กรรม - วิบากกรรม ๑
โดย ใหญ่ราชบุรี  13 ธ.ค. 2556
หัวข้อหมายเลข 24167

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

กรรม - วิบากกรรม ๑

"เจตนาเกิดแล้วกับจิตทุกขณะ เพียงแต่ว่าเจตนานั้น เป็นกุศลเจตนา หรือ อกุศลเจตนา หรือ ไม่ใช่กุศลเจตนา ไม่ใช่อกุศลเจตนา แต่เป็น เจตนาที่เกิดกับจิต เพราะเป็นผลของกรรม ที่ทำให้ เจตนานั้น ต้องเกิดขึ้น ทำกิจการงานร่วมกับจิตอื่น เช่น จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส พวกนี้นะคะ ก็ต้องมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ขณะนั้นเป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ เจตนาความจงใจ ที่จะเป็น อกุศลกรรม หรือ กุศลกรรม”

“แต่เวลาเดินไปเนี่ย ถ้ากุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นจิตเป็นอะไรคะ กำลังเดินไป ไม่ใช่กุศลที่เดินนะคะ จิตขณะที่เดิน ไม่ใช่กุศลจิตจิตที่ทำให้มีการเคลื่อนไหว ให้รูปเคลื่อนไหวเดินไปเนี่ยเป็นจิตอะไร เป็นอกุศลจิต

ขอเรียนถามนะคะ

๑. กรุณายกตัวอย่างของ “ไม่ใช่กุศลเจตนา ไม่ใช่อกุศลเจตนา”

๒. “จิตที่ทำให้มีการเคลื่อนไหว ให้รูปเคลื่อนไหวเดินไปเนี่ย

เป็นจิตอะไร เป็นอกุศลจิต

ขอเรียนถามว่า การเคลื่อนไหวเป็นอกุศลจิตทุกกรณีหรือไม่ หากเป็นอย่างอื่นได้ ประการใดบ้าง กรุณาอธิบายด้วยค่ะ

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับคำอธิบายและกุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ

ด้วยความเคารพ จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 13 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. กรุณายกตัวอย่างของ “ไม่ใช่กุศลเจตนา ไม่ใช่อกุศลเจตนา” เจตนาเจตสิก เป็นเจตสิกที่จงใจ ตั้งใจ ขวนขวายกระทำกิจ ตามประเภทของเจตนา และสัมปยุตตธรรมที่เกิดร่วมกันในขณะนั้นๆ

การศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงแล้ว เจตนาเจตสิก เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตทุกประเภท ไม่มียกเว้น ทุกครั้งที่จิตเกิดขึ้นจะต้องมีเจตนาเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเจตนาที่เกิดกับจิตประเภทใด กล่าวคือ ถ้าเกิดร่วมกับกุศลจิตก็เป็นกุศล ถ้าเกิดร่วมกับอกุศลจิต ก็เป็นอกุศล ถ้าเกิดร่วมกับวิบากจิต ก็เป็นวิบาก ถ้าเกิดร่วมกับกิริยาจิต ก็เป็นกิริยา ความจริงเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้

สำหรับเจตนาที่เกิดร่วมกับจิตชาติวิบาก กับ ชาติกิริยา ไม่ใช่กรรมที่จะให้ผลในภายหน้า เพราะชาติวิบาก เป็นการรับผลของกรรม ส่วนชาิติกิริยาเป็นเพียงเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วดับไป ไม่เป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้าได้เลย เพราะฉะนั้น เจตนาเจตสิกทีเกิดกับจิตชาตวิบาก และ กิริยา จึงไม่ได้เรียกว่า กุศลเจตนาและอกุศลเจตนา กุศลเจตนา จึงหมายถึง เจตนาเจตสิกที่เกิดกับ กุศลจิค ขณะนั้นเรียกว่า กุศลเจตนา ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่ให้ทาน ก็มีกุศลเจตนา ที่มีความจงใจ ตั้งใจที่จะให้ เป็นเจตนาให้เป็นเจตนาที่ดี จึงเรียกว่า เป็นกุศลเจตนาเพราะ เป็นเจตนาเจตสิทีเกิดกับกุศลจิต รวมความว่า ขณะที่กุศลจิตเกิดทุกประเภท ตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา เป็น กุศลเจตนา เพราะ มี เจตนาเจตสิกเกิดร่วมกับ กุศลจิต ครับ

