๓. เตลุกานิเถรคาถา ว่าด้วยการกําจัดกิเลสเครื่องร้อยรัด
โดย บ้านธัมมะ  20 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40657

[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 37

เถรคาถา วีสตินิบาต

๓. เตลุกานิเถรคาถา

ว่าด้วยการกําจัดกิเลสเครื่องร้อยรัด


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 53]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 37

๓. เตลุกานิเถรคาถา (๑)

ว่าด้วยการกำจัดกิเลสเครื่องร้อยรัด

[๓๘๗] เรามีความเพียรค้นคิดธรรมอยู่นาน ก็ไม่ได้ความสงบใจ จึงได้ถามสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า ใครหนอในโลกเป็นผู้ถึงฝั่งแล้ว ใครเล่าเป็นผู้ได้บรรลุธรรมอันหยั่งลงสู่อมตะ เราจักปฏิบัติธรรมของใคร ซึ่งเป็นเครื่องให้รู้แจ้งปรมัตถ์

เราเป็นผู้มีความคดคือกิเลสอันไปแล้วในภายใน เหมือนปลาที่กินเหยื่อฉะนั้น เราถูกผูกด้วยบ่วงใหญ่คือกิเลส เหมือนท้าวเวปจิตติอสูร ถูกผูกด้วยบ่วงของท้าวสักกะฉะนั้น

เรากระชากบ่วงคือกิเลสนั้นไม่หลุด จึงไม่พ้นไปจากความโศกและความร่ำไร ใครในโลกจะช่วยเราผู้ถูกผูกแล้วให้หลุดพ้น แล้วประกาศทางเป็นเครื่องตรัสรู้ให้เรา

เราจะรับสมณะหรือพราหมณ์คนไหนไว้เป็นผู้แสดงธรรมอันกำจัดกิเลสได้ จะปฏิบัติธรรมเครื่องนำไปปราศจากชราและมรณะของใคร.

จิตของเราถูกร้อยไว้ด้วยความลังเลสงสัย ประกอบด้วยความแข่งดีเป็นกำลัง ฉุนเฉียว ถึงความเป็นจิตกระด้าง ถูกตัณหาคอยทำลาย.

ท่านจงดูลูกศรคือทิฎฐิ ๓๐ ประเภท อันมีธนูคือตัณหาเป็นสมุฎฐานเป็นของมีอยู่ในอก เป็นของมีกำลัง ทำลายหทัยอยู่


๑. ม. เตลกานิเถรคาถา.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 38

เราถูกยิงด้วยลูกศร คือการไม่ละทิฏฐิเล็กน้อย อันลูกศรคือความดำริผิดให้ฮึกเหิม จึงหวั่นไหวอยู่ เหมือนใบไม้ที่ถูกลมพัดฉะนั้น

ทิฏฐิอันเป็นของเรา ตั้งขึ้นแล้วในภายในของเรา ย่อมแผดเผาอย่างรวดเร็ว ตรงที่กายอันเนื่องด้วยผัสสายตนะ ๖ เกิดแล้วในที่ใด ย่อมแล่นไปในที่นั้นทุกเมื่อ

เราไม่เห็นหมอผู้ที่จะถอนลูกศรของเรา เยียวยาเรา (โดย) ไม่เยียวยาด้วยเชือกต่างๆ ด้วยศัสตราและด้วยวิธีอื่นๆ.

ใครไม่ต้องใช้ศัสตรา ไม่ทำให้ร่างกายเราเป็นแผล ไม่เบียดเบียนร่างกายเราทั้งหมด จักถอนลูกศรอันเสียบอยู่ภายในหทัยของเราออกได้

ก็บุคคลผู้นั้นเป็นใหญ่ในธรรม เป็นผู้ประเสริฐ ลอยโทษอันเป็นพิษเสียได้ ช่วยชี้บกคือนิพพานและยื่นมือคืออริยมรรคแก่เราผู้ตกไปในห้วงน้ำคือสงสารอันลึก

เราเป็นผู้จมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่อันมีธุลีคือโคลนที่ขจัดไม่ได้ ท่วมทับด้วยมายา ริษยา ความแข่งดี และถีนมิทธะ

ความดำริทั้งหลายอันอาศัยซึ่งราคะ เป็นเช่นกับห้วงน้ำใหญ่ มีเมฆคืออุทธัจจะเป็นเสียงคำรน มีสังโยชน์เป็นฝน ย่อมนำบุคคลผู้มีความเห็นผิดไปสู่สมุทร คืออบาย.

