อยมากเกือบจะตลอดเวลาก็ว่าได้ (เมื่อไม่กล่าวถึงขณะที่เป็นวิบาก กิริยา และกุศล) เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ก็จะไม่รู้เลยว่า ตนเองเป็นผู้มีกิเลสมากน้อยแค่ไหน เมื่อไม่รู้กิเลสตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถละกิเลสใดๆ ได้เลย การที่จะรู้อย่างนี้ได้ ก็ต้องฟังพระธรรม ขึ้นชื่อว่าสาวกแล้ว ต้องได้ฟังพระธรรม ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่ทุกคนจะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองให้เบาบางลงจนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถดับกิเลสทั้งหลายได้ในที่สุด ซึ่งจะต้องเริ่มสะสมปัญญาตั้งแต่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรมในชีวิตประจำวัน บุคคลผู้ที่มีปัญญาเท่านั้นที่จะซาบซึ้งและได้รับประโยชน์จากอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์อันสุดยอดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
miran
วันที่ 15 ก.ย. 2554

คุณของพระพุทธองค์ช่างยิ่งใหญ่มากมายมหาศาลนัก

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านที่สนทนาธรรมเพื่อความเข้าใจครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 16 ก.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pat_jesty
วันที่ 16 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 27 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kullawat
วันที่ 14 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 21 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
supim
วันที่ 13 ก.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