ใคร่ครวญว่ามิใช่เราอย่างไรครับ
โดย บ้านธัมมะ  16 ก.พ. 2564
หัวข้อหมายเลข 33743

ด้วยความเคารพทุกท่านผมสงสัยนิดหนึ่งว่าการเห็น เป็นธรรมะมีจริงๆ สงสัยว่าเห็นดับไป จิตยังมาแปลสภาพที่เห็น เป็นนั่นนี่ เกิดเวทนาชอบไม่ชอบ สุขทุกขที่ได้เห็น บันทึกไว้จำได้ บางทีปรุงต่ออยากเห็นอีกจิตที่แปลสภาพเห็น ใคร่ครวญว่ามิใช่เราอย่างไรครับ

จาก คุณ สงบ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 16 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมเริ่มจากการตั้งต้นว่าไม่ใช่เราเป็นธรรมเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีเราทำอะไรได้เป็นไปตามธรรม จึงไม่มีเราที่จะไปพยายามใคร่ครวญ แต่ค่อยๆ เข้าใจขั้นการฟังว่า สภาพธรรมที่เป็นธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้น เมื่อมีการเห็น ไม่ใช่เราเห็น แต่เป็นจิตเห็น เห็นเกิดแล้วก็ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตประภทอื่นๆ เกิดต่อ บังคับบัญชาไม่ได้เลย เมื่อมีเหตุปัจัจยให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น และ ที่สำคัญต้องเป็นผู้ตรงว่าเป็นปุถุชน ผู้ตรงย่อมได้สาระจากพระธรรม คือ ตรงต่อธรรมว่าเป็นปุถุชน หนาด้วยกิเลส มากด้วยกิเลส และเกิดกิเลสมากเป็นปกติ เดือดร้อนกับกิเลสเป็นปกติ นี่คือความหมายของปุถุชน สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระโสดาบัน

ลืมตา กิเลสก็เกิดแล้ว ติดข้องในสิ่งที่ได้เห็น โลภะ สะสมมามาก ถ้าโลภะมีรูปร่าง จักรวาลก็ไม่พอจะเก็บกิเลส มีมากแค่ไหน ดังนั้น ก็เป็นธรรมดา ธรรมดาคือปกติเกิดแล้ว ที่เห็นแล้วก็เกิดกิเลสเป็นธรรมดาและก็ติดข้องสิ่งที่เห็นแล้วก็คิดนึกต่อเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นธรรมดา ตามสัญญาความจำ จะไปห้าม ไปทำอะไรไม่ให้กิเลสไม่เกิดไม่ได้เลยพอเห็นสิ่งที่ไม่ดีก็ไม่พอใจ ได้ยินเสียงไม่ดีก็โกรธ

ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วว่าคืออะไร คือ เป็นธรรม เบาสบายขึ้นเพราะไม่ใช่เราที่มีกิเลส แต่เป็นธรรมที่เกิด ไม่ใช่เรา การเข้าใจตรงนี้ คือ หนทางละกิเลสที่ถูกต้องเพราะกิเลสที่ต้องละก่อน คือ ละความยึดถือว่าเป็นเราเป็นสัตว์บุคคล เพราะเป็นเรา ก็หนัก จะทำยังไง จะใคร่ครวญยังไง จะทำยังไงให้ทันกิเลส ตัวเราไม่มีทางทัน ปัญญาที่มีกำลังที่จะเป็นความรู้จริงในขณะที่เกิดว่าเป็นธรรม แต่ เป็นผู้ตรงว่าปัญญาน้อยมากๆ อวิชชาความไม่รู้มากมายมหาศาล จะให้ไปพยายามใคร่ครวญ ให้รู้ว่าเป็นธรรมเลย เป็นไปไม่ได้ หนทางที่ถูกก็คือฟังต่อไป ในความมั่นคงว่าไม่มีเราที่จะทำอะไรกิเลสได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแม้กิเลสว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ในขั้นการฟัง ธรรมจะทำหน้าที่เอง เบาสบายด้วยปัญญาที่เริ่มเข้าใจขั้นการฟัง ที่จะไม่ทำ ไม่พยายามหาทางใคร่ครวญ รู้ก็รู้ ไม่รู้ก็ไม่รู้ ฟังต่อไปครับ ในหนทางที่ถูกต้องว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม บังคับบัญชาไม่ได้ ครับ

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 16 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีตัวตนที่ใคร่ครวญ แต่เพราะได้อาศัยการได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงบ่อยๆ เนืองๆ ที่แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ก็ทำให้มีการใคร่ครวญพิจารณาถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังได้ แม้แต่ "เห็น" ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ได้ฟังเรื่องของเห็น จะเข้าใจได้ไหมว่า เห็น เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา และ ที่สำคัญไม่ได้เห็นอยู่ตลอด เพราะเห็น เกิดแล้วดับไป มีจิตขณะอื่น เกิดสืบต่อไป จนถึงการคิดถึงเรื่องที่เห็น ชอบ หรือ ไม่ชอบ เป็นต้น ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ในสภาพธรรมไม่ได้เลย จึงต้องได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คำแล้วคำเล่า ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ว่า มีแต่ธรรมเท่านั้น ไม่มีเรา ไม่ว่าขณะไหน ก็คือ เป็นธรรม เท่านั้นจริงๆ ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 16 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ 


ความคิดเห็น 4    โดย ประสาน  วันที่ 21 ก.พ. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