อกุศลเจตนา ก็โดยนัยตรงกันข้าม คือ เจตนาเจตสิกทีเกิดกับอกุศลจิต เช่น ขณะที่โกรธ ขณะนั้น ก็มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมกับ จิตที่โกรธ ที่มีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย หรือขณะที่ฆ่าสัตว์ ก็มีอกุศลเจตนา คือ เจตนาฆ่าสัตว์ในขณะนั้น ครับ เจตนาเจตสิกทีเกิดกับ วิบากจิต เช่น ขณะที่เห็น ก็มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะนั้น ไม่ใช่ กุศลเจตนาและอกุศลเจตนา เจตนาเจตสิกที่เกิดกับ กิริยาจิตของพระอรหันต์ ขณะนั้น ก็เป็น เจตนาเจตสิกที่เกิดกับกิริยาจิต จึงไม่ใช่ กุศลเจตนา และ อกุศลเจตนา ครับ

๒. “จิตที่ทำให้มีการเคลื่อนไหว ให้รูปเคลื่อนไหวเดินไปเนี่ยเป็นจิตอะไร เป็นอกุศลจิต” ขอเรียนถามว่า การเคลื่อนไหวเป็นอกุศลจิตทุกกรณีหรือไม่ หากเป็นอย่างอื่นได้ ประการใดบ้าง

การเคลื่อนไหวได้ ก็ต้องอาศัยรูปและนามคือ จิต เจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งการเคลื่อนไหวได้ก็อาศัย จิตที่เป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิตก็ได้ รวมทั้ง กิริยาจิตของพระอรหันต์ ก็เป็นปัจจัยให้เคลื่อนไหวได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เคลื่อนไหวที่จะให้ทาน เกิดจากจิตที่คิดจะให้ เป็นต้น หรือ ของพระอรหันต์ที่ท่านเคลือ่นไหวกาย พื่อเดิน ทำกิจธุระ ก็มาจากจิตที่เป็นกิริยาจิต ไม่ใช่ อกุศลจิตเป็นปัจจัยเท่านั้นที่ทำให้เคลื่อนไวได้ ครับ ข้อความจากพี่เมตตา อธิบายเรื่องนี้ไว้น่าฟัง ดังนี้

