อาโป - เตโช - วาโย


    ถาม   ขอเรียนถามเรื่องอาโปธาตุ ที่อาจารย์บอกว่า น้ำในแก้วไม่ใช่อาโป หมายความว่ามีส่วนผสมทุกธาตุอยู่ในนั้นหรือคะ

    ท่านอาจารย์    เราเรียกว่า “น้ำ” ใช่ไหมคะ  แล้วเราก็แปลอาโปว่า ธาตุน้ำ  แต่ไม่ใช่หมายความว่า น้ำในแก้ว ธาตุน้ำคือธาตุที่เกาะกุมรูปอื่นซึ่งเกิดรวมกัน เพราะฉะนั้นเวลาหลับตาแล้วเอามือสัมผัสน้ำ จะรู้ไหมคะว่าเป็นน้ำ จำได้ไหมคะ อาจจะมีลักษณะที่เหลว ที่เบา ก็ทำให้ทรงจำได้ว่าเป็นน้ำ แต่จริงๆแล้วกำลังกระทบสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน อย่างน้ำร้อน จับดูก็ร้อน กระทบดูก็ร้อน ลักษณะของธาตุน้ำหายไปไหน มีแต่ลักษณะของธาตุไฟที่ปรากฏ

    นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่แยกจากกัน แล้วแต่ว่าอันไหนจะเป็นใหญ่พอให้เราสามารถเทียบเคียงรู้ลักษณะนั้นได้ เช่น ที่เราเรียกว่า น้ำ ก็คือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งเหลวและก็ไหลได้ และกระทบสัมผัส เราก็เรียกลักษณะอาการนั้นคือน้ำ แต่ต้องมีอ่อนหรือแข็ง เวลาที่กระทบสัมผัส

    ผู้ฟัง น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำปัสสาวะ

    ท่านอาจารย์    เหมือนกันหมดค่ะ ทุกชนิดค่ะ จะน้ำอะไรก็เหมือนกันทั้งนั้น  คือต้องไม่ขาดธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม

    ผู้ฟัง แล้วแต่ว่าส่วนผสมของอะไรมากกว่า

    ท่านอาจารย์    ค่ะ

    บุษบง ส่วนธาตุไฟที่มีอยู่ในกาย จะทำหน้าที่ย่อยอาหาร ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์    ค่ะ

    บุษบง นอกจากนั้นแล้วจะเป็นอะไรคะ

    ท่านอาจารย์    ก็รักษาบำรุงร่างกายให้อบอุ่น ถ้ามากไปก็ป่วยไข้

    บุษบง แล้วถ้าลม ลมหายใจ กิริยาที่เราเคลื่อนไหวก็เพราะมีธาตุลมอยู่

    ท่านอาจารย์    ค่ะ ไหวไปด้วยอาการของธาตุลม ที่เกิดจากกรรม หรือเกิดจากจิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร

    มองดูแล้วก็คือธาตุ ไม่น่าจะเป็นของเราเลยใช่ไหมคะ ถ้าเข้าใจจริงๆ  ถ้าลึกลงไปจริงๆ ที่ปัญญาเราสามารถจะรู้ได้ เห็นความจริงได้

    นี่แสดงให้เห็นระดับของปัญญาที่ต่างกัน ระดับนี้ ยุคนี้แสดงเรื่องรูป ๒๘ รูป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม  ก็ยังเป็นตัวเรา เป็นของเรา แต่ถ้าเป็นคนที่มีปัญญามากๆ จะรู้เลย สามารถจะแทงตลอดในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน เวลาที่กระทบสัมผัสสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงฟังสามารถประจักษ์ความจริงได้ ถึงการเกิดขึ้นและดับไปด้วย

    บุษบง ต้องถึงขั้นพระโสดาหรือเปล่าคะ

    ท่านอาจารย์ ก่อนค่ะ วิปัสสนาญาณต้องเกิด สติปัฏฐานต้องเกิด ปัญญาที่ค่อยๆอบรมไป สติต้องระลึกรู้ทีละเล็กทีละน้อย

    บุษบง ดิฉันนึกว่าต้องเป็นพระอริยะ ถึงจะทราบได้

    ท่านอาจารย์ การเป็นพระอริยบุคคลเป็นด้วยปัญญา ถ้าปัญญาไม่เกิด เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ แล้วก่อนปัญญาจะเกิดถึงความเป็นพระอริยะ ปัญญานั้นต้องมาจากการสะสมทีละเล็กทีละน้อย  ไม่อย่างนั้นพระอริยะก็เต็มบ้านเต็มเมือง

    บุษบง หมายความว่าต้องประจักษ์

    ท่านอาจารย์ นั่นซิคะ แต่ก่อนจะประจักษ์

    บุษบง ก็เข้าใจตามที่ได้ฟังกันมา

    ท่านอาจารย์ และรับฟังกันมา ตอนที่จะประจักษ์หรือก่อนจะประจักษ์ ต้องมีหนทางที่ทำให้ประจักษ์

    บุษบง อย่างนึกคิด พอมาศึกษาเรื่องรูป ๒๘ ถ้าแยกไปแล้ว ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ เข้าใจว่าไม่มีอะไร  แต่ไม่ใช่ประจักษ์ นี่คือความต่างกัน

    บุษบง นั่นซิคะ ดิฉันถึงถามว่า ขั้นประจักษ์ต้องเป็นพระอริยบุคคล คือ พระโสดาบันหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ก่อนค่ะ วิปัสสนาญาณแต่ละขั้นต้องมี ก่อนจะถึงความเป็นพระอริยบุคคล แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้มากแค่ไหน เหนียวแน่นแค่ไหน เพียงวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๑ ไม่สามารถละความเป็นตัวตนได้ ทั้งๆที่ประจักษ์ลักษณะที่เป็นนามธรรมรูปธรรม

    บุษบง กราบเรียนถามว่า วิปัสสนาญาณขั้นไหนที่ถือว่าถึงระดับพระอริยบุคคลแล้ว

    ท่านอาจารย์ ขั้นอริยมรรคค่ะ ขั้นโสตาปัตติมรรค หลังจากโคตรภู

    บุษบง ดิฉันเข้าใจผิดมากเลย คิดว่าอย่างไรๆตัวเองคงไม่มีทางเข้าใจแน่ว่า รูปนามคืออะไร พูดอย่างนี้ก็เหมือนกับว่าจวนจะถึง แต่ไม่ใช่ เป็นความเข้าใจผิด คิดว่า ขั้นพระโสดาถึงจะรู้ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ ก่อนนั้นนานทีเดียวค่ะ

    บุษบง อย่างนั้นก็อาจมีหลายคนที่สามารถรู้ได้ ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ เราไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงคนอื่นเลย แต่ว่าสภาพธรรมมีจริง  ทนต่อการพิสูจน์ ใครพิสูจน์ก็เรื่องของแต่ละคนที่จะพิสูจน์ พิสูจน์ด้วยอะไร พิสูจน์ด้วยการฟังเข้าใจแล้วไม่พอ สติระลึกที่จะรู้ลักษณะจริงๆที่ไม่ใช่ตัวตน และต้องสะสมเพิ่มขึ้นด้วย จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏ


    หมายเลข 8181
    7 ก.ย. 2558