English-Hindi 12 July 2025
- (คุณประกาศ - คุ้นเคยมากับการปฏิบัติ ฝึกนั่งตอนเช้าตอนเย็น นานๆ ครั้งก็มีฝึกดูลมหายใจบ้าง ตอนนี้จากการที่เคยปฏิบัติมาสู่ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายมากซึ่งต่างจากสิ่งที่เคยฝึกมา ดังนั้นช่วยให้ความชัดเจนในเรื่องนี้ได้ไหม) เชิญคุณสุคินแปลเป็นภาษาฮินดีให้คุณมานิชก่อน
- เดี๋ยวนี้มีอะไร (คุณประกาศ - กำลังเห็นและขณะเดียวกันก็กำลังคิด) แปลเป็นฮินดีก่อน (คุณสุคิน - สั้นๆ อย่างนี้คุณมานิชเข้าใจ) ดีมาก ทุกอย่างต้องสั้น อย่าคิดว่าพูดยาวๆ แล้วจะเข้าใจ
- เดี๋ยวนี้มีอะไร (มีเห็น มีคิดหลายอย่าง) เพียง ๑ ขณะเดี๋ยวนี้มีอะไร จะปฏิบัติหรือจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ (คุณประกาศ - ขณะนี้ก็เป็นการปฏิบัติ หมายถึงกำลังฟัง กำลังเห็น กำลังพยายามเข้าใจสองสิ่งนี้)
- (คุณสุคิน - จะฟังคำของพระสัมมาสัพพุทธเจ้าก่อนหรือจะฝึกปฏิบัติตามที่มีคนแนะนำก่อน) (คุณประกาศ - ต้องฟังก่อน) (คุณสุคิน - ถูกต้องเพราะก่อนที่จะปฏิบัติต้องรู้ก่อนว่าพระพุทธองค์สอนอะไร ถ้าไปปฏิบัติเลยก็จะไม่เข้าใจว่า จริงๆ แล้วพระองค์สอนว่าอะไร)
- การที่จะช่วยให้คนอื่นเข้าใจต้องสั้นๆ เพราะรู้ว่าต้องมีเวลาคิดให้เป็นความคิดของเขาเอง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวอะไรถึงขณะนี้หรือเปล่า (คุณประกาศ - บางครั้งไม่เข้าใจคำถาม) แต่เป็นคำถามธรรมดาๆ ไม่ใช่ภาษาบาลี ไม่ยากอะไรเลย แต่เดี๋ยวนี้ตามธรรมดามีธรรมไหมเดี๋ยวนี้
- (คุณประกาศ - เมื่อกล่าวถึงสิ่งสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้หมายถึง การเห็น การได้ยิน) ทำไมเป็นธรรม (จากที่ได้ฟังมาหลายครั้ง ถ้าตอบตามเทคนิค ธรรมก็คือ เดี๋ยวนี้) ไม่ใช่ค่ะ ธรรมเป็นธรรม ถูกไหม เพราะฉะนั้นความหมายของธรรมคืออะไร
- (คุณประกาศ - คือความจริง เป็นธรรมชาติ เปลี่ยนไม่ได้) เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม (มี) คืออะไร (เห็นเป็นธรรม) เท่านี้ก่อน ทำไมเห็นเป็นธรรม (เพราะเปลี่ยนเห็นไม่ได้ เพราะบังคับเห็นไม่ได้ เช่น เปลี่ยนจากเห็นท่านอาจารย์ที่หน้าจอไม่ได้) ไม่ใช่ๆ ทำไม่เห็นเป็นธรรม ถ้ามีความเข้าใจความหมายของคำว่า “ธรรม” ก็จะเข้าว่าทำไมเห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรม
- ธรรมหมายความว่าอะไร มิฉะนั้นก็มีเพียงคำตอบว่า “เป็นธรรม” แต่คืออะไร เริ่มต้นอีกๆ จนกว่าธรรมปรากฏตามความเป็นจริงเพราะเดี๋ยวนี้ธรรมกำลังปรากฏแต่ไม่มีความเข้าใจ ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มไตร่ตรองความจริงที่ลึกซึ้งมากที่ถูกปกปิดไว้ลึกมากจนกว่าจะมีความเข้าใจว่าทำไมเห็นเป็นธรรม
- เห็นเป็นธรรมไหม (เป็น) ทำไม (เพราะเกิดขึ้นเป็นธรรมดา หมายความว่า เพราะมีตา มีอารมณ์ และหยุดเห็นไม่ได้แม้ความคิดก็หยุดไม่ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งใด เป็นใครได้ เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงๆ จึงเป็นธรรม)
- ยาวมาก เห็นคืออะไ รเพียงเห็นเท่านั้น เห็นคืออะไร มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้หรือเปล่า มิฉะนั้นไม่ใครรู้ความจริงของสิ่งนี้เลย
- เพราะฉะนั้นเห็นคืออะไร กำลังเห็นเดี๋ยวนี้คืออะไร (คุณประกาศ - เห็นเป็นเห็น) ถ้ามีคนถูกถามว่า มีเห็นไหม ตอบว่ามี แต่เห็นคืออะไร (คุณประกาศ - เป็นภาพ)
- (คุณสุคิน - ก่อนหน้านี้ตอบว่าเห็นเป็นธรรม นอกจากคำว่า ธรรม จะตอบคนที่ไม่เคยได้ยินคำว่าธรรมว่าอะไร เมื่อถามใครว่าเห็นคืออะไร) ไม่ใช่แค่ตอบแต่เพื่อเข้าใจ เป็นความเข้าใจเห็นของตนเอง ไม่ใช่อยากได้คำตอบเอาไว้ตอบใครๆ แต่ตรงต่อความจริงเดี๋ยวนี้ว่าคืออะไร เริ่มต้นเข้าใจความจริงที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนในแสนโกฏกัปป์ แม้กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ไม่เข้าใจ
- เพราะฉะนั้นจึงศึกษา ได้ยิน ฟัง พิจารณา ไตร่ตรอง จนกระทั่งมีความเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่มีตามความเป็นจริง ไม่ใช่ฟังคำไว้เพื่อตอบ มีเห็นไหม (มี) คืออะไร (ไม่ทราบ) มีจริงไหม (มีจริง) เห็นได้ยินได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นก่อนเห็นมีเห็นไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นเหก็นต้องเกิดใช่ไหม (ใช่) ตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่เพราะใครทำให้เกิดขึ้นเลย
- เพราะเดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงว่ากำลังมีเห็นซึ่งมีมากมายทั้งวันแต่ไม่มีใครรู้ว่าเห็นคืออะไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีจริงเพื่อค่อยๆ ละคลายความไม่รู้และความเห็นผิดว่าเป็นเราเห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเราหรือเห็นเป็นเห็น (คุณประกาศ - เห็นเป็นเห็น แต่ตอนนี้เป็นเราเห็น เราได้ยิน เราพูด ยังเป็นอย่างนี้อยู่) อะไรถูกและอะไรผิด (ที่ถูกคือเห็นเป็นเห็นไม่มีคนที่เห็น)
- เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติไหมหรือเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นปฏิบัติคืออะไร ไม่มีความเข้าใจเห็นเลย ถูกไหม (เป็นความเข้าใจขณะนี้ว่าเห็นเป็นเห็น) เป็นเพียงคำหรือเป็นความเข้าใจเห็นจริงๆ ไม่ใช่ตามคำไปว่า “เห็นเป็นเห็น” ใครจะพูดก็ได้แต่ว่ามั่นคงในเห็นที่เกิดขึ้นเห็น จริงไหม