กระแสตัณหาทั้งหลายย่อมไหลไปตามอารมณ์ทั้งปวง ตัณหาเพียงดังเถาวัลย์เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ ใครจะพึงกั้นกระแสตัณหาเหล่านั้นได้ ใครเล่าจะตัดตัณหาอันเป็นดังเถาวัลย์นั้นได้.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 39

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงทำฝั่งอันเป็นเครื่องกั้นกระแสตัณหาเหล่านั้นเถิด อย่าให้กระแสตัณหาอันเกิดแต่ใจ พัดท่านทั้งหลายไปเร็วพลัน ดังกระแสน้ำพัดต้นไม้อันตั้งอยู่ริมฝั่งไปฉะนั้น

พระศาสดาผู้มีอาวุธคือปัญญา ผู้อันหมู่ฤาษีอาศัยแล้ว เป็นที่พึ่งแก่เราผู้มีภัยเกิดแล้ว ผู้แสวงหาฝั่งคือนิพพานจากที่มิใช่ฝั่ง

พระองค์ได้ทรงประทานบันไดอันทอดไว้ดีแล้ว บริสุทธิ์ ทำด้วยไม้แก่นคือธรรม เป็นบันไดมั่นคงแก่เรา ผู้ถูกกระแสตัณหาพัดไปอยู่ และได้ตรัสเตือนเราว่า อย่ากลัวเลย.

เราได้ขึ้นสู่ปราสาท คือสติปัฏฐานแล้ว พิจารณาเห็นหมู่สัตว์ผู้ยินดีในร่างกายของตน ที่เราได้สำคัญในกาลก่อนโดยเป็นแก่นสาร

ก็เมื่อใดเราได้เห็นทางอันเป็นอุบายขึ้นสู่เรือ เมื่อนั้นเราจักไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตน ได้เห็นท่าคืออริยมรรคอันยอดเยี่ยม

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทางอันสูงสุด เพื่อไม่ให้บาปธรรมทั้งหลาย มีทิฏฐิและมานะเป็นต้น ซึ่งเป็นดังลูกศรเกิดในตน เกิดแต่ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ

พระพุทธเจ้าทรงกำจัดโทษอันเป็นพิษได้ ทรงบรรเทากิเลสเครื่องร้อยรัดของเรา อันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันตั้งอยู่แล้วตลอดกาลนาน.


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 40

อรรถกถาเตลุกานิเถรคาถาที่ ๓

คาถาของท่าน พระเตลุกานิเถระ มีคำเริ่มต้นว่า จิรรตฺตํ วตาตาปี ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?

แม้พระเถระนี้ ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่งในพระนครสาวัตถี ก่อนกว่าพระศาสดาประสูติ ได้นามว่า เตลุกานิ เจริญวัยแล้วรังเกียจกาม เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุ จึงละการครองเรือนบวชเป็นปริพาชก มีอัธยาศัยในการออกจากวัฏฏะ เที่ยวแสวงหาวิโมกข์ คือการหลุดพ้น โดยนัยมีอาทิว่า ใครคือท่านผู้ถึงฝั่งในโลก จึงเข้าไปหา สมณพราหมณ์นั้นๆ ถามปัญหา. สมณพราหมณ์เหล่านั้น ทำเขาให้ดื่มด่ำไม่ได้ เขามีจิตข้องกับปัญหานั้น จึงได้ท่องเที่ยวไป.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ทรงอุบัติในโลก ประกาศพระธรรมจักรอันบวร ทรงบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก วันหนึ่ง ท่านเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรม ได้ศรัทธาแล้วบวช เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็ดำรงอยู่ในพระอรหัต.

