ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๙
โดย khampan.a  10 พ.ย. 2562
หัวข้อหมายเลข 31289

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๙ * *

~ ถ้าไม่เข้าใจธรรม บวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ ไม่รู้จักอัธยาศัยของตัวเอง แล้วจะละอาคารบ้านเรือนไปทำไม ไปสนุก ไปรับเงิน ไปให้คนกราบไหว้ แล้วก็ไปสอนผิดๆ ทำลายพระศาสนา เพราะเหตุว่า ไม่ได้พูดคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
~ ถ้ารู้ว่าภิกษุทำลายพระศาสนา จะใส่บาตรไหม? เพราะเหตุว่าช่วยกันทำลายพระศาสนา เลี้ยงดูโจร ให้โจรทำโจรกรรมมากขึ้น รับอาหารจากชาวบ้าน ไปทำสิ่งที่ไม่ใช่พระธรรมวินัย
~ พระภิกษุทุกรูป ที่บวช ก็เพื่อที่จะดำเนินตามรอยพระบาท ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ การขัดเกลากิเลสไม่ใช่มารับเงินรับทอง
~ บวชแล้วไม่เข้าใจธรรม ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
~ พระภิกษุ ไม่ศึกษาพระธรรม ผิด เป็นอาบัติ (มีโทษ) เพราะเหตุว่า การบวช ก็ต้องหมายความว่า ก่อนบวชเป็นคฤหัสถ์ และคฤหัสถ์นั้นก็ต้องได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่ไม่ได้ฟังเลยแล้วบวช อย่างนั้นก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
~ บวชทำไม ในเมื่อเป็นคฤหัสถ์ก็ฟังพระธรรมได้ แต่ว่าเวลาฟังพระธรรม ต่างคนต่างรู้อัธยาศัยของตนเอง จริงใจที่จะสละอาคารบ้านเรือน วัตถุทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ความสนุกสนานรื่นเริง วงศาคณาญาติทั้งหมด เพื่อที่จะอุทิศ (เฉพาะ) ศึกษาพระธรรม และพระวินัย เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะเห็นประโยชน์อย่างยิ่งของพระธรรม ที่จะศึกษาอบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิตได้ จึงบวช ไม่ใช่ใครๆ อยากจะบวชก็บวช
~ ภิกษุใดที่ไม่ศึกษาธรรมให้ลึกซึ้ง กล่าวผิดจากพระธรรมและพระวินัย ภิกษุนั้นเป็นโทษ และก็เป็นอันตราย เพราะเหตุว่า ทำให้คฤหัสถ์หลงผิด เข้าใจผิดด้วย
~ พระภิกษุที่ไม่ประพฤติตามพระวินัย ไม่ปลงอาบัติ ไม่สำนึก ท่านตกนรก ไปสู่อบายภูมิ
~ ถ้าพระภิกษุ ไม่ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจธรรม แต่บวช เป็นโทษอย่างยิ่ง ไม่ดำรงพระศาสนา และก็ทำให้คฤหัสถ์หลงผิด เข้าใจผิด ด้วย
~ พระภิกษุต่างจากเพศคฤหัสถ์ พระภิกษุเป็นเพศที่สูงยิ่ง ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติให้สมกับการเป็นเพศที่สูงยิ่งแล้วจะเป็นภิกษุได้อย่างไร .... รับเงินรับทอง เป็นภิกษุได้อย่างไร
~ ขอเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นผิด ต้องอาจหาญร่าเริง กล้าหาญจริงๆ ที่จะอยู่ฝ่ายถูก
~ ถ้ามีความเห็นถูกต้องจริงๆ จะเห็นคุณประโยชน์ของการมั่นคงในสิ่งที่ถูกต้อง วันหนึ่งข้างหน้าก็จะได้ประโยชน์ใหญ่ ในการไม่ตามสิ่งที่ผิด หรือตามหมู่คณะในทางที่ผิด เป็นผู้กล้ายืนอยู่ในทางที่ถูกได้
~ สิ่งหนึ่งที่เป็นอันตราย แม้แต่ผู้ศึกษาธรรม คือ การติดในลาภ สักการะ สรรเสริญ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้มั่นคงจริงๆ เพื่อการละ ไม่ว่าจะศึกษา จะทำงานเผยแพร่พระพุทธศาสนา ก็เป็นไปเพื่อการละ
~ ใครก็ตามที่จะรักษาพระพุทธศาสนา ก็ต้องเข้าใจธรรม แล้วคนที่ต้องการจะรักษาพระพุทธศาสนา ศึกษาธรรมหรือเปล่า เข้าใจธรรมหรือเปล่า มีแต่จะรักษา จะรักษาอย่างไร รักษาด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจ ก็รักษาไม่ได้
~ ถ้าช่วยให้ทุกคนได้เข้าใจถูก เป็นประโยชน์ไหม? เป็นผลดีไหม? และก็เป็นกุศลด้วย เป็นการขัดเกลากิเลส เพราะธรรม ตรง ความถูกต้องที่ได้พิจารณาแล้ว จะผิดไม่ได้เลย
~ ชาวพุทธต้องฟังพระธรรม จึงจะเป็นชาวพุทธจริงๆ ถ้าไม่ใช่ชาวพุทธที่เข้าใจพระธรรมที่ศึกษาจริงๆ เป็นผู้ทำลายพระศาสนา