จิตเห็น เป็นกรรมหรือเปล่า จิตเห็นเป็นผลของกรรม เหตุที่จะทำให้เกิดผลมีเพียง ๒ อย่าง คือ กุศลกรรมและอกุศลกรรม เจตนาที่กระทำกุศลและเจตนาที่กระทำอกุศล ส่วนเจตนาที่เกิดร่วมกับจิตเห็นเป็นผลของกรรม ไม่ใช่เหตุ กุศลกรรมที่เคยกระทำแล้วให้ผลเป็นกุศลวิบาก อกุศลกรรมที่กระทำมาให้ผลเป็นอกุศวิบาก และเมื่อกรรมหนึ่งทำให้ปฏิสนธิเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ด้วยผลของกุศลกรรม ไม่เพียงให้ผลเกิดเท่านั้น เมื่อปฏิสนธิดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดสืบต่อ และยังคงต้องเห็น ได้ยิน..เป็นผลของกรรม ไม่มีใครเลือกเห็น เลือกได้ยินได้ แต่ละคนเกิดในครอบครัวที่แตกต่างเจตนาเกิดพร้อมจิตทุกดวง ขณะเกิดก็มีเจตนาเกิดร่วมด้วย แต่ขณะเกิดเป็นผลของกรรม กรรมให้ผลขณะเกิด ดังนั้นเจตนาที่เกิดพร้อมปฏิสนธิก็เป็นผลของกรรม ในชีวิตประจำวันเรามักพูดถึงกุศลเจตนา และอกุศลเจตนา แต่ยังมีเจตนาที่เกิดกับวิบาก ซึ่งไม่ใช่กุศลเจตนาหรือ อกุศลเจตนาที่จะให้ผลต่อไป เจตนาไม่ใช่โลภะ โลภะไม่ใช่เจตนา เจตนามีลักษณะที่จงใจ โลภะมีลักษณะติดข้อง แต่เมื่อเจตนาเกิดพร้อมโลภะ และเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วย เมื่อโลภะมีกำลังเจตนาจึงกระทำอกุศลกรรม โลภะไม่ได้กระทำอกุศลกรรม เจตนาเป็นกรรม โลภะไม่ใช่กรรม โทสะไม่ใช่กรรม ถ้าโลภะไม่มีกำลัง เจตนาและเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วยก็ไม่มีกำลัง เจตนาไม่มีกำลังที่กระทำกรรม เจตนา เป็นสหชาตปัจจัยแก่โลภะ และเจตสิกที่เกิดพร้อมกันรวมถึงจิตด้วย และเมื่อโลภะมีกำลังขึ้น เจตนาก็มีกำลังด้วยถ้าโลภะไม่มีกำลัง เจตนาก็ไม่มีกำลังที่จะกระทำกรรม โลภะกับเจตนาต่างเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เมื่อโลภะติดข้องจนมีกำลัง เจตนาก็จงใจตั้งใจที่กระทำอกุศลกรรม แต่เพราะความไม่รู้จึงคิดว่าเป็นเราที่ทำอกุศล หรือทำกุศล ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏแต่ละอย่าง และความเข้าใจกิจหน้าที่ของจิต จิตขณะเกิดเป็นวิบาก เป็นผลของกรรม ความเข้าใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเข้าใจความเป็นธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา สะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่จะรู้ได้โดยเร็ว ฟังจนกว่าจะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา แม้เจตนาก็ไม่ใช่เรา

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 13 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-ทุกขณะ ไม่เคยขาดเจตนาเลย เพราะเกิดกับทุกขณะไม่มีมีเว้น ถ้าเกิดกับกุศลจิตก็เป็นกุศลเจตนา ถ้าเกิดกับอกุศลจิต ก็เป็นอกุศลเจตนา ถ้าเกิดกับกิริยาจิตก็เป็นกิริยา และถ้าเกิดกับวิบากจิต ก็เป็นชาติวิบาก ความเป็นจริงของธรรมเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น แม้ไม่เรียกชื่อ ความเป็นจริงของเจตนาก็ไม่เปลี่ยน, ขณะเห็น มี เจตนาที่เกิดร่วมด้วย เจตนาที่เกิดร่วมกับจิตเห็น นี้แหละเป็นตัวอย่างของเจตนาที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล

-กาย วาจา เป็นไปตามจิตจริงๆ ถ้าจิตเป็นกุศล ก็เป็นเหตุให้กาย วาจา เป็นไปในทางที่เป็นกุศล ถูกต้องดีงาม แต่ถ้าเป็นอกุศลแล้ว ตรงกันข้ามเลย เบียดเบียน ประทุษร้ายผู้อื่น ว่าร้ายผู้อื่น เป็นต้น แต่ถ้าเป็นผู้หมดจดจากิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล เกิดขึ้นไปเลย มีจิตเพียง ๒ ชาติเท่านั้น คือ วิบาก กับ กิริยา การกระทำใดๆ ของท่าน เป็นไปด้วยกิริยาจิต ธรรมละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 3    โดย wannee.s  วันที่ 13 ธ.ค. 2556

จิตของพระอรหันต์ที่ทำกิจต่างๆ มี้เจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่เป็น กุศลเจตนา อกุศลเจตนา ค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย natural  วันที่ 13 ธ.ค. 2556

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย kinder  วันที่ 15 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 18 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