อังคุตตรนิกาย ข้อ ๑๙๕
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑ คนทั้งหมดนั้น ย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว
๓ บุคคล คือ
๑. ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว
๒. ผู้ที่ถูกชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว
๓. ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น
เป็นไปได้ไหม ได้ ไม่ว่าในสมัยไหน แม้ในสมัยนั้นจนกระทั่งถึงในสมัยนี้
ข้อ ๑๙๖
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑ คนทั้งหมดนั้น ย่อมประสบบุญเป็นอันมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว
ข้อ ๑๙๗
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ทายกพึงรู้จักประมาณในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ปฏิคาหกไม่จำต้องรู้จักประมาณ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว
ข้อ ๑๙๘
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปฏิคาหกพึงรู้จักประมาณในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ทายกไม่จำต้องรู้จักประมาณ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว
ข้อ ๑๙๙
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ปรารภความเพียรในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว
เพียรเพราะคิดว่าเป็นธรรม แต่ว่าอยู่เป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าข้อปฏิบัติผิด ท่านที่ไปทำวิปัสสนาและปวดหัวเหลือเกิน ไม่สบายเลย เจ็บตรงนั้นตรงนี้มีไหม ถ้ามี ข้อปฏิบัตินั้นถูกหรือผิด เวลาที่ท่านไม่ทำวิปัสสนา ทำไมไม่เป็น แต่เวลาทำทีไรปวดหัวทุกที นั่นไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าการเจริญสติปัฏฐาน สภาพธรรมที่เป็นกุศล มีแต่คุณไม่มีโทษเลย
ในทางตรงกันข้าม ขณะที่เป็นอกุศลเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะปรารถนาบ้าง เพราะประสบสิ่งที่ไม่น่าพอใจบ้าง แต่พอสติระลึกรู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเช่นนั้น เกิดปรากฏแล้วหมดไป และมีลักษณะของธรรมอื่นปรากฏให้รู้ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นลักษณะของธรรมแต่ละชนิดตามปกติตามธรรมดาจะปวดศีรษะไหม ไม่เลย เป็นปกติ เป็นเรื่องเบา เพราะว่าเกิดปัญญารู้สภาพธรรมที่จะทำให้ละคลายความทุกข์ ละคลายการยึดถือสภาพธรรมตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ใดคิดว่า ท่านทำวิปัสสนา แต่ไม่สบายปวดศีรษะ หรือว่าเป็นทุกข์ใดๆ เกิดขึ้นเพราะการทำเช่นนั้น ให้ทราบว่า ข้อปฏิบัติของท่านไม่ถูกไม่ใช่เป็นการเจริญกุศล
ข้อ ๒๐๐
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ผู้เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว
ที่ว่า ผู้เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะโลภะ ทุกข์เพราะโทสะ ทุกข์เพราะโมหะ ทุกข์เพราะริษยา ทุกข์เพราะอกุศลธรรมนานาประการทีเดียว เพราะไม่เพียรที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ที่จะทำให้เบา และคลายจากความทุกข์ได้ ไม่ว่าท่านผู้ใดกำลังประสบความทุกข์มากน้อยสักเท่าไร ถ้าสติจะระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ชั่วขณะที่ระลึก เบาคลายจากการหนักด้วยอกุศลธรรม แล้วแต่ว่าท่านจะระลึกได้มากน้อยเท่าไร มีความชินกับลักษณะของสภาพธรรมมากน้อยเท่าไร และมีปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงมากน้อยเท่าไร แต่ให้ทราบว่าหนทางเดียวจริงๆ ที่จะพ้นจากความทุกข์ได้ เพราะปัญญาที่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น
ข้อ ๒๐๑ มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ย่อมอยู่เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว
ถ้าเป็นข้อปฏิบัติที่ผิดแล้ว ใครเกียจคร้านไม่ทำตาม ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดว่าท่านกำลังขี้เกียจ ท่านกำลังหมดความเพียร ท่านไม่ไปขะมักเขม้นทำข้อปฏิบัติที่ผิด เพราะว่ายิ่งประพฤติปฏิบัติข้อปฏิบัติที่ผิด ย่อมมีแต่โทษ ไม่ได้ทำให้ปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 229