ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๐
โดย khampan.a  23 พ.ย. 2557
หัวข้อหมายเลข 25827

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๙

# ผู้ที่ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงขึ้นๆ ๆ เพราะฉะนั้น ก็ต้องอบรมเจริญฝึกหัดไปๆ จากความเป็นปุถุชนสู่ความเป็นพระอริยบุคคล แต่ต้องรู้ว่า ด้วยปัญญาเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น เพราะฉะนั้น ถ้าตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาที่รู้ สภาพธรรมตามความเป็นจริง ย่อมหวั่นไหว ไม่มีใครที่สามารถจะช่วยได้

# นามธรรมและรูปธรรมอยู่ใกล้ตัวที่สุด แต่เป็นสิ่งที่ไม่รู้ที่สุด เพราะฉะนั้น ก็เต็มไปด้วยอวิชชาที่ยึดถือลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นเรา ปริยัติคืออะไร? ปริยัติไม่ใช่กระดาษ สมุด ดินสอ แต่ปริยัติ คือ พระธรรมที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น การเรียนปริยัติหมายถึง การฟังให้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งถ้าไม่เข้าใจเรื่องของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะปฏิบัติอะไร หนทางข้อปฏิบัติที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้น คนอื่นไม่สามารถที่จะแสดงได้ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

# ความเห็นผิดนี้มีมากมาย แต่ความเห็นผิดที่จะทำให้เกิดอกุศลกรรมที่ ประกอบด้วยราคะ ที่เป็นเหตุให้ไปสู่อบาย ต้องเป็นความเห็นผิดที่ไม่เชื่อ ในกรรมและไม่เชื่อในผลของกรรม

# พ่อค้าทั้งหลายต้องรู้กาลเวลาว่า ขณะไหนจะได้ประโยชน์เต็มที่ ฉันใด ผู้ที่ได้ฟังพระสัทธรรมแล้ว ก็ควรที่จะเหมือนพ่อค้าที่จะรู้ว่า แต่ละขณะที่ควร จะได้ประโยชน์เต็มที่จากการฟังพระธรรม ก็คือ การระลึกรู้ลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

# พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม ชีวิตปกติประจำวัน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพื่อให้พุทธบริษัทพิสูจน์ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงถูกต้องเป็นความจริงอย่างนั้นหรือไม่ ไม่ใช่ใครบังคับให้ ใครเชื่อ แต่ว่าทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ตัวตน พิสูจน์ได้ และมีผู้ที่พิสูจน์จนประจักษ์แจ้งแล้วด้วย แต่ต้องอาศัยการ อบรม ด้วยการฟัง จนกว่าจะเข้าใจเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเพิ่มขึ้นๆ มีชีวิตของใครบ้างที่จะแยกออกไปจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น แม้เวลาอ่านพระไตรปิฎก ก็เหมือนกับในขณะนี้ พิสูจน์ธรรมเองอยู่ในตัว จิตประเภทไหน โลภะ ขณะนี้ ทางตา หรือทางหู โทสะ ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก ทางลิ้น แล้วทรง ขยายไปจนกระทั่งถึงความเป็นอนัตตาของจิตแต่ละขณะ ที่ประกอบด้วยปัจจัย อย่างละเอียด ถึงจะช่วยให้เห็นความเป็นอนัตตา เพื่อการที่จะละการยึดถือว่า เป็นตัวตน ถึงจะเป็นความเข้าใจในอรรถพยัญชนะที่ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา (ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา) ไม่มีอะไรเลยที่จะไม่ใช่อนัตตา

# ถ้าพูดว่าถ้าใครสามารถจะดับ ละ คือ ดับสนิทซึ่งโลภะ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ มานะ แล้วเป็นพระอรหันต์ คำพูดนี้ไม่ผิด แต่ว่าจะละอย่างไร นี่คือปัญหา ถ้าจิตดี กายก็จะดี การกระทำทุกอย่างก็จะอ่อนโยนนุ่มนวล ขณะนั้นเป็น ไปตามสภาพจิตที่ดี

# ทุกคนต่างกันตามการสะสม ใครที่มีกาย วาจา ไม่ดี เพราะไม่รู้ ถ้ารู้ เขาอยากจะเป็นอย่างนั้นไหม ทั้งหมดคือความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีเมตตา ไม่ว่าทางหนึ่งทางใดที่จะทำให้เข้ารู้ขึ้น เข้าใจถูกขึ้น นั่นเป็นประโยชน์สูงสุด การที่พระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ การอบรมที่จะให้มีความเห็นถูกต้องจริงๆ ก็ละเอียด และก็ยากมาก นี่ก็เป็นประโยชน์เหมือนเป็นการที่มีเกราะป้องการที่ จะไม่ให้ไปสู่ความเห็นผิด

