เจริญพร
ขอความรู้เรื่องอุปาทาน ๔ จากท่านอาจารย์ด้วยจ้ะ
ข้อแรกอยากทราบว่า การละอุปาทานได้ทั้ง ๔ ข้อ คือ กามุปาทาน สีลัพพตุปาทาน ทิฏฐุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน จึงหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นบรรลุเป็นพระอรหันต์ ใช่หรือไม่
ข้อที่สอง มานะหรือมานานุสัยจัดอยู่ในอุปาทาน ๔ ข้อใด
ขอเจริญพร สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อุปาทาน เป็นอกุศลธรรมที่ยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นการยึดถืออย่างมั่นคง ได้แก่ กามุปาทาน ๑ ทิฏฐุปาทาน ๑ สีลัพพตุปาทาน ๑ อัตตวาทุปาทาน ๑ คำอธิบายในเบื้องต้น มีดังนี้
๑. กามุปาทาน หมายถึง ความยึดมั่นในกาม ได้แก่ ความยึดมั่นในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบทางกาย) จึงชื่อว่า กามุปาทาน ซึ่งแต่ละคนก็คงจะพอเห็นถึงความเหนียวแน่น ในความติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะว่า ยากเหลือเกินที่จะละได้ เพราะว่ายึดติดแน่นมาก และอย่างกว้างแล้ว ทรงแสดง กามุปาทาน หมายรวมถึงความติดข้องยินดีในภพ คือ ในการเกิด ด้วย ดังนั้น เมื่อกล่าวโดยสูงสุดแล้ว ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่จะดับกามุปาทานได้อย่างหมดสิ้น
๒. ทิฏฐุปาทาน หมายถึง ความยึดมั่นด้วยความเห็นผิด มีความเห็นผิดว่า บุญ ไม่มี บาป ไม่มี การกระทำความดีไม่มีผล การกระทำชั่ว ไม่มีผล การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ไม่มีผล เห็นว่า สัตว์ตายแล้วสูญบ้าง เป็นต้น ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริง แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง แต่ผู้ที่มีความยึดมั่นในความเห็นอย่างนั้น ก็ไม่สามารถที่จะสละความยึดมั่นอย่างนั้นได้ นี้คือ ทิฏฐุปาทาน
๓. สีลัพพตุปาทาน หมายถึง การยึดถือข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด อย่างเช่น ในสมัยก่อนจนถึงสมัยนี้ ที่เมืองพาราณสี อินเดีย เมื่อมีความเห็นผิด ก็มีข้อปฏิบัติทางกายที่ผิดๆ หลายอย่าง ซึ่งเป็นความยึดมั่นว่าข้อปฏิบัติทางกายที่ตนเองประพฤติ เช่น การลงอาบน้ำในแม่น้ำคงคาวันละ ๓ ครั้ง จะทำให้หมดกิเลสได้ เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วที่ละเอียดยิ่งไปกว่านั้น การจดจ้องต้องการที่จะรู้สภาพธรรม การไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ เช่น เข้าสำนักปฏิบัติ ทำผิดๆ ในรูปแบบต่างๆ ตามๆ กันไป ตามผู้บอกผู้สอน ด้วยความสำคัญผิดว่าจะเป็นเหตุให้หมดจดจากกิเลส ล้วนเป็นสีลัพพตุปาทาน คือ การยึดถือข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด ทั้งหมด
ความต่างกันระหว่างทิฏฐุปาทานกับสีลัพพตุปาทานที่พอจะพิจาณาได้ เช่น บางคนไม่ได้ปฏิบัติอะไร มีแต่เพียงความเห็นว่า ตายแล้วสูญไปเลย ก็สนุกสนานรื่นเริงไปวันหนึ่งๆ นี้เป็นทิฏฐุปาทาน แต่ถ้ามีการปฏิบัติในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิดคิดว่าเป็นข้อวัตรปฏิบัติถูก ขณะนั้น เป็นสีลัพพตุปาทาน เป็นการยึดมั่นในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด
๔. อัตตวาทุปาทาน หมายถึง การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นอัตตาหรือเป็นตัวตน ตามความเป็นจริงแล้วสภาพธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน แต่เพราะมีความเห็นผิด จึงหลงยึดถือว่า มีตัวตน มีสัตว์ มีบุคคลจริงๆ
เมื่อว่าโดยสภาพธรรม แล้ว ทั้งทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทานและอัตตวาทุปาทาน ก็คือ ทิฏฐิเจตสิก (คือความเห็นผิด) นั่นเอง
การดับอุปาทาน เป็นการดับด้วยปัญญาในระดับขั้นที่เป็นโลกุตตระ กล่าวคือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทานและอัตวาทุปาทาน ดับได้ด้วยโสตาปัตติมรรค กามุปาทาน ที่เป็นความยึดมั่นในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ดับได้ด้วยอนาคามิมรรค ถ้าเป็น กามุปาทาน ที่ยึดมั่นในภพ ยินดีในการเกิด ดับได้ด้วยอรหัตตมรรค ดังนั้น พระอริยบุคคล แม้ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ดับอุปาทานได้ แต่ถ้าจะดับได้อย่างหมดสิ้นต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ครับ