- (คุณสุคิน - “เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้” เป็นแค่ทฤษฎีหรือเปล่า)
- (คุณประกาศ - เคยคิดว่าอย่างนั้นว่าเป็นทฤษฏีแต่ตอนนี้คิดว่ามีจริงๆ)
- ที่ว่าเป็นทฤษฎีหมายความว่าอะไร (เคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวว่าไม่มีเรา ไม่ตัวตนของเรา มีแต่ปัจจัยมีตา มีสิ่งที่กระทบตา เห็นจึงเกิดขึ้น เหล่านี้เป็นทฤษฎี) ทฤษฎีหรือความจริง (เมื่อเข้าใจอย่างนั้น) เป็นทฤษฎีหรือเป็นความจริง เป็นความจริงหรือเป็นทฤษฎีของสิ่งนั้น แต่เป็นความจริงไม่ใช่ทฤษฎี ถูกไหม ความจริงมีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ ไม่ใช่แค่ความคิดเป็นเรื่องราวเป็นทฤษฎี ถูกต้องไหม
- เพราะฉะนั้นเมื่อคิดว่าเป็นทฤษฎีก็คิดว่าต้องเข้าใจคำ เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ แต่ความเข้าใจลักษณะของเห็น ความจริงของสิ่งที่มีแต่ละขณะที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ทฤษฎีแต่เป็นหนทางที่จะค่อยๆ ศึกษาความจริง
- (คุณประกาศ - เมื่อท่านอาจารย์กล่าวว่า ความเข้าใจถูก ของให้อธิบายเพิ่มเพื่อความเข้าใจในคำนี้) ด้วยเหตุนี้เมื่อมีคำว่า ความเข้าใจต้องมีสิ่งที่เป็นอารมณ์ที่ความเข้าใจนั้นกำลังรู้ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเข้าใจอะไร ไม่ใช่ความเข้าใจเฉยๆ
- เพราะฉะนั้นตอนนี้ เข้าใจอะไร ไม่มีปฏิบัติแต่มีความเข้าใจ เห็นไหม เดี๋ยวนี้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทีละน้อยๆ ตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ซึ่งละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง มิฉะนั้นจะไม่รู้จักพระองค์ ไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
- ด้วยเหตุนี้จึงฟังแต่ะละคำทีละคำต่อไปๆ มั่นคงในความจริงเพิ่มขึ้นๆ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนความจริงได้ เป็นความจริงสูงสุดเปลี่ยนไม่ได้แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเปลี่ยนอะไรไม่ได้เลยเพราะฉะนั้นธรรมเกิดแล้วดับอย่างรวดเร็วแล้วจะไปเปลี่ยนอะไรได้อย่างไร
- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงแต่ละขณะ เพื่อรู้พระคุณอันยิ่งของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จนไม่มีความสงสัยในเห็น ไม่มีความสงสัยในได้ยิน ไม่ความสงสัยใมในความติดข้อง ไม่มีความสงสัยสิ่งที่มีในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายต่อๆ ไปอีกหลายแสนโกฏกัปป์
- แต่ใครจะรู้จักเห็นที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีความเข้าใจคำที่แสดงถึงความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงสิ่งที่มีจริงให้สามารถรู้ได้ ถ้าไม่รู้เดี๋ยวนี้ จะไปรู้เมื่อไหร่ แล้วจะรู้ได้หรือ ถ้าไม่มีความเข้าใจเดี๋ยวนี้ที่เริ่มเข้าใจความจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- เพราะฉะนั้นความจริงของเห็นคืออะไร เห็นมีจริงไหมและความจริงของเห็นคืออพะไร ไม่ใช่ทฤษฎีแน่นอนแต่มีลักษณะจริงๆ เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่แค่คำของได้ยิน ชอบ ติดข้อง ฯลฯ แต่ศึกษาเพื่อเข้าใจบักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง
- หากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่มีใครรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย เพราะฉะนั้นศึกษาทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจแต่ละคำของพระองค์ เช่น ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา หมายความว่าอะไร (คุณประกาศ - ไม่มี…. เกิดขึ้นต่างๆ กันและรวดเร็วมาก มันไม่มีเรา) แต่ไม่มีความเข้าใจ “มัน” ที่เรากำลังพูดถึงว่าคืออะไรทีละะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่แค่อ่านตำราและคิดถึงคำที่แสดงไว้แต่ทุกคำในหนังสือคือเดี๋ยวนี้ที่ควรรู้ว่า มีจริงๆ เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย
- เริ่มที่จะเข้าใจแต่ละหนึ่งซึ่งปรากฏตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีการปฏิบัติเพื่อให้สภาพธรรมปรากฏเพราะธรรมเกิดปรากฏแล้ว เพราะฉะนั้นอะไรถูก อะไรผิด และคำบาลีที่มีคือ ภาวนา ไม่ใช่การฝึกปฏิบัติหรือไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่เป็นการอบรมความเข้าใจทีะเล้กทีละน้อย นั่คือความหมายของภาวนา เพียงเพื่อเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ จนเป็นความสมบูรณ์ของความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้
- เป็นสิ่งใหม่สำหรับคุณไหมที่จะรู้ (ไม่ใหม่) เพราะฉะนั้นธรรมคืออะไร คำไม่ใหม่แต่ความเข้าใจใหม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นไม่มีใครรเปลี่ยนคำได้แต่ความเข้าใจเพิ่มขึ้นใช่ไหม ทีละเล็กทีละน้อย น้อยมากๆ จากคำแรก “ธรรม” เข้าใจคำนี้ชัดเจนถึงที่สุดว่าอะไรที่มีจริงๆ เป็นธรรมในภาษาต่างๆ แต่ตามรความจริงธรรมคือทุกสิ่งที่มีจริงๆ