~ สำหรับทางวาจา กิเลสก็มีกำลังที่จะทำให้กระทำวจีทุจริตได้ มุสาวาทพูดสิ่งที่ไม่จริง กุศลจิตจะทำให้ทำอย่างนี้ไหม? ไม่เลย, มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพูดสิ่งที่ไม่จริง แต่เพราะอกุศลจิตมีกำลัง จึงทำให้พูดในสิ่งที่ไม่จริง ใครรู้ว่ากำลังพูดในสิ่งที่ไม่จริง คนที่กำลังพูดทราบใช่ไหม ว่า กำลังพูดในสิ่งที่ไม่จริง ในขณะนั้นเป็นอกุศลจิต สติไม่ได้เกิดขึ้นระลึกรู้ในสภาพที่เป็นนามธรรมที่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น เมื่อหลงลืมสติขณะใด ก็กระทำทุจริตกรรมได้
~ พอได้ยินคำว่ากิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ไม่มีใครชอบ แต่มีทุกคน มากบ้างน้อยบ้าง แต่ส่วนมาก ก็มีมาก เยอะ มีทุกวันก็ไม่รู้
~ ปัญญาประเสริฐที่สุด ปัญญา ละอกุศล ถ้าไม่มีปัญญาจะละอกุศลได้อย่างไร
~ เรื่องเศร้าทั้งนั้นใช่ไหมสำหรับชีวิตซึ่งเต็มไปด้วยความรักใคร่ ความริษยา ความอาฆาตต่างๆ จากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง ไม่มีสิ้นสุดเลย ถ้าในขณะนั้นไม่ได้ระลึกรู้ว่าเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรม ชีวิตก็ย่อมจะไม่มีการขัดเกลา แล้วก็ย่อมจะพอกพูนเต็มไปด้วยความรักใคร่ ความผูกพัน ความริษยาอาฆาตต่างๆ สืบต่อไป เป็นภพเป็นชาติต่อๆ ไปในสังสารวัฎฎ์
~ ถ้ามีความเข้าใจธรรมแล้วจะพูดตรงตามความเข้าใจไหม? เพื่อประโยชน์ ไม่ใช่ตามที่คิดว่า ถ้าเราพูดตรงแล้วคนอื่นจะไม่พอใจ ถึงเขาไม่พอใจ แต่วันหนึ่งเขาจะต้องรู้ถึงความหวังดีของเรา ถ้าเป็นเพื่อนที่ดี มีความหวังดี ก็คือ พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูลบุคคลอื่น
~ ถ้ารู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเข้าใจถูกต้อง จะละเลยเพิกเฉยต่อการที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องเพื่อดำรงพระพุทธศาสนาหรือไม่? ถ้าเกรงใจไม่กล้าพูดไม่กล้าแสดงความถูกต้อง คนอื่นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แล้วนั่นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?
~ คำสอนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความเข้าใจถูกต้องขึ้นในความไม่มีเรา ไม่ใช่แค่พูด แต่ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ในขณะนั้น
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะตรัสกับใคร ก็คือ ตรัสกับผู้ฟัง คือ เราเดี๋ยวนี้
~ สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ ต้องรู้ว่า จุดประสงค์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงให้คนอื่นได้ฟัง เพื่อเขาจะได้รู้ความจริง ว่า ไม่มีเรา ไม่มีเขา แต่มีธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งใครๆ ก็ไปบังคับบัญชาไม่ได้ ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป ต้องดับแน่นอน ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว
~ ชีวิต ก็คือ เพียงแค่จากไม่มีแล้วก็มีแล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีกเลยแล้วก็ไม่รู้ ก็หลงยึดถือว่า มีอยู่ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะพอใจในสิ่งใด ถ้ารู้จริงๆ ว่า สิ่งที่พอใจนั้นเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย อันไหนล่ะที่พอใจ ดับแล้ว ไม่มี แล้วก็ไม่รู้
~ มีอาหารที่อร่อย ๑ จาน คิดต่างกัน เพราะจิตใจต่างกัน บางคน บอกว่า เป็นของอร่อย ฉันจะกิน ส่วนอีกคน ก็มีความคิดว่า เมื่อเป็นของอร่อย ควรที่จะให้คนอื่นได้รับประทานด้วย ก็แบ่งให้คนอื่น เป็นประโยชน์กับคนอื่น
~ เป็นชาวพุทธก็ต้องรู้จักพุทธะ พุทธะ คือ พระพุทธรัตนะ
(พระสัมมาสัมพุทธเจ้า) รู้จักคำสอนคือพระพุทธศาสนา แต่ถ้าไม่ฟังไม่เข้าใจให้ถูกต้อง จะกล่าวว่าเป็นชาวพุทธได้อย่างไร เพราะฉะนั้น แม้แต่ชาวพุทธ ก็ไม่เป็น เป็นแต่เพียงเรียกกันเองว่าชาวพุทธแล้วยังเรียกร้องให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอีก โดยไม่รู้อะไรเลย แล้วไปเรียกร้องมาทำไม ถ้าเข้าใจจริงๆ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่ทุกประเทศ ประเทศไหนก็ตามแต่ที่ฟังธรรมเข้าใจเป็นชาวพุทธทั้งหมด ไม่ต้องเป็นประจำชาติไหนเลยทั้งสิ้น เพราะว่าประจำโลก ไม่ใช่ประจำแต่เฉพาะชาติหนึ่งชาติใด
~ ไม่ว่าจะศึกษาวิชาการใดๆ มามากอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีวันรู้ความจริงตั้งแต่เกิดจนตาย.