# ธรรม ยาก เพราะฉะนั้นไม่มีตัวตนที่จะไปทำให้ง่าย หรือว่าไม่มีความเป็น ตัวตนที่อยากจะได้ผลเร็วๆ แต่เป็นผู้ที่ตรงที่จะต้องสะสมความเข้าใจ ความละเอียด ความลึกซึ้งของธรรมจนกว่าจะเป็นปัญญาของตัวเองที่ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น คำสอนละเอียดมาก เพื่อป้องกันความเห็นผิดทุกอย่าง ยับยั้งไม่ให้ธรรมเกิดไม่ได้ เมื่อยังมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด วันหนึ่งๆ นั้น กิเลสภาระ (กิเลสที่เกิดขึ้นเป็นไป) มีมากทีเดียว กุศลธรรมทั้งหลาย มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เป็นต้น ไม่ทำให้เกิดทุกข์ โทษภัยใดๆ ทั้งสิ้น

# ถ้าไม่ฟังพระธรรม จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ได้ไหม? ไม่ได้

# เริ่มคุ้นเคยกับพระธรรม เมื่อค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ สะสม ค่อยๆ ละความไม่รู้ เข้าใจถูก เป็นอกุศลไม่ได้ / เข้าใจ เป็น ปัญญา ปัญญาที่ไม่เข้าใจ ไม่มี ไม่มีใครทำอะไรให้เกิดได้ แม้แต่เห็นในขณะนี้ ใครๆ ก็ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้

# กุศลจิตไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร ขณะไหน วัยไหน ก็ตามเป็นที่ที่ควรแก่ การอนุโมทนา

# เข้าใจธรรมให้มากขึ้นนี่เป็นประโยชน์ที่สุด เพราะว่าเราจะมีชีวิตอยู่ ในโลกนี้อีกไม่นาน

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๙

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 23 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

- ฟังเรื่องอกุศล ไม่ใช่เรื่องที่คิดรังเกียจ แต่เป็นความสามารถเข้าใจธรรมว่า อกุศลก็เป็น ธรรม ขณะที่อกุศลเกิด ลักษณะของอกุศลนั้นๆ ปรากฏให้เห็นโดยความเป็นอนัตตาที่ใคร บังคับบัญชาไม่ได้ แต่เป็นปัญญาที่เห็นถูกว่าเป็นธรรม ขณะนั้นละความเป็นเรา เพราะเห็น ถูกว่าเป็น ธรรม เป็นการสะสมของสังขารขันธ์ปรุงแต่ง ซึ่งขณะนี้ทำกิจนั้นๆ อยู่ ไม่มีเรา หรือใครทำ เพราะเป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจนั้นๆ

- ความไม่ประมาท เพื่อให้เข้าใจประโยชน์ของธรรมในขณะนี้ คือให้เข้าใจสภาพธรรมที่ กำลังมีในขณะนี้ เพราะความประมาท คือ ฟังว่ามีจิต เจตสิก แต่ไม่รู้ว่ามี

- แก้ว แหวน เงิน ทอง คิดว่ามีค่าแต่ก็ทำให้เกิดความทุกข์ แต่สิ่งที่มีค่าแท้จริงคือ สิ่งนั้น ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น ความลึกซึ้งของสิ่งนั้น คือ เหนือสิ่งอื่นใด ที่มีค่าเสมอ พระรัตนตรัยไม่มี ทุกวันนี้สะสมสิ่งอื่นที่ไม่มีค่าแล้ว เข้าใจว่ามีค่าหรือไม่ เพราะถ้าสิ่งนั้น ทำให้เกิด โลภะ โทสะ แล้วค่าของสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน

- ทรงแสดงธรรมเพื่อให้เห็นโทษของอกุศล แต่ลืมว่าอกุศลหรือกุศลไม่ใช่เรา มุ่งมั่นแต่ เพียงว่า ทำอย่างไรเราจึงจะมีปัญญามากๆ หรือหมดกิเลส แต่ไม่มีเหตุใดๆ ทั้งสิ้นคือ ลืม ว่าขณะนี้ทุกอย่างเป็นธรรม ลืมว่าถ้ามีปัญญาความเห็นถูก จะนำไปสู่ทางถูกโดยตลอด ถ้าโกรธเกิดไม่ใช่ให้หยุด แต่รู้ว่าเป็นธรรม

- เมื่อไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์มีดวงตามืดบอด หลงทางในทางกันดารด้วยอกุศล คือ โลภะ โทสะ โมหะ โดยไม่เห็นโทษภัย ซึ่งขณะนี้ก็ไม่รู้ว่ากำลังอยู่ในทางกันดาร เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น ทรงสอนให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็น จริง างจากความเห็นว่าเที่ยงบ้าง สูญบ้าง เป็นต้น จนสัตว์ประจักษ์แจ้งความจริง พ้นจาก ทุกข์ทั้งปวงได้.