- โกรธมีจริงๆ เป็นธรรม ติดข้องมีจริงๆ เป็นธรรม คิดนึกมีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครหรือเกิดขึ้นตามใจและไม่สามารถที่จะคงอยู่นานๆ ได้ ทันทีที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเกิดแล้วก้ดับไปอย่ารวดเร็ว นี้เป็นคำจริงของสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า
- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจเป็นภาวนาอบรมความเข้าใจถูกเพื่อประจักษ์แจ้งความจริงเป็นปกติเป็นธรรมดาเพราะธรรมทำกิจของตนๆ แต่ละธรรมเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตน ความติดข้องทำกิจหน้าที่ของความติดข้องเพียงเกิดขึ้นติดข้อง ความไม่รู้เกิดขึ้นทำกิจไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
- เพราะฉะนั้นเรากำลังศึกษาความจริง ศึกษาสิ่งที่มีจริงสูงสุดซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้เลยเพราะเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไปอย่างรวดเร็วแล้วจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร
- เพราะฉะนั้นอัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใดและอนัตตาคือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีใครไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย นี้เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ทีละเล็กทีละน้อยพระองค์ทรงสอนสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เพื่อเริ่มที่จะเข้าใจความจริงและนั่นคือ ภาวนาในอริยสัจจ์ ๔ สามรอบ รอบแรกคือฟังด้วยความไม่ประมาท ฟังด้วยความแยบคายเพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้เข้าใจตรงลักษณะของสิ่งที่ได้ยินได้ฟังตามที่ได้ศึกษา
- ตอนนี้ธรรมกำลังเกิดขึ้นแต่สิ่งที่เกิดดับแล้วเพียงชั่วขณะผ่านไปแล้วไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เมื่อวานนี้เหตุการณ์ต่างๆ ดับหมดไปแล้ว ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ และวันนี้ก็หมดไปๆ ทีละขณะจนกระทั่งหมดวัน และวันต่อไปต่อสืบต่อตามปกติตามธรรมดา มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ตื่น รับประทาน แล้วก็หลับ แล้วก็ก็ตื่นอีก รับประทานอีก เห็นอีก ทุกอย่างอีกแล้วก็หมดไป
- ขณะที่กำลังหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏเลยแล้วก็หมดไป ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเป็นเพียงขณะที่หลับ เดี๋ยวนี้ทันทีที่เห็น เห็นก็ดับแล้ว ไม่มีเห็นแต่มีจิตอื่นๆ ที่รู้สิ่งที่ที่ปรากฏให้เห็น แต่เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อๆ ไปเกิดขึ้นที่จะเห็นหรือคิดนึกต่อๆ ไป นี้เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่าที่ต้องอบรมเพื่อประจักษ์แจ้งความจริง
- ความเข้าใจถูกเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นมรรคแรกในมรรคมีองค์ ๘ ความเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเพื่อประจักษ์แจ้งความจริงเมื่อมีกำลังมากพอก็ค่อยๆ ละคลายความติดข้องที่มีมากมายหนาเหนียวแน่น จนปิกปิดความความจริงที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ตลอดเวลาทุกขณะ และนี้คืออริยสัจจะรอบที่ ๑
- เพราะฉะนั้นสมาธิคืออะไร ไม่มีความเข้าใจใช่ไหม ไม่มีความเข้าใจแต่ไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตั้งมั่นที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความคิดหรือความติดข้องต้องการที่จะได้ผลว่า เมื่อไหร่ธรรมจะปรากฏแต่ไม่มีความเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ ต่างกันมาก คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจไม่ใช่เพื่อทำเพราะทุกอย่างเป็นธรรมกำลังทำกิจหน้าที่ของตน ผัสสะ เป็นต้น เวทนา สัญญา ฯลฯ กำลังทำหน้าของตนเพื่อเป็นหนทางที่ถูกต้องเป็นมรรคมีองค์ ๘ เป็นความเข้าใจถูก
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจถูก จะมีขณะไหนที่เข้าใจเห็นที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ไหม เพราะมีปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป ปัญญาต้องสมบูรณ์มากแค่ไหนที่จะเข้าใจความจริง จริงไหม ก่อนเห็นไม่มีเห็น มีเห็นแล้วก็ไม่มีเห็นอีก
- (คุณประกาศ - ก่อนเห็นไม่มีเห็นนั่นคือความจริง แต่ยังแยกไม่ได้ระหว่างก่อนเห็นไม่เห็นกับขณะนี้ที่กำลังเห็น ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจอย่างนั้นได้) เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราที่เข้าใจ ใช่ไหม ต้องเป็นความเข้าใจถูกซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่มีปัจจัยจากการได้ยินได้ฟัง ไตร่ตรองพิจารณาจนเป็นขณะที่เข้าใจซึ่งตรงข้ามกับความไม่รู้