วันหนึ่งท่านนั่งอยู่กับพวกภิกษุ พิจารณาถึงคุณวิเศษที่ตนได้บรรลุ แล้วหวนระลึกถึงการปฏิบัติของตนตามแนวนั้น เมื่อจะบอกข้อปฏิบัตินั้นทั้งหมดแก่ภิกษุทั้งหลาย จึงได้กล่าวคาถา (๑) เหล่านี้ ความว่า


๑. ขุ. เถร. ๒๖/ ข้อ ๓๘๗.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 41

เรามีความเพียรค้นคิดธรรมอยู่นาน ก็ไม่ได้ความสงบใจ จึงได้ถามสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า ใครหนอในโลกเป็นผู้ถึงฝั่งแล้ว ใครเล่าเป็นผู้ได้บรรลุธรรมอันหยั่งลงสู่อมตะ เราจักปฏิบัติธรรมของใคร ซึ่งเป็นเครื่องให้รู้แจ้งปรมัตถ์

เราเป็นผู้มีความคดคือกิเลสอันไปแล้วในภายใน เหมือนปลาที่กินเหยื่อฉะนั้น เราถูกผูกด้วยบ่วงใหญ่คือกิเลส เหมือนท้าวเวปจิตติอสูร ถูกผูกด้วยบ่วงของท้าวสักกะฉะนั้น

เรากระชากบ่วงคือกิเลสนั้นไม่หลุด จึงไม่พ้นไปจากความโศกและความร่ำไร ใครในโลกจะช่วยเราผู้ถูกผูกแล้วให้หลุดพ้น แล้วประกาศทางเป็นเครื่องตรัสรู้ให้เรา

เราจะรับสมณะหรือพราหมณ์คนไหนไว้เป็นผู้แสดงธรรมอันกำจัดกิเลสได้ จะปฏิบัติธรรมเครื่องนำไปปราศจากชราและมรณะของใคร.

จิตของเราถูกร้อยไว้ด้วยความลังเลสงสัย ประกอบด้วยความแข่งดีเป็นกำลัง ฉุนเฉียว ถึงความเป็นจิตกระด้าง ถูกตัณหาคอยทำลาย.

ท่านจงดูลูกศรคือทิฎฐิ ๓๐ ประเภท อันมีธนูคือตัณหาเป็นสมุฎฐานเป็นของมีอยู่ในอก เป็นของมีกำลัง ทำลายหทัยอยู่


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 42

เราถูกยิงด้วยลูกศร คือการไม่ละทิฏฐิเล็กน้อย อันลูกศรคือความดำริผิดให้ฮึกเหิม จึงหวั่นไหวอยู่ เหมือนใบไม้ที่ถูกลมพัดฉะนั้น

ทิฏฐิอันเป็นของเรา ตั้งขึ้นแล้วในภายในของเรา ย่อมแผดเผาอย่างรวดเร็ว ตรงที่กายอันเนื่องด้วยผัสสายตนะ ๖ เกิดแล้วในที่ใด ย่อมแล่นไปในที่นั้นทุกเมื่อ

เราไม่เห็นหมอผู้ที่จะถอนลูกศรของเรา เยียวยาเรา (โดย) ไม่เยียวยาด้วยเชือกต่างๆ ด้วยศัสตราและด้วยวิธีอื่นๆ.

ใครไม่ต้องใช้ศัสตรา ไม่ทำให้ร่างกายเราเป็นแผล ไม่เบียดเบียนร่างกายเราทั้งหมด จักถอนลูกศรอันเสียบอยู่ภายในหทัยของเราออกได้

ก็บุคคลผู้นั้นเป็นใหญ่ในธรรม เป็นผู้ประเสริฐ ลอยโทษอันเป็นพิษเสียได้ ช่วยชี้บกคือนิพพานและยื่นมือคืออริยมรรคแก่เราผู้ตกไปในห้วงน้ำคือสงสารอันลึก

เราเป็นผู้จมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่อันมีธุลีคือโคลนที่ขจัดไม่ได้ ท่วมทับด้วยมายา ริษยา ความแข่งดี และถีนมิทธะ

ความดำริทั้งหลายอันอาศัยซึ่งราคะ เป็นเช่นกับห้วงน้ำใหญ่ มีเมฆคืออุทธัจจะเป็นเสียงคำรน มีสังโยชน์เป็นฝน ย่อมนำบุคคลผู้มีความเห็นผิดไปสู่สมุทร คืออบาย.