- ความสุขในทรัพย์สมบัติ ในกาม หรือในการบริโภค เป็นสุขเวทนา แต่สุขเวทนาก็ยัง เป็นทุกข์ เพราะยังไม่พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ เพราะอาศัยปัจจัยให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ความสุขอย่างยิ่งคือพระนิพพานอันพ้นจากสภาพธรรม ที่เกิดดับ แปรปรวน

- เพียงได้ยินว่าความติดข้องในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ นำทุกข์มาให้ แม้แต่ความ ติดข้องก็ไม่เห็น แล้วจะเห็นอวิชชาซึ่งไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วหมดไปได้ อย่างไร

- ต้องเห็นคุณค่าของการได้เกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งมีโอกาสได้ฟังธรรม พิจารณาเพิ่มความเข้า ใจถูกต้องในธรรม ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งในทุกคำที่ทรงแสดง เพราะฉะนั้นก็ต้องฟัง เพื่อที่ จะสามารถเป็นกัลยาณปุถุชน คือ มีโอกาสที่ได้เข้าใจพระธรรม

- บุคคลซึ่งส่วนใหญ่ วันหนึ่งๆ เป็นอกุศลที่ครอบงำ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถ้าเว้นจากขณะที่เป็น ไปในทาน ศีล ภาวนาแล้ว ที่เหลือทั้งหมดก็เป็นอกุศล แม้ความฝันก็เป็นไปกับอกุศล นี้คือ บุคคลที่มีโทษมาก ซึ่งก็คือ พวกเราเอง

- ถ้าเป็นผู้ที่เกรงกลัวผลของอกุศลกรรม ก็ไม่ควรที่จะทำอกุศลกรรม ควรเห็นประโยชน์ ของกุศล เห็นโทษของอกุศลในชีวิตประจำวัน เพราะอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นโทษ

- จะเกิดเป็นผู้ยากไร้ซึ่งต้องดำรงชีวิตด้วยความขวนขวายแต่ไม่ไร้ปัญญา หรือว่าเกิดเป็นผู้ สมบูรณ์ทรัพย์ ลาภ ยศ แต่ไร้ปัญญา สิ่งสำคัญที่สุด คือ ปัญญา ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ยากไร้หรือเพียบพร้อม ถ้าไม่มีปัญญา ก็ต้องได้รับผลของกรรม

- ไร้อะไรก็ไร้ได้ ถ้าหากไร้ปัญญา ก็สามารถเกิดในอบายภูมิได้ แม้จะสมบูรณ์เพียบพร้อม ในปัจจุบัน

- ได้รับประทานอาหารครบ ๓ เวลา แล้วมีปัญญาหรือไม่

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย ch.  วันที่ 23 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย paew_int  วันที่ 23 พ.ย. 2557

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย dawhan  วันที่ 23 พ.ย. 2557

ขอขอบคุณและอนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 5    โดย pulit  วันที่ 24 พ.ย. 2557

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง

ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย tanrat  วันที่ 24 พ.ย. 2557

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาสาธุค่ะ ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจในสิ่งที่ฟัง พิจารณาโดย แยบคาย นำไปประพฤติปฏิบัติตาม ขัดเกลาความไม่รู้ ไม่หวั่นไหวในสภาพธรรมะว่า จะเป็นอย่างไร ถึงต้องไปเกิดในอบายก็ยังฟัง ไม่ใช่ฟังเพื่อการได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่เป็นการได้ความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น


ความคิดเห็น 7    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย siraya  วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย เมตตา  วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย อนุโมทนา  วันที่ 24 พ.ย. 2557

อ.สุจินต์บรรยายธรรมได้ชัดเจน และให้ผู้ฟังตระหนักถึงความจริงในชีวิตประจำวัน ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ


ความคิดเห็น 11    โดย j.jim  วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย ประสาน  วันที่ 25 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย jaturong  วันที่ 25 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 15    โดย orawan.c  วันที่ 25 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 16    โดย nong  วันที่ 26 พ.ย. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 26 พ.ย. 2557

สาธุ อนุโมทนา และ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 18    โดย bsomsuda  วันที่ 26 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 19    โดย ปวีร์  วันที่ 28 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 20    โดย wirat.k  วันที่ 30 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 21    โดย kullawat  วันที่ 4 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 22    โดย peem  วันที่ 18 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 23    โดย เจียมจิต  วันที่ 6 ธ.ค. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 24    โดย มังกรทอง  วันที่ 31 ก.ค. 2564

ทรงแสดงธรรมเพื่อให้เห็นโทษของอกุศล แต่ลืมว่าอกุศลหรือกุศลไม่ใช่เรา มุ่งมั่นแต่ เพียงว่า ทำอย่างไรเราจึงจะมีปัญญามากๆ หรือหมดกิเลส แต่ไม่มีเหตุใดๆ ทั้งสิ้นคือ ลืม ว่าขณะนี้ทุกอย่างเป็นธรรม ลืมว่าถ้ามีปัญญาความเห็นถูก จะนำไปสู่ทางถูกโดยตลอด ถ้าโกรธเกิดไม่ใช่ให้หยุด แต่รู้ว่าเป็นธรรม

น้อมกราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 25    โดย chatchai.k  วันที่ 31 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