- เมื่อถูกถามว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร ไม่มีคำตอบ แต่จะตอบได้อย่างไรในเมื่อไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมี ต้องเป็นความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีที่จะเป็นปัจจัยให้มีคำตอบที่ถูก เพราะฉะนั้นทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเข้าใจ แล้วการนั่งสมาธิจะให้คำตอบได้อย่างไร หนทางที่จะตอบถูกด้วยความเข้าใจถูกคือฟังด้วยความรอบคอบและตรงต่อความจริงเป็นสัจจะบารมี เมื่อมีความเข้าใจถูกเป็นปัญญาบารมีที่เป็นปัจจัยให้สัจจะบารมีที่ตรงต่อความจริงแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ใช่ใครทั้งสิ้น
- เพราะฉะนั้นความไม่มีใครเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ทั้งหมดเป็นธรรม ต้องเข้าใจอย่างมั่นคง มิฉะนั้นอวิชชาและความติดข้องก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทันที เพราะฉะนั้นสมาธิคืออะไร ถ้าไม่รู้ก็เป็นปัจจัยให้นั่งสมาธิอีก ใช่ไหม เพราะมีปัจจัยให้ทำสมาธิเพราะฉะนั้นจึงไปทำสมาธิ ถ้าไม่มีปัจจัยให้การทำสมาธิเกิดขึ้นก็ไม่มีใครไปทำสมาธิ
- เพราะฉะนั้นอะไรคือการนั่งสมาธิ ไม่มีความเข้าใจ เห็นไหม ต้องตรงต่อความจริง ตรงต่อคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- (คุณสุคิน - คุณประกาศอยากจะพูดถึงการนั่งสมาธิไหม)
- (คุณประกาศ - การนั่งสมาธิคือ การตั้งมั่นอยู่ที่ลมหายใจเพื่อให้จิตสงบและเมื่อจิตสงบแล้วก็สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าว่าแต่ละอย่างเกิดแล้วดับ เข้าใจการเกิดดับ และเมื่อควบคุมการเกิดดับได้แล้วก็มีความเข้าใจว่า ไม่มีใครควบคุมอะไรได้แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และความเข้าใจก็เกิดดับด้วย เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป้นความเย็น ความร้อน เฉยๆ บางครั้งจิตก็เกิดขึ้นแล้วดับไป เข้าใจว่าไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นแต่เกิดขึ้นแล้วดับไป เข้าใจว่าเป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา)
- ต้องให้เขาเข้าใจเป็นความเข้าใจของเขาทีละเล็กทีละน้อยด้วยตัวของเขาเอง ถ้าเราบอกเขา เขาฟังแต่เขาเข้าใจหรือเปล่าเพราะลึกซึ้งมาก ต้องใจเย็น ต้องอดทน
- (คุณสุคิน - เหมือนเขาฟังท่านอาจารย์แล้ว แล้วเขาก็คิดว่า ตอนที่ไปนั่งก็เห็นตามที่ได้ฟังจากท่านอาจารย์ ก็ไปรู้ตามที่พระพุทธองค์สอน) เพราะฉะนั้นจึงมีการสนทนาธรรมเพื่อให้เขาไตร่ตรองยิ่งขึ้นเพื่อที่เขาจะได้รู้ความจริงด้วยตัวเขาเองทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าเขาจะรู้ว่าเขาผิด
- (คุณประกาศ - คิดว่าส่วนใหญ่คือไม่เข้าใจ คิดอย่างนั้น) เพราะฉะนั้นมีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องความไม่เข้าใจหรือเปล่า เห็นไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้ อะไรถูก อะไรผิด การนั่งสมาธิที่ไม่เข้าใจอะไรเลยที่มีอวิชชาและความติดข้องเป็นปัจจัย จริงไหม ต้องตรงต่อความจริงตั้งแต่ต้นเป็นสัจจะบารมี
- (คุณมานิช - คนอินเดียส่วนใหญ่ทราบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนทรงตรัสรู้ท่านประทับนั่งใต้ต้นมหาโพธิ์ และคิดว่าการที่ประทับนั่งอย่างนั้นเป็นเหตุให้พระองค์ทรงตรัสรู้ และถ้าไม่จริง อยากทราบว่าที่ประทับใต้ต้นมหาโพธิ์อย่างนั้นพระองค์ทรงทำอะไรที่นำไปสู่การตรัสรู้)
- วันไหน วันที่พระโพธิสัตว์ดำเนินชีวิตประจำวัน วันไหนคือวันที่ตรัสรู้ (คุณมานิช - อะไรที่พระองค์ทำก่อนตรัสรู้ที่นำไปสู่การตรัสรู้) เป็นการนั่งแบบที่คุณมานิชพูดหรือเป็นอิริยาบทปกติทั่วไปของพระโพธิสัตว์ที่เป็นไปในชีวิตประจำวัน นั่ง ยืน เดิน ฯลฯ
- (คุณตรัสวิน - ขอแสดงความเห็นว่า คุณมานิชถามผิดเพราะยึดในความคิดที่ว่าต้องมีวิธีการที่จะ “ทำ“ แต่ความจริงคือ ก่อนการตรัสรู้พระโพธิสัตว์สะสมอบรมมาหลายแสนโกฏ์กัปป์ และในพระชาติสุดท้ายก่อนที่จะตรัสรู้ ได้พยายามไปหาวิธีการมากมาย ไปหาครูอาจารย์ต่างๆ และพระองค์ทรงรู้ว่า นั่นไม่ใช่หนทาง และท่านได้ลองวิธีการต่างๆ ในการทำสมาธิซึ่งท่านทรงรู้มากกว่าพวกเราและรู้วิธีการมากกว่าใครแต่ก็ไม่สำเร็จ และท่านทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างหนักจะเกือบสิ้นพระชนม์ก็ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นเหมือนทุกอย่างที่เราทำในชีวิตประจำวันทุวันเมื่อได้ทำแล้วทำอีกลองแล้วลองอีกก็ไม่สำเร็จ เราต้องหยุดคิดพิจารณาไตร่ตรอง ซึ่งขณะที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้นเกินกว่าปัญญาของเราที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้นการถามคำถามแบบนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย เพราะเป็นการต้องการที่จะหาวิธีการซึ่งไม่มีวิธีการ)
- (คุณมานิช - เข้าใจที่คุณตรัสวินอธิบาย แต่คำถามคือหลังจากพบว่าอาจารย์ต่างสอนสิ่งที่ไม่ใช่หนทางแต่หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์ทำอะไรที่นำไปสู่การตรัสรู้)
- (คุณตรัสวิน - คำตอบคือ ขณะนั้นพระองค์พิจารณา จะใช้คำว่าสมาธิแต่ไม่ใช่สมาธิอย่างที่เราเข้าใจที่เป็นการหายใจเข้าหายใจออก และหนทางที่พระองค์ทรงตรัสรู้เกินกว่าที่สาวกอย่างเราๆ จะเข้าใจ เปรียบเหมือนมดที่พยายามจะเข้าใจว่านกบินได้อย่างไร)
- (คุณมานิช - เข้าใจที่อธิบายแล้ว ตอนนี้อยากทราบว่าวันนั้นที่ทรงตรัสรู้มีอะไรเกิดขึ้นวันนั้น) เมื่อพระอานนท์บรรลุความเป็นพระอรหันต์อยู่ในท่าไหน เรามาพูดกันที่ละประเด็นเพื่อเข้าใจให้ชัดเจนว่าไม่ใช่ต้องนั่งเพื่อที่จะบรรลุ
