เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน...คืออย่างไร?

 
พุทธรักษา
วันที่  23 ก.ย. 2551
หมายเลข  9944
อ่าน  3,114

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากการถอดเทปการบรรยายธรรม โดยอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่ตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๕ โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แต่ละท่านที่ได้ฟังพระธรรมแล้วและเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานก็ทราบได้ใช่ไหมคะ ว่าท่านถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจริงๆ แม้ว่าจะยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

แต่เพราะเหตุใด จึงฟังพระธรรม

เพราะเหตุใด จึงพิจารณาพระธรรม โดยละเอียด

เพราะเหตุใด จึงอบรมเจริญสติปัฏฐาน

แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยในภพหนึ่ง ชาติหนึ่งในวันหนึ่ง ในเดือนหนึ่ง ซึ่งก็ยังเป็นการอบรม การประพฤติปฏิบัติในทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม โดยถูกต้อง

ท่านผู้ฟัง ผมสงสัย เรื่องของการหาสถานที่ปฏิบัติคือ เรื่องการเจริญสติปัฏฐานนี้ ถ้าไปเจริญในสถานที่ไม่ควร มันหลงง่ายครับ

ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษค่ะ ที่ไหน เป็นที่ไม่สมควร

ท่านผู้ฟัง เช่น อย่างที่ที่มีคนพลุกพล่านมาก เพราะว่า สติยังอ่อน ถ้าอยู่ในที่แออัดหรือในรถเมล์ เจริญได้ ผมไม่เถียง แต่หลงมากครับ

ท่านอาจารย์ ขณะอยู่คนเดียว หลงมากไหมคะ

ท่านผู้ฟัง ถ้าหากสติไม่เกิด ก็หลงครับ

ท่านอาจารย์ (หลง) มากเท่าๆ กันไหมคะ

ท่านผู้ฟัง ถ้าไม่มีสติก็เท่าๆ กันล่ะครับ

ท่านอาจารย์ ทีนี้ ถ้ากำลังเลือกสถานที่ ในขณะที่กำลังเลือกจะเสียเวลาที่สติจะเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติหรือเปล่า

ท่านผู้ฟัง ก็เสียครับ ตอนที่ไปนี้เสียแน่ แต่พอไปถึงสถานที่ปฏิบัติ เช่น ตามโบสถ์ที่สงัด สงบเหตุที่จะมาชวนให้เราหลงลืมไปทางตา ทางหู ก็น้อยเช่น ขณะที่เดินจงกรม เราก็กำหนดที่ รูปที่กระทบ เรื่อยๆ ตามกำหนดที่รูปที่กระทบเท้า

ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษนะคะ การไป เป็นปกติของท่านผู้ฟังหรือเปล่า

ท่านผู้ฟัง เป็นปกติครับ

ท่านอาจารย์ เป็นปกติ เหมือนอย่างที่มาฟังธรรมที่นี่หรือเปล่า

ท่านผู้ฟัง เหมือนครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีอะไรที่ต่างกัน

ท่านผู้ฟัง แต่เหตุที่สติจะเกิด มีน้อยครับ

ท่านอาจารย์ คงไม่ลืมนะคะในมหาสติปัฏฐานสูตร จะมีข้อความที่กล่าวไว้ทุกบรรพว่า "เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน" ถ้าทิ้งคำว่า "ปกติ" ก็ไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพความเป็น "อนัตตา" ของธรรมที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นผู้ที่รู้จริง อย่าลืมนะคะ "รู้จริง" คือ รู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ตามปกติ ตามความเป็นจริง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ปริศนา
วันที่ 23 ก.ย. 2551

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าท่านผู้ฟังจะไปที่ไหนเป็นปกติ ตามความเป็นจริงของท่านผู้ฟังหรือเปล่า ถ้ามีงานศพ ที่จะต้องไปวัด เป็นปกติตามความเป็นจริงหรือเปล่า

ท่านผู้ฟัง เป็นครับ

ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นปกติ ตามความเป็นจริง สติปัฏฐานก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนั้นเพราะว่า เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน

อย่าลืมคำว่า "เป็นผู้มีปกติ เจริญสติปัฏฐาน" ถ้ามีความต้องการ เข้ามาแทรก ละจากความเป็นปกติ ก็จะทำให้ไม่สามารถที่จะเห็นว่า ขณะนี้เองไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเลย เพราะฉะนั้น หากมุ่งหน้าที่จะไปรู้นามบ้าง รูปบ้าง ในบางแห่งก็ไม่สามารถที่ปัญญาจะเจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นว่าธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา อย่าลืมซีคะ (เมื่อใช้คำว่า) ธรรมทั้งหลายแล้วจะเลือกได้อย่างไร