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๘


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย j.jim  วันที่ 10 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย mammam929  วันที่ 11 พ.ย. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย meenalovechoompoo  วันที่ 11 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย jaturong  วันที่ 11 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย เมตตา  วันที่ 11 พ.ย. 2562

... ขอบพระคุณ​และขออนุโมทนาค่ะ​ ...


ความคิดเห็น 6    โดย kukeart  วันที่ 13 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย มกร  วันที่ 15 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย peem  วันที่ 16 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย Selaruck  วันที่ 18 พ.ย. 2562

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

กราบขอบคุณและอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย มังกรทอง  วันที่ 15 มี.ค. 2565

เป็นธรรมทุกขณะ อย่าลืม ไม่มีขณะไหนเลย ซึ่งไม่ใช่ธรรม หลายท่านทีเดียวอยากจะพบธรรม อยากจะเห็นธรรม แสวงหาธรรม แต่ว่าธรรมกำลังมีอยู่ในขณะนี้ กำลังปรากฏทุกหนทุกแห่ง เป็นสภาพธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแสวงหาธรรมเลย เพราะธรรมกำลังปรากฏอยู่แล้ว จะรู้ธรรม ก็รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามความเป็นจริง จะเห็นธรรม จะเข้าใจธรรม ก็ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าที่ไหน น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 11    โดย มังกรทอง  วันที่ 15 มี.ค. 2565

ชีวิต ก็คือ เพียงแค่จากไม่มีแล้วก็มีแล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีกเลยแล้วก็ไม่รู้ ก็หลงยึดถือว่า มีอยู่ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะพอใจในสิ่งใด ถ้ารู้จริงๆ ว่า สิ่งที่พอใจนั้นเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย อันไหนล่ะที่พอใจ ดับแล้ว ไม่มี แล้วก็ไม่รู้

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 15 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย มังกรทอง  วันที่ 28 มิ.ย. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