- ลองพิจารณาว่า การตรัสรู้ขึ้นอยู่ที่ท่าทางหรือตรัสรู้ท่าทางไหนก็ได้หรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ คุณนั่งทำไม (คุณประกาศ - ในมหาสติปัฏฐานสูตร แสดงว่า ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น) มหาสติปัฏฐานต้องขณะที่นั่งเท่านั้นหรือขณะไหนก็ได้ (ได้ทั้ง ๔ ท่า) เพราะฉะนั้นทำไมจึงไปนั่งเพื่อให้เกิดปัญญา เดี๋ยวนี้ปัญญาเข้าใจได้ไหม (คุณประกาศ - เข้าใจชัดเจนขึ้นว่า การจะเข้าใจธรรม สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นไม่ใช่ว่าจะต้องอยู่ในท่านั่งท่าเดียว)
- เราต้องเปลี่ยนท่าทางเพื่อที่จะเข้าใจความจริงในขณะนี้หรือเปล่า (ไม่ต้องเปลี่ยน) เพราะฉะนั้นสามารถที่จะเข้าใจขณะไหนเวลาไหนเมื่อมีปัญญาสมบูรณ์พร้อมไปจนถึงระดับที่ประจักษ์แจ้งได้ ไม่รู้ก่อนเลย
- เพราะฉะนั้นอะไรคือการปฏิบัติ ทำไมถึงต้องปฏิบัติ (ที่ปฏิบัติคือใช้คำสอนของพระองค์ในความหมายที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เดี๋ยวนี้ อนิจจา ทุกขา อนัตตา รู้ได้ไหม (ส่วนใหญ่รู้ไม่ได้ แต่บางครั้งก็รู้ได้) รู้ได้อย่างไร ไม่มีความเข้าใจเลยหรือเข้าใจแต่ละคำที่ส่องให้เห็นถึงความจริงที่กำลังมีแต่ละขณะ เพราะมีชีวิตแต่ละขณะๆ เท่านั้น ขณะต่อไปยังไม่มาถึง
- เพราะฉะนั้นฟังพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร เพื่อรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคำสอนของพระองค์คือเกื้อกูลผู้อื่นให้เข้าใจความจริงตามที่ได้เข้าใจ ไม่ใช่ด้วยการนั่งแต่ด้วยการฟังไตร่ตรองคำที่ได้ฟังจนมั่นคงในอริยสัจจ์ ๔ รอบที่หนึ่งเป็นรอบแรก
- ความเข้าใจถูกคือขณะที่ได้ยินได้ฟังความจริง เริ่มเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้คือขณะที่อบรมความเข้าใจถูกไม่ว่าอยู่ในอิริยาบทไหน บางคนกำลังนอนสนทนา ไตร่ตรอง สอบถาม ใครรู้ ขณะที่ตรัสรู้ใครจะรู้ว่าอยุ่ในท่าไหน นี่คือหนทางที่จะมั่นคงขึ้นในความเป็นอนัตตา ไม่คาดคิด ไม่หวังเลย
- เพราะฉะนั้นอีกครั้งหนึ่ง เราควรมีความเข้าใจที่ชัดเจนในความหมายของคำว่า ปฏิบัติว่าเป็นคำสอนของพระองค์หรือไม่มีความเข้าใจเลยแต่พยายามเหลือเกินที่จะเข้าใจในขณะที่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ซึ่งเป็นความจริง
- เริ่มที่จะเข้าใจเพื่ออบรมปัญญาจากการได้ยินได้ฟัง ไตร่ตรอง พิจารณาเพิ่มขึ้นๆ จนกว่าจะถึงขณะที่ประจักษ์แจ้งความจริง ไม่รู้ว่าเลยเพราะต้องเป็นอนัตตา ไม่ใช่โดยการหวัง โดยการติดข้อง หรือโดยการพยายามด้วยความเป็นตัวตน เพราะว่าต้องเป็นการอบรมสัมมาทิฏฐิความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีโดยไม่คาดหวัง ไม่รู้มาก่อน เป็นอนัตตา
- (คุณสุคิน - ต้องไปทำอะไรเพื่อที่จะให้เข้าใจไหม)
- (คุณประกาส - ไม่ต้อง ไม่จำเป็น)
- (คุณสุคิน - ไม่จำเป็นแต่ไม่เป็นไปได้ไหม จะเข้าใจเห็นเดี๋ยวต้องไปพยายามได้ไหม ต้องไปทำอะไร เช่น ต้องไปนั่งสมาธิเพื่อที่จะเข้าใจเห็นไหม ไม่สามารถที่จะไปพยายามเห็นเดี๋ยวนี้ได้เพราะเกิดแล้วดับแล้ว เห็นเดี๋ยวนี้กับเห็นที่ศูนย์ปฏิบัติต่างกันตรงไหน)
- (คุณประกาศ - หมายถึงเดี๋ยวนี้เป็นเราหรือเปล่า)
- (คุณสุคิน - ไม่ได้กล่าวอย่างนั้น ท่านอาจารย์กล่าวแล้วกล่าวอีกว่า ความเข้าใจต้องอบรม เริ่มด้วยความเข้าใจในขั้นการฟังที่เข้าใจว่า ความเข้าใจเป็นอนัตตาหมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดแล้วโดยปัจจัย ไม่มีใครบังคับบัญชา ฉันใดฉันนั้น ปัญญาเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังึคับบัญชาของใครทั้งสิ้น)
- เพราะฉะนั้นการนั่งสมาธิช่วยให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้หรือเปล่า (คุณประกาศ - ตอนนี้ยังเข้าใจว่าช่วยให้เข้าใจ) ไม่ต้องฟังแล้วนั่งสมาธิหรืออะไรเป็นหนทางที่จะเข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นอยากจะนั่งสมาธิหรืออยากจะฟังเพื่อเข้าใจความจริงขณะนี้ (อยากจะนั่งสมาธิ)
- ยกตัวอย่างเดี๋ยวนี้มีสมาธิได้ไหม (เข้าใจความจริงเป็นการทำสมาธิ) เพราะฉะนั้นช่วยอธิบายว่า สมาธิคืออะไร (คือนั่งใส่เสื้อผ้า) ทีละเล้กทีละน้อย ทำไมเราต้องนั่ง เราเรียนที่จะนั่ง อะไรเป็นความเข้าใจ การเรียนที่จะนั่งเข้าใจอะไร การเรียนที่นั่งเปผ้นปัจจัยให้เข้าใจอะไรหรือเปล่า
- ทุกคนกำลังนั่ง สิ่งที่มีคือไม่มีความเข้าใจความจริงแต่จะเข้าใจความจริงได้อย่างไร โดยการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงปรมัตถธรรมที่ไหนเมื่อไหร่สถานการณ์ไหนก็ได้เพราะทุกอย่างเป็นธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าลืมก็ไปนั่งสมาธิ
- แล้วเราทำอะไรขณะที่นั่งสมาธิ (เข้าใจว่ามีความติดข้องตลอดเวลาป เพราะฉะนั้นจะไปนั่งสมาธิอีกไหม (คุณประกาศ - รู้ว่าไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า แต่บางครั้งก็นั่งสมาธิเพื่อคลายเครียด เพื่อบางครั้งแก็ช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน)