กระแสตัณหาทั้งหลายย่อมไหลไปตามอารมณ์ทั้งปวง ตัณหาเพียงดังเถาวัลย์เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ ใครจะพึงกั้นกระแสตัณหาเหล่านั้นได้ ใครเล่าจะตัดตัณหาอันเป็นดังเถาวัลย์นั้นได้.


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 43

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงทำฝั่งอันเป็นเครื่องกั้นกระแสตัณหาเหล่านั้นเถิด อย่าให้กระแสตัณหาอันเกิดแต่ใจ พัดท่านทั้งหลายไปเร็วพลัน ดังกระแสน้ำพัดต้นไม้อันตั้งอยู่ริมฝั่งไปฉะนั้น

พระศาสดาผู้มีอาวุธคือปัญญา ผู้อันหมู่ฤาษีอาศัยแล้ว เป็นที่พึ่งแก่เราผู้มีภัยเกิดแล้ว ผู้แสวงหาฝั่งคือนิพพานจากที่มิใช่ฝั่ง

พระองค์ได้ทรงประทานบันไดอันทอดไว้ดีแล้ว บริสุทธิ์ ทำด้วยไม้แก่นคือธรรม เป็นบันไดมั่นคงแก่เรา ผู้ถูกกระแสตัณหาพัดไปอยู่ และได้ตรัสเตือนเราว่า อย่ากลัวเลย.

เราได้ขึ้นสู่ปราสาท คือสติปัฏฐานแล้ว พิจารณาเห็นหมู่สัตว์ผู้ยินดีในร่างกายของตน ที่เราได้สำคัญในกาลก่อนโดยเป็นแก่นสาร

ก็เมื่อใดเราได้เห็นทางอันเป็นอุบายขึ้นสู่เรือ เมื่อนั้นเราจักไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตน ได้เห็นท่าคืออริยมรรคอันยอดเยี่ยม

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทางอันสูงสุด เพื่อไม่ให้บาปธรรมทั้งหลาย มีทิฏฐิและมานะเป็นต้น ซึ่งเป็นดังลูกศรเกิดในตน เกิดแต่ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ

พระพุทธเจ้าทรงกำจัดโทษอันเป็นพิษได้ ทรงบรรเทากิเลสเครื่องร้อยรัดของเรา อันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันตั้งอยู่แล้วตลอดกาลนาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิรรตฺตํ วต แปลว่า ตลอดกาลนานหนอ.

บทว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร คือความปรารภความเพียรในการแสวงหาโมกขธรรม.

บทว่า ธมฺมํ อนุวิจินฺตยํ ได้แก่ คิดค้น คือแสวงหาวิมุตติธรรมว่า วิโมกขธรรมเป็นเช่นไรหนอ หรือว่า เราจะพึงบรรลุวิโมกขธรรมนั้นได้อย่างไร.


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 44

บทว่า สมํ จิตฺตสฺส นาลตฺถํ ปุจฺฉํ สมณพฺราหฺมเณ ความว่า เราถามวิมุตติธรรมกับสมณพราหมณ์เจ้าลัทธิต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ คือไม่ประสบความสงบจิตอันมีสภาวะไม่สงบตามปกติ คืออธิบายธรรมอันเป็นเครื่องสลัดวัฏทุกข์อันเป็นตัวสงบ.

บทมีอาทิว่า โก โส ปารงฺคโต ความว่า เป็นเครื่องแสดงอาการที่ถาม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก โส ปารงฺคโต โลเก ความว่า บรรดาสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ปฏิญญาว่าเป็นเจ้าลัทธิในโลกนี้ คนนั้นคือใครหนอเข้าถึงฝั่งแห่งสงสาร คือพระนิพพาน.

บทว่า โก ปตฺโต อมโตคธํ ความว่า ใครถึงคือบรรลุที่พึ่ง คือนิพพาน ได้แก่ทางแห่งวิโมกข์.