ท่านผู้ฟัง อย่างที่ผมพูดนี่ ไม่ใช่เลือกครับ ตามทางที่ผมนั่งรถมานี่ผมก็พยายามระลึกนึกเหมือนกัน แต่สติเกิดน้อย มันหลงลืมเรื่อยครับ

ท่านอาจารย์ เวลาที่ฟังธรรม ต้องฟังด้วยดี และพิจารณาด้วยดี พยัญชนะอาจจะกล่าวว่า "เจริญสติ" แต่ความเป็นจริงต้องเข้าใจว่า แท้จริงแล้ว สติเจริญไม่มีสัตว์ บุคคลใด บุคคลหนึ่งเป็นผู้ที่ทำการเจริญสติ เพราะว่า ถ้าสติไม่เกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนั้น และเจตสิกอื่นไม่สามารถที่จะกระทำกิจของ "สติเจตสิก" ได้ เพราะฉะนั้น แม้พยัญชนะจะกล่าวว่า "เป็นผู้มีปกติเจริญสติ" แต่โดยความหมายรู้ว่า สภาพธรรม เป็น อนัตตา

จึงควรเข้าใจด้วยว่า แท้จริงแล้ว "สติเจริญ" ไม่ใช่มีผู้หนึ่งผู้ใด ที่เจริญสติ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นผู้มีความปกติตามธรรมดา เมื่อสติเกิด ระลึกได้ แล้วจะเห็นว่า "สติ" เป็นอนัตตา ไม่ใช่ "เรา" เป็นผู้ไปทำสติ

ท่านผู้ฟัง ก็ต้องการรู้อย่างนั้น

ท่านอาจารย์ ทางที่จะรู้มีไหมคะ (ตอบว่า มีครับ) แล้วทำอย่างไร

ท่านผู้ฟัง ขณะนี้ ก็กำหนดวิญญาณทางหู

ท่านอาจารย์ ใครกำหนดคะ

ท่านผู้ฟัง ก็สติ ซิครับ

ท่านอาจารย์ ถ้าสติเกิดในขณะนี้ จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จึงจะชื่อว่า ตามปกติ ตามความเป็นจริง อย่าลืมคำว่า "ตามปกติ ตามความเป็นจริง" ค่ะ อย่าไป "ทำ" ให้ผิดปกติ หรือผิดไปจากความเป็นจริง โลภมูลจิตเกิด ควรรู้ไหม โทสมูลจิตเกิด ควรระลึกรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไหม ถ้าไม่เลือก สติปัฏฐานจะระลึกรู้สภาพธรรมตามปกติได้มากขึ้น และเป็นปกติจริงๆ ข้อสำคัญที่สุด คือ "เป็นปกติ" และรู้ "ความเป็นอนัตตา" ของสภาพธรรมที่เกิด ตามปกติด้วย

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prachern.s
วันที่ 24 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 24 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
opanayigo
วันที่ 24 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
suwit02
วันที่ 24 ก.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ajarnkruo
วันที่ 24 ก.ย. 2551

ท่านอาจารย์บรรยายไว้ละเอียด ชัดเจน และคมคายมากครับ

...ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Noparat
วันที่ 24 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 25 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
อิน
วันที่ 25 ก.ย. 2551

ปกติ

ขณะนี้ ยังไม่ใช่ผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน แต่เริ่มค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่าปกติ ไม่ใช่การทำ จดจ้อง ต้องการ เมื่อไหร่ที่มี การทำ เพราะอยากเจริญสติปัฏฐาน เมื่อนั้น คือ ถูกโลภะชักนำ โดนหลอก

^-^ ขออนุโมทนาในกุศลจิตในความเป็นมิตรของทุกท่านค่ะ ^-^

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
petcharath
วันที่ 26 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วิริยะ
วันที่ 22 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
รากไม้
วันที่ 22 ม.ค. 2553

...อนุโมทนาในกุศลจิต ของทุกดวงจิตที่ใกล้พระธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
คุณ
วันที่ 22 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่ 22 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
swanjariya
วันที่ 21 มิ.ย. 2559

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

ขออนุโมทนาขอบพระคุณทุกท่านที่เกี่ยวข้องค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