- ช่วยแก้ปัญหาอะไร ปัญหามีจริงไหม (ตามคำของพระองค์ไม่มี แต่ในชีวิตประจำวันมี เพราะยังต้องติดต่อกับผู้คน ยังมีปัญหาต่างๆ รู้ว่าในทางธรรมไม่มีคน) ไม่ใช่ในทางธรรมแต่ตามความเป็นจริง ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดปัญหา ถ้าไม่มีปัจจัยปัญหาจะเกิดขึ้นได้ไหม อะไรเป็นปัจจัยของปัญหาและอะไรเป็นหนทางที่จะไม่มีปัญหาอีก มีความเข้าใจว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดปัญหาไหม สามารถที่จะไม่ให้เกิดปัญหาได้ไหม มิฉะนั้นปัญหาก็ต้องมีอีกเรื่อยๆ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้แต่ก็ต้องมีปัญหาใหม่ตามมาไม่รู้จบ จริงไหม
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร และใครสอนให้นั่งสมาธิเพื่อไท่รู้อะไรเลยเดี๋ยวนี้ ถ้าเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้อะไรแล้วจะรู้ขณะอื่นได้ไหม เพราะฉะนั้นมีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเคารพสุงสุดต่อผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทโธเพื่อเกื้อกูลเหล่าสัตว์ให้เข้าใจตามที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญบารมีทุกประการอย่างยิ่งเกินกว่าใครๆ ทั้งสิ้นในสากลจักรวาล
- เพราะฉะนั้นคำสอนของพระองค์จึงลึกซึ้งละเอียดและจริงอย่างยิ่งเพื่อเข้าใจและเพื่อละความติดข้อง เห็นไหม ไม่มีความเข้าใจในขณะนี้ซึ่งเป็นความไม่รู้ ขณะที่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นความเข้าใจถูก เป็นหนทางเดียวที่ค่อยๆ ขัดเกลาความติดข้องและความไม่รูไปทีละขณะ
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ทำสมาธิ ไม่สอนให้นั่ง ไม่สอนให้เดิน ไม่ได้สอนให้ปิดวาจา ฯลฯ แต่แต่ละคำเพียงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงขอสิ่งที่มีขณะนี้ได้เลย ไม่ว่าจะนั่งพยายามทำสมาธิก็เป็นไปด้วยความไม่รู้ความจริขณะนี้
- (คุณสุคิน - สาเหตุคือตัวเราของเราใช่ไหม ที่บอกว่าเวลาเครียดแล้วนั่งสมาธิก็หาย แต่ที่นั่งก็เป็นเรานั่ง เป็นสมาธิของเราใช่ไหม เพราะฉะนั้นความเตรียดหายไปแต่เหตุของปัญหาก็ยังอยู่ความเป็นเราก็ไม่ได้หายไปไหนใช่ไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนอย่างนั้น พระองค์ทรงสอนให้ละให้ดับรากของปัญหา)
- (คุณประกาศ - การนั่งสมาธิเป็นการทางลัดไปสู่การดับกิเลส)
- (คุณสุคิน - คุณหมายถึงเป็นหนทางที่ผิดใช่ไหม ด้วยเหตุนี้ท่านอาจารย์จึงเตือนพวกเราว่าอริยสัจจ์ ๔ มีสามรอบ เริ่มต้นที่ความเข้าใจในขั้นปริยัติที่จะนำไปสู่สติปัฏฐาน)
- เพราะฉะนั้นคุณประกาศจะไปศูนย์สมาธิหรือจะนั่งสมาธิอีกไหม (ไม่ได้ไปแล้ว แต่ยังทำอยู่ที่บ้าน) เคยได้ยินที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงภาวนาในภาษาบาลีไหม มีคำมากมายที่ยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับความจริงซึ่งละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เช่น คำว่าสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา ฯลฯ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีความเข้าใจถูกที่ชัดเจนมั่นคงตั้งแต่ต้นเพื่อเข้าใจคำอื่นๆ ในพระไตรปิฎก เช่น อายตนะ ขันธ์ ปฏิจสมุปบาท ฯลฯ ต้องเป็นความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงเป็นธรรม และธรรมหมายถึง ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปอย่างรวดเร็วจริงไหม
- ในขณะที่การนั่งสมาธิไม่เข้าใจอะไรในขณะนั้นเลยเพราะว่าความคิดว่า ”เราทำสมาธิ“ มีอยู่ในขณะนั้น และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นฟังคำสอนของพระองค์ด้วยความรอบคอบในสิ่งที่กำลังมี
- (คุณประกาศ - คุณมานิชบอกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงออกออกจากวังและทรงผนวชหลังจากนั้น 6 ปีทรงตรัสรู้และทรงทำสมาธิ) เพราะฉะนั้นสมาธิคืทออะไร เราต้องเข้าใจคำนี้ ก่อนที่พูดถึงอะไรโดยที่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นสมาธิคืออะไร
- (คุณประกาศ - ขอท่านอาจารย์ช่วยเกื้อกูล) เดี๋ยวนี้มีอะไร ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจว่าสมาธิอะไร ถูกไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไรเพื่อที่จะเข้าใจว่า ทำสมาธิอะไร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไร (ไม่ทราบคำตอบ)
- สิ่งนี้มีอยู่แต่ไม่มีใครรู้จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงสิ่งนี้ ไม่มีใครรู้เลยก่อนได้ฟังคำที่แสดงถึงความจริงของสิ่งนี้ ด้วยเหตุนี้การฟังความจริง มั่นคงในความจริง มั่นคงในพระคุณธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่เป็นปาฏิหาริย์จากความไม่รู้มาสู้ความเห็นถูกเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย นี้เป็นจุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ชาตินี้มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเพราะชาติก่อนๆ ไม่เข้าใจความจริงขณะนี้และถ้าไม่มีการได้ฟังความจริงขอสิ่งที่มีขณะนี้ก็จะไม่มีวันที่จะมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้เลย
- สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นรอบแรกของอริยสัจจะ เมื่อเราพูดได้ว่า ทุกข์คือสภาพที่เกิดขึ้นแล้วดับไป แต่คืออะไร ต้องมีสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นแล้วดับไปจริงๆ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่มีความเข้าใจว่ากำลังมีอะไรเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่คืออะไร
- เพราะฉะนั้นเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เริ่มเป็นภาวนาที่อบรมหนทางไปสู่การเข้าใจความจริงในรอบที่สองจนกว่าจะถึงรอบที่สามที่เป็นการประจักษ์แจ้งความจริงตามที่ประสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประจักษ์แจ้งแล้ว
- เพราะฉะนั้นเริ่มต้นจากเดี๋ยวนี้มีอะไรเพื่อเตือนให้รู้ว่า ความเข้าใจมีพอไหมเดี๋ยวนี้ ถ้าเดี๋ยวนี้ยังไม่เข้าใจแล้วจะเข้าใจขณะต่อๆ ไปได้อย่างไร ก็ไม่เข้าใจต่อไปเพิ่มขึ้นๆ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไรที่สามารถที่จะเป็นคำตอบว่าสมาธิอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีเดี๋ยงนี้เป็นเวลาไหนขณะไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อะไร
- (คุณมานิช - คนอินเดียทั่วไปเชื่อกันว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติเพื่อให้จิตใจสงบก่อนที่จะเข้าใจพระธรรม และนั้นไม่ใช่ความคิดของคุณประกาศ เขาคิดว่าการฟังคำสอนสามารถถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมได้ด้วยการนั่งสมาธิซึ่งเป็นความคิดความเห็นที่ต่างกัน)
- เพื่อที่จะเข้าใจขณะนี้ต้องทำสมาธิก่อนใช่ไหมคุณประกาศ (นั่นเป็นความเชื่อ เป็นความเข้าใจที่ผ่านมา) งั้นทำสมาธิเลย เดี๋ยวนี้อะไร (ขณะนี้เป็นความเงียบ) นั่นคือสมาธิหรือ (เราอาจจะใช้คำต่างกัน แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปเดี๋ยวนี้)
- เพราะฉะนั้นคุณหมายความว่า เพื่อที่จะเข้าใจขณะนี้ต้องทำสมาธิใช่ไหม นั่คือสิ่งที่คุณคิดใช่ไหม เพราะฉะนั้นกรุณาทำสมาธิเดี๋ยวนี้เลยเพื่อบอกดิฉันว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร (คุณประกาศ - คิดว่าสมาธิไม่จำเป็นเพื่อที่จะบอกว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร)
- (คุณสุคิน - คุณประกาศกล่าวหลายครั้งว่า ไม่จำเป็นแต่การทำสมาธิมันช่วยใช่ไหม) (ใช่ นี้คือความสับสน) หมายความว่าอะไร เพื่อที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ คุณบอกว่าต้องใช้สมาธิหรือต้องทำสมาธิ (คุณประกาศ - หมายความว่า สมาธิช่วยทำให้จิตสงบ)
- เพราะฉะนั้นความสงบคืออะไร และจิตคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร (มีหลายสิ่งเกิดขึ้นในใจ เป็นสิ่งที่เป็นลบเกิดขึ้นซ้ำ บางครั้งการนั่งก็ช่วยให้บรรเทาเบาบางลง นั่นคือจุดประสงค์ในการนั่งซึ่งมีอย่างอื่นด้วย)
- มีจิตเดียวหรือมีหลายจิต (มีหลายจิต) เพราะฉะนั้นจิตคืออะไร เป็นการเริ่มที่จะเข้าใจจิต ใช้คำว่าจิต แล้วจิตคืออพไร มิฉะนั้นก็เพียงพูดคำแต่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นจิตคืออะไร
- คุณประกาศ - (จิตเป็นปัจจัย) ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้มีจิตไหม (ไม่ทราบคำตอบ) งั้นนั่งสมาธิเลยจะได้รู้ เห็นไหม ไม่มีความเข้าใจเลยในสิ่งที่มีแม้แต่สมาธิหรือจิต ฯลฯ จนกว่าจะได้ฟังความจริงและพิจารณาคงวามจริงจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เพียงกล่าวถึงความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ขณะไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ใครรู้หถ้าไม่ได้ยินได้ฟัง มิฉะนั้นไม่รู้จะกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าไม่ได้ฟังคำของพระองค์
- ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระองค์ สามารถที่จะมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่าคืออะไร และพระองค์ไม่ได้ทรงสอนให้ทำสมาธิแต่ทรงสอนความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่างแม้แต่เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร พระองค์คือผู้ที่ประจักษ์แจ้งความจริงและทรงเกื้อกูลความจริงด้วยพระปัญญาคุณของพระองค์กับผู้อื่นเพื่อที่จะพิจารณาว่าจริงหรือไม่ และอะไรเป็นหนทางที่จะอบรมปัญญาเพื่อประจักษ์แจ้งความจริง
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่าง แล้วทุกอย่างอยู่ไหน ทุกอย่างมีทุกขณะใช่ไหม ทุกอย่างหมายความถึงแต่ละหนึ่งๆ ๆ ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกอย่างเดี๋ยวนี้ หนึ่งคืออะไร
- (คุณมานิช - คิด) คิดเป็นอะไร (ทุกอย่างที่ได้ฟังและคำแปลและพยายามเข้าใจนั่นคือคิด) เพราะฉะนั้นคิดเป็นคุณมานิชหรือเปล่า (ไม่ใช่) เปลี่ยนไม่ได้ คิดไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้นคิดคืออะไรหรืออะไรคิด เพราะว่าคิดใช่มานิช คิดไม่ใช่ประกาศ และคิดคืออะไร
- (คิดคือไอเดีย) ไอเดียคืออะไร ไอเดียไม่ใช่คิด คิดคิดถึงไอเดีย ด้วยเหตุนี้ต้องมีความมั่นคงในความจริงว่า มีคิดจริงๆ แต่คืออะไร แข็งคิดได้ไหม เพราะฉะนั้นศึกษาแล้วศึกษาอีกเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะมีความเข้าใจบ้างแต่ยังไม่พอ ต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นมากขึ้น