บทว่า กสฺส ธมฺมํ ปฏิจฺฉามิ ความว่า เราจะรับ คือปฏิบัติตามโอวาทธรรมของสมณะหรือพราหมณ์คนไร.

บทว่า ปรมตฺถวิชานนํ ได้แก่ เป็นเครื่องรู้แจ้งปรมัตถประโยชน์ อธิบายว่า อันประกาศปวัตติ (ทุกข์) และนิวัตติ (ความดับทุกข์) อันไม่ผิดเพี้ยน.

บทว่า อนฺโตวงฺกคโต อาสี ความว่า ทิฏฐิ ท่านเรียกว่า วังกะ เพราะเป็นความคดแห่งใจ, อีกอย่างหนึ่ง กิเลสแม้ทั้งหมดเรียกว่า ความคด ก็บทว่า อนฺโต ได้แก่ ภายในแห่งความคดของใจ อีกอย่างหนึ่ง ได้มีความคดคือกิเลสอันอยู่ในภายในหัวใจ.

บทว่า มจฺโฉว ฆสมามิสํ ความว่า เหมือนปลากินเหยื่อ คืองับกินเหยื่อ อธิบายว่า เหมือนปลาติดเบ็ด.

บทว่า พทฺโธ มหินฺทปาเสน เวปจิตฺยสุโร ยถา อธิบายว่า


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 45

ท้าวเวปจิตติจอมอสูรถูกบ่วงของท้าวสักกะผู้เป็นเจ้าโลกครองไว้ อยู่อย่างไร้เสรี ได้รับทุกข์ใหญ่หลวงฉันใด เราก็ฉันนั้น เมื่อก่อนถูกบ่วงคือกิเลสครองไว้ เป็นผู้อยู่อย่างไม่อิสระ ได้รับทุกข์ใหญ่หลวง.

บทว่า อญฺฉามิ แปลว่า ย่อมคร่ามา. บทว่า นํ ได้แก่ บ่วงคือกิเลส.

บทว่า น มุญฺจามิ แปลว่า ย่อมไม่พ้น.

บทว่า อสฺมา โสกปริทฺทวา ได้แก่ จากวัฏฏะคือ โสกะ และ ปริเทวะนั้น. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า เนื้อหรือสุกรที่ถูกคล้องบ่วงไว้ ไม่รู้อุบายจะแก้บ่วง ดิ้นไปๆ มาๆ กระตุกบ่วงนั้น ย่อมทำตรงที่ผูกรัดให้แน่นเข้าฉันใด เราก็ฉันนั้น เมื่อก่อนถูกบ่วงกิเลสสวมไว้ ไม่รู้อุบายที่จะแก้ ดิ้นรนไปด้วยอำนาจกายสัญเจตนา ความจงใจทางกายเป็นต้น แก้บ่วงคือกิเลสนั้นไม่ได้ โดยที่แท้ กระทำมันให้แน่นเข้า ย่อมถึงกิเลสตัวอื่นเข้าอีก เพราะทุกข์มีความโศกเป็นต้น.

บทว่า โก เน พนฺธํ มุญฺจํ โลเก สมฺโพธึ เวทยิสฺสติ ความว่า ในโลกนี้ ใครจะเปลื้องเครื่องผูกด้วยเครื่องผูกคือกิเลสนี้ จึงประกาศคือพวกเราถึงทางแห่งวิโมกข์อันได้นามว่า สัมโพธิ เพราะเป็นเครื่องตรัสรู้. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พนฺธมุญฺจํ ดังนี้ก็มี, มีวาจาประกอบความว่า ซึ่งทางเป็นเครื่องตรัสรู้อันปลดเปลื้องจากเครื่องผูก หรือซึ่งเครื่องผูก.

บทว่า อาทิสนฺตํ ได้แก่ ผู้แสดง. บทว่า ปภงฺคุนํ ได้แก่ เป็นเครื่องหักราน คือกำจัดกิเลส, อีกอย่างหนึ่ง เราจะรับธรรมของใครอันเป็นเครื่องกำจัดกิเลส คืออันแสดงบอกความเป็นไปแห่งธรรม อันเป็น


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 46

เครื่องนำไปปราศจากชราและมัจจุ. บาลีว่า ปฏิปชฺชามิ ดังนี้ก็มี. เนื้อความก็อันนั้นแหละ.

