การเกิดในนรก ในอบายภูมิ ไม่มีท่านผู้ใดต้องการแน่ ถ้าไม่ต้องการผลจริงๆ มีทางเดียวเท่านั้น คือ ต้องละเว้นเหตุที่จะให้เกิดในอบายภูมิ ภัยเวร ๕ ประการเหล่านี้ ทั้งหมดคือเหตุ ถ้าเว้นได้ก็จะทำให้ไม่เกิดในอบายภูมิเลย แต่ต้องเว้นได้จริงๆ ไม่อยากถูกฆ่า แต่ฆ่าคนอื่นบ้างหรือเปล่า ฆ่าสัตว์อื่นบ้างหรือเปล่า ไม่อยากให้บุคคลอื่นพูดเท็จกับตน แต่ท่านพูดเท็จกับคนอื่นบ้างหรือเปล่า
รับฟัง ...
ละเว้นเหตุที่จะให้เกิดในอบายภูมิ
สำหรับเรื่องของผล คือ การเกิดในนรก ในอบายภูมิ ไม่มีท่านผู้ใดต้องการแน่ ถ้าไม่ต้องการผลจริงๆ มีทางเดียวเท่านั้น คือ ต้องละเว้นเหตุที่จะให้เกิดในอบายภูมิ ซึ่งในเรื่องนี้พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีใน เวรภยสูตรที่ ๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ความว่า
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี ผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า
ดูกร คฤหบดี ภัยเวร ๕ ประการของอริยสาวกสงบระงับแล้ว อริยสาวกประกอบแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการ และญายธรรมอันประเสริฐ อริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา อริยสาวกนั้นหวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า
ภัยเวร ๕ ประการ เป็นไฉน
ดูกร คฤหบดี บุคคลผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ย่อมประสบภัยเวรอันใดที่เป็นไปในปัจจุบันก็มี ที่เป็นไปในสัมปรายภพก็มี ได้เสวยทุกขโทมนัสที่เป็นไปทางใจก็มี ก็เพราะการฆ่าสัตว์เป็นปัจจัย
เมื่ออริยสาวกเว้นจากการฆ่าสัตว์แล้ว ภัยเวรอันนั้นเป็นอันสงบระงับไปด้วยประการฉะนี้
นี่เป็นเหตุที่จะให้ไปสู่นรก ไม่ต้องการผล แต่เว้นเหตุหรือยัง ถ้าไม่ถึงคุณธรรมของความเป็นพระอริยเจ้า ยังไม่ได้ดับเหตุที่จะให้เกิดในอบายภูมิ ยังมีเจตนาฆ่า ยังมีวธกเจตนา แต่ผู้ที่เป็นพระอริยสาวกแล้ว ไม่มีเจตนาอย่างนั้น เพราะว่าเว้นจากการฆ่าสัตว์
สำหรับทุจริตกรรมอื่น คือ บุคคลผู้ลักทรัพย์ พยัญชนะใช้คำนี้ แต่คงหมายถึงการถือเอาวัตถุที่ผู้อื่นไม่ให้ทุกประการ
บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม บุคคลผู้พูดเท็จ บุคคลผู้ดื่มน้ำเมา คือ สุรา เมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ย่อมประสบภัยเวรอันใด ที่เป็นไปในปัจจุบันก็มี ที่เป็นไปในสัมปรายภพก็มี ได้เสวยทุกขโทมนัสที่เป็นไปทางใจก็มี ก็เพราะดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเป็นปัจจัย
เมื่ออริยสาวกงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ภัยเวรอันนั้นเป็นอันสงบระงับไปด้วยประการฉะนี้
ภัยเวร ๕ ประการเหล่านี้ สงบระงับแล้ว
ทั้งหมดคือเหตุ ถ้าเว้นได้ก็จะทำให้ไม่เกิดในอบายภูมิเลย แต่ต้องเว้นได้จริงๆ ไม่อยากถูกฆ่า แต่ฆ่าคนอื่นบ้างหรือเปล่า ฆ่าสัตว์อื่นบ้างหรือเปล่า ไม่อยากให้บุคคลอื่นพูดเท็จกับตน แต่ท่านพูดเท็จกับคนอื่นบ้างหรือเปล่า
ข้อความต่อไปมีว่า
อริยสาวกประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการ เป็นไฉน
ดูกร คฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วไม่ขาด เป็นไปเพื่อสมาธิ
อริยสาวกประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเหล่านี้
อยากจะมีคุณธรรม คือ ความเป็นพระโสดาบันบุคคล ต้องเป็นผู้ที่เลื่อมใส ไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์
ถ้าท่านไม่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติจริงๆ จะเห็นคุณของสติไหม ไม่เห็น เมื่อไม่เห็นคุณของสติ จะเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระมหากรุณาเกื้อกูลแสดงเพื่อให้พุทธบริษัทเจริญสติเห็นคุณของสติได้ไหม ถ้าท่านไม่ใช่ผู้ที่มีปกติเจริญสติก็ไม่ได้ แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ ท่านเห็นคุณของสติ คุณนี้ใครเป็นผู้ทรงแสดงไว้ ถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อุบัติ ไม่ตรัสรู้ จะไม่ทรงแสดงหนทาง คือ การเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานเลย
เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานจะทำให้ท่านมีความเลื่อมใส ไม่หวั่นไหวในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ จนกระทั่งประกอบด้วยคุณของพระโสดาบัน คือ โสตาปัตติยังคะได้
ข้อความต่อไปมีว่า
ก็ญายธรรมอันประเสริฐ อันอริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว
ก็ญายธรรมอันประเสริฐ อันอริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วย ปัญญา เป็นไฉน
ดูกร คฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมกระทำไว้ในใจซึ่งปฏิจจสมุปปาทะ อย่างเดียว โดยอุบายอันแยบคายเป็นอย่างดีว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้ย่อมเกิด ด้วยประการดังนี้
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ย่อมดับ ด้วยประการดังนี้ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เป็นต้น ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
ก็เพราะอวิชชาดับด้วยการสำรอกโดยหาส่วนเหลือมิได้ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
ญายธรรมอันประเสริฐนี้ อริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้ว ด้วยปัญญา
ดูกร คฤหบดี เมื่อใดภัยเวร ๕ ประการนี้ของอริยสาวกสงบระงับแล้ว อริยสาวกประกอบแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเหล่านี้ และญายธรรมอันประเสริฐนี้ อันอริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา เมื่อนั้นอริยสาวกนั้นหวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรก กำเนิดสัตว์ติรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า
ญายธรรม ในที่นี้หมายความถึงปฏิจจสมุปปาทะ
ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานที่จะไม่รู้ปฏิจจสมุปปาทะ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะแสดงว่า ไม่รู้ปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม เมื่อไม่รู้ปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม ที่จะละคลายไม่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ก็ไม่ได้ แต่การที่จะละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เพราะรู้ปัจจัย [ตอนที่ 246]