- (คุณสุคิน - เมื่อกี้มีคำถามเรื่องสติจึงบอกเขาว่า นี้คือนิสัยส่วนใหญ่ที่ฟังแล้วไปคิดเรื่องอื่นทั้งๆ ที่สิ่งที่ฟังละเอียดลึกซึ้งมาก ต้องตั้งใจฟังเพื่อความเข้าใจถ้าเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้)
- บอกเขาแล้วต้องให้เขาคิด เดี๋ยวนี้มีสติไหม (มีสติเมื่อเข้าใจสิ่งที่ฟังก็มีสติ) นั่นคือคิด และถ้าไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จะมีจะมีความเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้มีสติหรือไม่ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ นี้คือกุญแจที่จะเปิดเผยความจริง
- ถ้าไม่มีความเข้าใจขณะนี้ จะสามารถที่จะเข้าใจอะไรได้อย่างไร (คุณมานิช - ไม่มีหนทางอื่น) จริงไหม (จริง) นั่นคือความมั่นคงในความจริง สัจจะบารมี มั่นคงในความจริง ถ้าไม่มีความเข้าใจขณะนี้ก็จะไม่มีความเข้าใจอะไร เป็นความจริงอย่างยิ่งจึงเป็นบารมี มั่นคงในความจริงเป็นสัจจะบารมี มิฉะนั้นก็คิดถึงชื่อแต่ไม่เข้าใจ
- เพราะฉะนั้นหัวใจสำคัญที่จะเข้าใจความจริงคือ ต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไร (คุณประกาศ - เดี๋ยวนี้มีเห็น) ทุกคนรู้ว่ามีเห็น กำลังเห็น แต่ใครรู้ว่า เห็นคืออะไร (คุณมานิช - พระพุทธเจ้าทรงทราบ) เพระาฉะนั้นพระองค์ตรัสว่าอย่างไร เพราะพระองค์ทรงรู้จักเห็น
- (คุณมานิช - พระองค์ทรงแสดงว่า เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเห็น) ถูกไหม (ถูก) เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็นใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นอะไรถูกเห็น (สิ่งที่ปรากฏทางตา) พูดง่ายๆ ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้ที่จะตรงต่อความจริง สิ่งที่ถูกเห็นคืออะไร
- (คุณสุคิน - ทั้งคู่ตอบว่า ไม่มีความเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ มีแต่คำตอบที่เคยได้ฟัง) และนั่นคือปัญญาความเข้าใจถูกที่เข้าใจความจริงที่ยังไม่เข้าใจ เป็นการเริ่มต้นที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งที่เริ่มเข้าใจความจริง
- เห็นจริง สิ่งที่ถูกเห็นก็จริง แต่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น เมื่อมีเห็นต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เพรราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวหรือเห็นขณะใดก็ตามเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเห็นคือรู้แจ้งสิ่งที่ถูกเห็น เพราะฉะนั้นเห็นคือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์คือสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นรู้แจ้งจะมีโลกไหม ไม่ว่าเมื่อไหร่เห็นก็เกิดขึ้นเห็นเปลี่ยนไม่ได้
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่คุณมานิชที่เห็นแต่เห็นเป็นเห็น จริงไหม เป็นความเข้าใจถูกในเห็นไหม ถ้าใครนั่งสมาธิจะมีความเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นอย่างนี้ไหม
- (คุณประกาศ - บางครั้งก็เข้าใจ) (คุณสุคิน - หมายความว่าเข้าใจเห็นก่อนที่จะได้ฟังเรื่องเห็นอย่างนั้นหรือ) (คุณประกาศ - เป็นความเข้าใจขั้นฟัง เพราะได้ฟังเรื่องเห็นจึงเริ่มฝึกสมาธิและเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา)
- (คุณสุคิน - ดูเหมือนว่าคุณประกาศเคยได้ฟังเรื่องเห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมาก่อนแล้วและเริ่มฝึกสมาธิ บางครั้งรู้สึกว่ามีความเข้าใจอย่างนั้นระหว่างที่นั่งสมาธิ) เข้าใจอะไร
- (คุณประกาศ - เข้าใจว่าเราไม่เห็น เราไม่ได้ยิน) นั่นคือคิด เพราะฉะนั้นสมาธิคือความคิดหรือเปล่า (คิดถึงอะไรก็ได้ที่ปรากฏ คิดถึงคำสอน คิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว คิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า คิดถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ ทั้งหมดเป็นความคิดเท่านั้น)
- และเดี๋ยวนี้เราไม่ได้นั่งสมาธิ แต่ก็สามารถมีความเข้าใจเห็นที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่จะเห็น ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่ไม่พอเลยต้องมีการฟังเรื่องเห็นเพิ่มขึ้นๆ เพื่อละความไม่รู้และความสงสัยในสภาพธรรมอื่นๆ ด้วย
- (คุณสุคิน - คุณประกาศเห็นความต่างไหม เดี๋ยวนี้แม้กำลังสนทนาเรื่องเห็นและสิ่งที่ปรากฏทางตา เราไม่มีได้เข้าใจจริงๆ ตอนนั่งสมาธิคุณคิดว่าคุณเข้าใจ)
- (คุณประกาศ - นั่นคือความเข้าใจผิด) จริงหรือ (คิดมาตลอดว่า มีความเข้าใจบ้างแต่จริงๆ เข้าใจผิดมาตลอด) ตรงต่อความจริง สัจจะบารมี ความเข้าใจไม่ใช่การนั่งหรือการทำอะไร แต่ฟังไตร่ตรองโดยแยบคายขึ้นๆ ในความจริง และนั้นคืออริยสัจจะแรกในอริยสัจจ์ ๔ รอบที่หนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้หรือเปล่า รอบแรกไม่ใช่การนั่งหรือไปทำอะไรแต่ฟังไตร่ตรองพิจารณาจนมั่นคงในความจริงของธรรม ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่ระหว่างที่กำลังนั่งสมาธิเป็นเรา ไม่มีความเข้าใจธรรมว่าไม่มีเราเลย ถูกต้องไหม สัจจบารมีค่อยอบรมเพิ่มขึ้นๆ ไม่ไปทางที่ผิด
- ยินดีในกุศลของทุกคนที่เข้าใจความจริงนะคะ สวัสดีค่ะ