บทว่า วิจิกิจฺฉากงฺขาคนฺถิตํ ได้แก่ ถูกร้อยรัดด้วยวิจิกิจฉาความสงสัยอันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ในอดีตกาลอันยาวนาน เราได้มีแล้วหรือ และด้วยความเคลือบแคลงอันเป็นไปโดยอาการส่ายไปส่ายมา.

บทว่า สารมฺภพลสญฺญุตํ ได้แก่ ประกอบด้วยสารัมภะความแข่งดีอันมีกำลัง มีลักษณะทำให้เหนือกว่าที่คนอื่นทำ.

บทว่า โกธปฺปตฺตมนตฺถทฺธํ ได้แก่ ถึงความกระด้างแห่งใจอันประกอบด้วยความโกรธในอารมณ์ทุกอย่าง เป็นเครื่องรองรับตัณหา. จริงอยู่ เมื่อว่าโดยที่ปรารถนาแล้วไม่ได้เป็นต้น ย่อมเป็นไปเหมือนทำลายจิตของสัตว์ทั้งหลาย. ชื่อว่ามีธนูคือตัณหาเป็นสมุฏฐาน ย่อมตั้งอยู่คือเกิดขึ้น เพราะอุบายวิธีที่เสียบแทงคนแม้ผู้อยู่ในที่ไกล ได้แก่ลูกศรคือทิฏฐิ.

ก็เพราะเหตุที่ลูกศรคือทิฏฐินั้นมี ๓๐ ประเภท คือ สักกายทิฏฐิมีวัตถุ ๒๐ มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ประกอบด้วยทิฏฐิ ๓๐ ประเภท อธิบายว่า มี ๓๐ ประเภท.

บทว่า ปสฺส โอรสสิกํ พาฬุหํ เภตฺวาน ยทิ ติฏฺติ ความว่า พระเถระเรียกตนเองว่า สิ่งใด ชื่อว่าเกิดในอก เพราะเป็นที่ตั้งแห่งการเกี่ยวเนื่องในอกเป็นของหนัก คือมีพลังทำลาย คือทิ่มแทงหทัยแล้วตั้งอยู่ในหทัยนั้นเอง ท่านจงดูสิ่งนั้น.

บทว่า อนุทิฏฺีนํ อปฺปหานํ ได้แก่ การไม่มีทิฏฐิที่เหลืออันเป็นทิฏฐิเล็กน้อยเป็นเหตุ. อธิบายว่า ก็สักกายทิฏฐิยังไม่ไปปราศจากสันดานเพียงใด ก็ยังไม่เป็นอันละสัสสตทิฏฐิเป็นต้นเพียงนั้น.


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 47

บทว่า สงฺกปฺปปรเตชิตํ ความว่า อันความดำริ คือมิจฉาวิตก ทำให้ฮึกเหิม คือให้อุตสาหะขึ้น ในชนเหล่าอื่น ผู้ทำตัวเป็นใหญ่ตามลักษณะนิสัย.

บทว่า เตน วิทฺโธ ปเวธามิ ความว่า เราถูกลูกศรคือทิฏฐินั้น เสียบแทงจรดถึงหทัยปักอยู่ ย่อมหวั่นไหว คือกังวล ย่อมดำริ ได้แก่หมุนไปรอบด้าน ด้วยอำนาจสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ.

บทว่า ปตฺตํว มาลุเตริตํ ความว่า เหมือนใบของต้นไม้ถูกพายุคือลม พัดให้หลุดจากขั้ว.