มานะ คือ ความสำคัญตนถือตน เป็นการเปรียบเทียบว่าเราดีกว่าเขา เราต่ำกว่าเขา หรือ เราเสมอเขา มานะ ไม่ได้เป็นอกุศลธรรมประเภทอุปาทาน แต่เป็นอกุศลธรรมกองอื่นๆ กล่าวคือเป็น อนุสัย สังโยชน์ กิเลส สำหรับมานะ เป็นอกุศลธรรมที่จะถูกดับได้หมดสิ้นเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ ครับ
... ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
ขอเจริญพรจ้ะโยมอาจารย์ khampan.a อาตมภาพขอรบกวนสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องอุปาทาน ๔ และมานะ จากที่ได้อ่านพบใน ตุวฏกสุตตนิทเทส พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯเล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส ที่ท่านพระสารีบุตรเถระ อธิบายคำถามของพระพุทธเนรมิตและคำตอบของพระพุทธเจ้า ตามที่แนบมานี้ ด้วยจ้ะ
พระสารีบุตรเถระจะกล่าวอธิบายตุวฏกสูตร ดังต่อไปนี้
[๑๕๐] (พระพุทธเนรมิตทูลถามว่า)
ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์
ผู้ทรงเป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ผู้มีวิเวก มีสันติบท
ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ว่า
ภิกษุเห็นอย่างไร จึงไม่ถือมั่น อะไรๆ ในโลก ดับไป
คำว่า ภิกษุเห็นอย่างไร ... ดับไป อธิบายว่า ภิกษุเห็น คือ
แลเห็น เทียบเคียง พิจารณา ทำให้กระจ่าง ทำให้แจ่มแจ้ง อย่างไร จึงทำให้ราคะของตนดับไป ทำให้โทสะของตนดับไป ทำให้โมหะของตนดับไป ทำให้โกธะ ... อุปนาหะ ... มักขะ ... ปฬาสะ ... อิสสา ... มัจฉริยะ ... มายา ... สาเถยยะ ... ถัมภะ ... สารัมภะ ... มานะ ... อติมานะ ... มทะ ... ปมาทะ ... กิเลสทุกชนิด ... ทุจริตทุกทาง ... ความกระวนกระวายทุกอย่าง ... ความเร่าร้อนทุกสถาน ... ความเดือดร้อนทุกประการ ... อกุสลาภิสังขารทุกประเภทดับไป คือ ทำให้สงบ ให้เข้าไปสงบ ให้สงบเย็น ระงับเสียได้
คำว่า ภิกษุ ได้แก่ ภิกษุผู้เป็นกัลยาณปุถุชน หรือ ภิกษุผู้เป็นพระเสขะ รวมความว่า ภิกษุเห็นอย่างไร ... ดับไป
คำว่า จึงไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ได้แก่ ไม่ถือมั่น คือ ไม่ถือ ไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ๔
คำว่า ในโลก ได้แก่ ใน อบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก
คำว่า อะไรๆ ได้แก่ อะไรๆ ที่เป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รวมความว่า จึงไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ด้วยเหตุนั้น พระพุทธเนรมิตจึงทูลถามว่า
ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์
ผู้ทรงเป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ผู้มีวิเวก มีสันติบท
ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ว่า ภิกษุเห็นอย่างไร
จึงไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดับไป
[๑๕๑] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ ดังนี้)
ภิกษุพึงขจัดบาปธรรมทั้งปวง
ที่เป็น รากเหง้าของส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า และ อัสมิมานะ ด้วย มันตา
ตัณหาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดในภายใน
ภิกษุมีสติทุกเมื่อ พึงศึกษาเพื่อกำจัดตัณหาเหล่านั้น
ว่าด้วยธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า
คำว่า ภิกษุพึงขจัดบาปธรรมทั้งปวง ที่เป็นรากเหง้าของส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้าและอัสมิมานะด้วยมันตา อธิบายว่า ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้านั่นแหละ ชื่อว่าส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า คือ ส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้าคือ ตัณหา ส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้าคือ ทิฏฐิ
รากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหา คืออะไร คือ อวิชชา (ความไม่รู้) อโยนิโสมนสิการ (ความไม่ทำไว้ในใจโดยแยบคาย) อัสมิมานะ (ความถือตัว) อหิริกะ (ความไม่ละอาย) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัว) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
