[คำที่ ๗๒๕] มหาอวิชฺชา
โดย Sudhipong.U  11 ก.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50356

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “มหาอวิชฺชา

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

มหาอวิชฺชา อ่านตามภาษาบาลีว่า มะ - หา - อะ - วิด - ชา มาจากคำว่า มหา (มาก) กับคำว่า อวิชฺชา (ความไม่รู้) รวมกันเป็น มหาอวิชฺชา เขียนเป็นไทยได้ว่า มหาอวิชชา แปลว่า ความไม่รู้ที่มีมาก, มหาอวิชชา แสดงถึงความจริงของอกุศลธรรมประการหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เกิดกับอกุศลจิตทุกขณะ สะสมสืบต่อในจิต ตราบใดก็ตามที่ยังมีอวิชชาอยู่ ก็ยังเป็นเหตุให้ทำกรรมที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ทำให้ท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ต่อไป เมื่ออวิชชาซึ่งเป็นความไม่รู้เกิดขึ้น ก็ผูกสัตว์ไว้ในความไม่รู้ประการนั้นๆ ผูกไว้ไม่ให้เป็นกุศล ผูกไว้ไม่ให้ออกไปจากวัฏฏะ และอวิชชาความไม่รู้ ก็เป็นรากเหง้าของความไม่ดีทั้งหมด ที่มีการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีประการต่างๆ ก็เพราะอวิชชา ผู้ที่จะดับอวิชชาได้อย่างหมดสิ้น คือพระอรหันต์เท่านั้น พระอรหันต์เป็นผู้ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสทั้งปวง อวิชชาที่สะสมมาอย่างมากและยาวนานในสังสารวัฏฏ์ จึงเรียกว่า มหาอวิชชา เมื่อความไม่รู้ที่มีมากตกไป จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ตามข้อความในสารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค วุฏฐิสูตร ดังนี้

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิชฺชา ได้แก่วิชชาในมรรค ๔ เพราะว่าวิชชานั้น เมื่อเกิดย่อมถอนขึ้นซึ่งอกุศลธรรมทั้งปวง ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วิชฺชา อุปฺปตตํ เสฏฺฐา แปลว่า บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น วิชชาเป็น สิ่ง ประเสริฐ. บทว่า อวิชฺชา ได้แก่ มหาอวิชชาอันมีวัฏฏะเป็นมูล เพราะอวิชชาที่ตกไป นั่นเป็นสิ่งประเสริฐกว่าสิ่งที่ตกไป คือที่จมลงไป.


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ทุกคำ เป็นคำหวังดี เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูล เป็นประโยชน์ทำให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นกัลยาณมิตรสูงสุด เพราะเหตุว่า ทุกคำจริงของพระองค์ ไม่ได้มีความประสงค์ให้ใครเข้าใจผิดเลยแม้แต่น้อย แต่พระองค์ทรงแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ มากมาย หลากหลาย โดยประการทั้งปวง ที่จะทำให้ผู้ฟังผู้ศึกษาค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจในความเป็นจริงของธรรม ตามความเป็นจริง แม้แต่ในเรื่องของอวิชชา ซึ่งเป็นความไม่รู้ พระองค์ทรงใช้พยัญชนะมากมายที่แสดงถึงความจริงของธรรมประเภทนี้ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน คือ ไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น

อวิชชา ความไม่รู้ ก็ได้แก่ ไม่รู้ในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา สำหรับสิ่งที่มีจริงนั้น มีจริงๆ ในขณะนี้ ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่พ้นจากธรรมเลย ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน เพราะมีจริงทุกขณะ ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมโดยนัยใดๆ ก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ขณะนี้มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีขณะไหนเลยที่ไม่ใช่สภาพธรรม ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก ขณะกุศลจิตเกิด ขณะอกุศลจิตเกิด เป็นต้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริง สภาพธรรมจึงไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่มีจริงในขณะนี้ โดยไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนด้วย

อกุศลจิตทุกขณะ ทุกประเภท เกิดเพราะอวิชชา ซึ่งเป็นความหลง ความไม่รู้ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ไม่รู้ว่าอะไรเป็นผลที่มาจากเหตุ ไม่รู้โดยประการทั้งปวง ความเป็นจริงของอวิชชา ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น เกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมทำกิจหน้าที่ไม่รู้ความจริง เมื่อนั้น, ที่สัตว์โลกทั้งหลายยังท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ก็เพราะยังมีอวิชชาอยู่นั่นเอง ถ้าเป็นผู้ที่สามารถดับอวิชชาได้หมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็จะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง

หากไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจว่า อะไรคือธรรม ธรรมอยู่ในขณะไหน ก็จะไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย เมื่อไม่เข้าใจความจริง กล่าวคือ ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม จึงหลงยึดถือสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หลงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะเหตุว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง จากไม่มี แล้วมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ก็เกิดมี เมื่อมีแล้วก็ดับไปหมดไปไม่เหลือเลย สิ่งที่ดับแล้วจะไม่กลับมาอีกในสังสารวัฏฏ์ เมื่อถูกอวิชชาครอบงำ ก็ไม่รู้ความจริง มืดมิด อุปมาเหมือนคนตาบอด แม้สภาพธรรมกำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ไม่รู้ ทำให้ยังต้องเกิดอีกร่ำไป และจะต้องประสบกับความทุกข์ทั้งกายและใจอันเนื่องมาจากการเกิดอีกมากมายนับประมาณไม่ได้

พระธรรมทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อความเข้าใจถูก เพื่อเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เนื่องจากสะสมความไม่รู้มานานแสนนาน ก็ยังมีความยึดถือว่าเป็นเราอยู่ เป็นเราที่เห็น เป็นเราที่ได้ยิน เป็นเราที่คิดนึก เป็นเราที่ต้องการสิ่งต่างๆ เป็นต้น แต่ตามความเป็นจริง ก็คือ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมีจริงๆ ตามเหตุตามปัจจัยซึ่งไม่ใช่เรา พระธรรมทั้งหมดเพื่อให้รู้ความจริง ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนก็ตาม ขณะเห็นก็จริง แต่ยังไม่รู้ความจริง ขณะกำลังได้ยิน ก็จริง แต่ยังไม่รู้ความจริง ขณะกำลังคิด ก็จริง แต่ไม่รู้ความจริง อวิชชา เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เป็นความไม่รู้ ไม่เห็นความจริง เป็นสภาพที่หุ้มห่อไว้ทำให้ไม่รู้ความจริง อวิชชา เป็นอกุศลธรรมที่แต่ละคนก็สะสมมามากและยาวนานในสังสารวัฏฏ์ สมกับคำว่า “มหาอวิชชา” จริงๆ

ในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต เมื่อเป็นเช่นนี้ อวิชชา จึงเกิดกับขณะจิตมากมายอย่างนับไม่ถ้วน ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่มีทางเข้าใจเลยว่า ตนเองมากไปด้วยอวิชชา เป็นอย่างมาก ตกอยู่ในอวิชชาเสมอๆ ดังนั้น หนทางที่จะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายอวิชชาได้นั้น ก็ด้วยการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิต ประจำวันไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อเห็นคุณค่ามหาศาลของแต่ละคำที่เป็นคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ละเลยโอกาสที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไป เพราะเหตุว่า ทุกครั้งที่ได้ฟังพระธรรม ก็ได้เริ่มสะสม เริ่มปลูกฝังความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี 1 คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 11 ก.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