ละอกุศลเจริญกุศล


        อ.ธิดารัตน์ จากพระคาถาที่ว่า “การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”

        ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ จึงสามารถจะเข้าใจแต่ละคำที่ได้กล่าวถึง เพราะฉะนั้น สั้นๆ ตั้งแต่คำแรกค่ะ

        การไม่ทำบาปทั้งสิ้น แล้วเวลานี้เห็นแล้วเกิดบาป หรือเปล่า เห็น ๑ ขณะจิตดับไป จิตเกิดดับอีก ๓ ขณะต่อมาเป็นบาป หรือเปล่า

        เพราะฉะนั้น อกุศลเกิดแล้ว เพียงแต่จะมีกำลังถึงการล่วงทุจริตกรรม หรือเปล่า เท่านั้นเอง

        เพราะฉะนั้น ยังไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ความประพฤติทางกาย ทางวาจาเกิดเพราะอะไร ก็ไม่รู้ จึงสมควรเข้าใจโดยไม่ลืมว่า แม้ขณะใดก็ตามล่วงศีลเพราะจิตเป็นอกุศล หรือแม้แต่ยังไม่ล่วงศีล เพียงแค่เห็น จิตก็เป็นอกุศลแล้ว มิฉะนั้นก็ไม่สามารถนำไปสู่ความสอดคล้องของข้อความต่อไปได้ ต้องเข้าใจจริงๆ นี่คือประโยชน์ที่ฟังธรรมะแล้วไม่ลืมว่า อกุศลมากแค่ไหน เพราะเหตุว่าจักขุวิญญาณดับ เป็นปัจจัยให้สัมปฏิจฉันนะเกิดขึ้น เพราะเป็นผลของกรรมที่ทำให้จิตนี้ต้องเกิดขึ้น รับ คือ รู้สิ่งที่จักขุวิญญาณเห็นโดยไม่เห็น

        เพราะฉะนั้น ลองคิดดูตามความเป็นจริงว่า ธรรมะจะละเอียดสักแค่ไหน สัมปชัญญะเกิด ๑ ขณะ รับอารมณ์นั้นต่อ ดับไป จิตอีก ๑ ขณะก็รับต่อจากสัมปฏิจฉันนะ ใช้คำว่า “สันตีรณะ” ไม่ต้องคำนึงถึงชื่อ แต่หมายความว่า จิตเหล่านี้ต้องมีอารมณ์เดียวกับจิตที่กำลังเห็น แต่ไม่เห็น และหลังจากนั้นก็เป็นจิตอีก ๑ ขณะ คือ โวฏฐัพพนจิต หรือจะใช้คำว่า “ชวนปฏิปาทกมนสิการ” ก็ได้ ชื่ออาจจะใหม่ แต่บางคนอาจจะเคยได้ยินแล้ว หมายความว่า จิตนี้เกิดแล้ว กุศล และอกุศลที่สะสมมาเกิดต่อได้ทันที ไม่เกิดไม่ได้เลย ใครจะยับยั้งการเกิดดับสืบต่อของจิตในขณะนี้ เพราะเป็นธรรมะ

        ทั้งหมดนี้ฟังเพื่อเข้าถึงความเป็นธรรมะ เพราะธรรมะไม่มีใครยับยั้งได้เลย การเกิดขึ้นเป็นไปต้องเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่า ถ้าสะสมอกุศลไว้มากก็ทำบาปทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง วันนี้มีไหม เห็นไหมคะว่าไม่ต้องไปไกล และไม่ใช่คนอื่นด้วย แต่ละคนพอจะคิดได้ไหมว่า วันนี้มี หรือเปล่า แต่ผ่านไปแล้วจำไม่ได้ เป็นไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร

        นี่คือการจะละบาป ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องจริงที่สามารถค่อยๆ ขัดเกลาจากความเข้าใจ โดยเห็นโทษของอกุศล

        อ.ธิดารัตน์ การยังกุศลให้ถึงพร้อม

        ท่านอาจารย์ การยังกุศลให้ถึงพร้อม พร้อมระดับไหน กายดี วาจาดี ใจดี คือประมาทไม่ได้ เห็นไหมคะ พระธรรมทั้งหมดเพื่อไม่ประมาท เพื่อเข้าใจถูกว่า กิเลสมีมาก และการค่อยๆ เข้าใจธรรมะเป็นหนทางดีที่ทำให้สามารถละกิเลสได้ ถ้าใครคิดว่า ละได้โดยไม่เข้าใจธรรมะ ผู้นั้นเข้าใจผิด

        เพราะฉะนั้น หนทางเดียวจริงๆ คือ ฟังเข้าใจ สะสมความเห็นถูก และในขณะนั้นก็สามารถละอกุศล โดยฟังธรรมะให้เข้าใจ แล้วก็สะสม คือ บำเพ็ญกุศล หรือทำกุศลทุกประการให้ถึงพร้อมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจด้วย ขณะนี้กำลังเป็นกุศลประการหนึ่ง ก่อนเข้ามาฟัง มีกุศลไหมคะ นำดอกไม้มาถวายพระ และยังมีกุศลอื่นอีก ถ้าไม่ลืมที่จะทำ สงเคราะห์ช่วยเหลือ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นโอกาสของกุศลถ้าไม่ประมาท

        เพราะฉะนั้น กว่ากุศลจะถึงพร้อมได้ ต้องถึงทางใจด้วย โกรธใครมาจากบ้าน หรือเปล่า ผูกพันมาด้วย หรือเปล่า ประมาทอกุศลไม่ได้เลย นอกจากจะทำความดีทุกอย่าง ทุกอย่างนี่ต้องเป็นคนเห็นโทษของอกุศล แล้วอกุศลนั้นไม่ใช่คนอื่นด้วย ไม่ใช่ของใครด้วย แต่เป็นอกุศลธรรมที่สะสมมามาก จนกระทั่งแม้คิดก็ด้วยจิตที่เป็นอกุศล

        เพราะฉะนั้น ผู้ไม่ประมาท ท่านอุปมาเหมือนบุคคลที่ก้าวไปในป่าซึ่งเต็มไปด้วยหนาม และสิ่งโสโครกทั้งนั้น จึงต้องระมัดระวังสักปานใดที่จะทำให้ตัวเองปลอดภัยจากอกุศล แต่ถ้าไม่มีปัญญาจริงๆ ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ เพียงแต่ขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้ เพราะกุศลเกิด

        อ.ธิดารัตน์ ถึงพร้อม หมายถึงกุศลระดับไหน ถึงจะถึงพร้อม

        ท่านอาจารย์ ทานมีไหม ศีลมีไหม ภาวนามีไหม

        อ.ธิดารัตน์ ก็ต้องอบรมเจริญทั้งทาน ศีล ภาวนา

        ท่านอาจารย์ ค่ะ ทุกโอกาสถ้าเป็นไปได้ เพราะอะไรคะ เพราะสะสมความเข้าใจ และเห็นโทษของอกุศล ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศล ประมาทแล้ว มาอีกมากมายทุกวันๆ ตั้งแต่ละอองธุลีเล็กๆ น้อยๆ จนถึงออกทางกาย ทางวาจา

        เพราะฉะนั้น ผู้มีศรัทธาที่จะได้ฟังพระธรรม ต้องไม่ลืมตัวเองว่า มีอกุศลมากไหมในวันหนึ่งๆ แล้วจากการได้ฟังพระธรรมแล้ว มีปัจจัยที่กุศลจะเกิดมากกว่าที่เคยเกิด หรือเปล่า เพราะโอกาสของกุศลมีทุกขณะ


    หมายเลข 10175
    18 ก.พ. 2567