นี้ชื่อว่า รากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้าคือ ตัณหา
รากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้าคือทิฏฐิ คืออะไร คือ อวิชชา อโยนิโสมนสิการ อัสมิมานะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ
นี้ชื่อว่า รากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้าคือ ทิฏฐิ
คำว่า พึงขจัดบาปธรรมทั้งปวง ... อัสมิมานะด้วยมันตา อธิบายว่า
ปัญญา ตรัสเรียกว่า มันตา คือ ความรู้ทั่ว กิริยาที่รู้ชัด ... ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิ
คำว่า อัสมิมานะ ได้แก่ มานะ ว่า “มีเรา” ฉันทะ ว่า “มีเรา” อนุสัย ว่า “มีเรา” ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
คำว่า ภิกษุพึงขจัดบาปธรรมทั้งปวง ที่เป็นรากเหง้าของส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้าและอัสมิมานะด้วยมันตา อธิบายว่า
ภิกษุพึงขจัด คือ เข้าไปขจัด ให้ดับ ให้เข้าไปสงบ ให้ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ระงับบาปธรรมทั้งปวง ที่เป็นรากเหง้าของส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า และอัสมิมานะ ด้วยมันตา รวมความว่า ภิกษุพึงขจัดบาปธรรมทั้งปวง ที่เป็นรากเหง้าของส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้าและอัสมิมานะด้วยมันตา
จากพระสูตรนี้ อาตมภาพอยากรบกวนสอบถามเพิ่มเติมว่า
ข้อที่ ๑ จึงไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ตามคำอธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ หมายถึง การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ด้วยอุปาทาน ๔ ใช่ไหม
ข้อที่ ๒ อัสมิมานะ ได้แก่ มานะ ว่า “มีเรา” ฉันทะ ว่า “มีเรา” อนุสัย ว่า “มีเรา” ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
คำว่า "มีเรา" เป็นการแสดงความหมายถึงการมีอัตตา หรือไม่?
ข้อที่ ๓ มานะว่า “มีเรา” ฉันทะว่า “มีเรา” อนุสัยว่า “มีเรา” ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นการแสดงความหมายถึง ระดับความละเอียดของการยึดมั่นว่ามีเราในขันธ์ ๕ อยู่ ๓ ระดับใช่หรือไม่
อาตมภาพไม่สามารถหาข้อมูลอ้างอิงได้จากที่ไหนเพราะไม่ค่อยได้พบการอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักจึงใคร่ขอความอนุเคราะห์มาที่โยมอาจารย์สุจินต์และทีมงานช่วยให้ความกระจ่างในความลึกซึ้งของพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเป็นพื้นฐานให้อาตมภาพได้มีโอกาสศึกษาพระสัทธรรมได้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่โยมอาจารย์สุจินต์ บริหารนวเขตต์ คณะอาจารย์และคณะทำงานทุกท่านที่ได้ช่วยเผยแผ่พระธรรมคำสอนอันถูกต้องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดำรงมั่นสืบต่อไปเพื่อประโยชน์อย่างยิ่งของพุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวต่างประเทศอย่างยั่งยืนยาวนาน สาธุ สาธุ สาธุ
เรียนความคิดเห็นที่ ๒ ครับ
ข้อที่ ๑ จึงไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ตามคำอธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ หมายถึง การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ด้วยอุปาทาน ๔ ใช่ไหม
ไม่ถือมั่นด้วยการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ด้วยอุปาทาน ๔ ถูกต้องครับ
ข้อที่ ๒ อัสมิมานะ ได้แก่ มานะ ว่า “มีเรา” ฉันทะ ว่า “มีเรา” อนุสัย ว่า “มีเรา” ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
คำว่า "มีเรา" เป็นการแสดงความหมายถึงการมีอัตตา หรือไม่?
ข้อที่ ๓ มานะว่า “มีเรา” ฉันทะว่า “มีเรา” อนุสัยว่า “มีเรา” ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นการแสดงความหมายถึง ระดับความละเอียดของการยึดมั่นว่ามีเราในขันธ์ ๕ อยู่ ๓ ระดับใช่หรือไม่
ข้อ ๒ และ ๓ แสดงถึงความเป็นเรา ด้วย มานะ คือ ความสำคัญตน ไม่ใช่ด้วยความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน ครับ ซึ่งขันธ์ ๕ ก็เป็นที่ตั้งของมานะได้ครับ
... ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
เจริญพร ขออนุโมทาในความอนุเคราะห์ให้ความกระจ่างทางธรรมแก่อาตมภาพครั้งนี้ด้วยจ้ะ สาธุ สาธุ สาธุ