บทว่า อชฺฌตฺตํ เม สมุฏฺาย ความว่า ธรรมดาลูกศรในโลก แล่นมาจากภายนอก แล้วห้ำหั่นทำลายภายในฉันใด ลูกศรคือทิฏฐินี้ไม่เป็นฉันนั้น. ก็ลูกศรคือทิฏฐินี้ตั้งขึ้นแล้วในภายใน คือในอัตภาพของเรา เหมือนกลุ่มผัสสายตนะ ๖ ที่รู้กันว่าอัตภาพนั้น ย่อมไหม้ไปเร็วพลัน เหมือนอะไร? เหมือนไฟไหม้พร้อมทั้งที่อาศัยของมัน เมื่อเผาไหม้อัตภาพที่ยึดถือว่าของเรา คืออันเป็นของของเรานั้นนั่นแหละ เกิดขึ้นแล้วในที่ใด ย่อมแล่นไปคือเป็นไปในที่นั้นนั่นเอง.

บทว่า น ตํ ปสฺสามิ เตกิจฺฉํ ความว่า เราย่อมไม่เห็นศัลยแพทย์นั้นชื่อว่าผู้เยียวยา เพราะประกอบการเยียวยาเช่นนั้น.

บทว่า โย เม ตํ สลฺลมุทฺธเร ความว่า แพทย์ใด พึงถอนลูกศรคือทิฏฐิ และลูกศรคือกิเลสนั้น พึงนำเอาคำมาประกอบกันเป็นข้อความว่า เมื่อจะถอนขึ้น ใครเล่าอาจเยียวยาลูกศรคือวิจิกิจฉา ที่รักษาไม่ได้ ด้วยเชือกต่างๆ คือด้วยการสอดสายตรวจโรคที่เป็นเหมือนเชือกเข้าไปด้วยศัสตราคือด้วยการผ่าออก หรือด้วยวิธีการอื่นๆ คือการใช้มนต์และยา ก็บทว่า วิจิกิจฺฉิตํ นี้เป็นเพียงตัวอย่าง. พึงทราบเนื้อความด้วยอำนาจลูกศรคือกิเลสแม้ทุกชนิด.


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 48

บทว่า อสตฺโถ ได้แก่ ผู้งดเว้นศัสตรา.

บทว่า อวโณ แปลว่า ไม่มีแผล.

บทว่า อพฺภนฺตรปสฺสยํ ได้แก่ อาศัยหทัย กล่าวคือภายในตั้งอยู่.

บทว่า อหึสํ แปลว่า ไม่เบียดเบียน. บาลีว่า อหึสา ก็มี. อธิบายว่า โดยไม่เบียดเบียน คือโดยไม่บีบคั้น.

ก็ในที่นี้มีความย่อดังต่อไปนี้ :- ใครหนอแล ไม่ต้องถือศัสตราไรๆ และไม่ทำให้มีแผล ต่อแต่นั้น ไม่ทำร่างกายทุกส่วนให้ลำบาก จักถอนลูกศรคือกิเลสอันเป็นตัวลูกศรซึ่งอยู่ในภายในหทัยของเรา คือลูกศรโดยปรมัตถ์นั่นแล โดยทิ่มแทงภายใน และปิดกั้นภายใน โดยไม่ให้เกิดการบอบช้ำ.

พระเถระครั้นแสดงอาการคิดของตนในกาลก่อน ด้วยคาถา ๑๐ คาถาอย่างนั้นแล้ว เพื่อจะแสดงอาการคิดนั้นซ้ำอีกโดยประการอื่น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ธมฺมปฺปติ หิ โส เสฏฺโ (บุคคลผู้เป็นใหญ่ในธรรม) ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมปฺปติ ได้แก่ มีธรรมเป็นใหญ่ คือมีธรรมเป็นเหตุ. ศัพท์ว่า หิ เป็นเพียงนิบาต.

บทว่า โส เสฏฺโ แปลว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ประเสริฐ.

บทว่า วิสโทสปฺปวาหโก (ลอยโทษอันเป็นพิษเสียได้) ความว่า เป็นบุคคลผู้ลอย คือตัดกิเลสมีราคะเป็นต้นของเรา.

บทว่า คมฺภีเร ปติตสฺส เม ถลํ ปาณิญฺจ ทสฺสเย ( พึงชี้ที่บกคือนิพพานและยื่นมือคืออริยมรรคให้เรา ผู้ตกไปในห้วงน้ำคือสงสารอันลึก ) ความว่า ใครหนอแล พึงปลอบใจว่า อย่ากลัว แล้วชี้ที่บก คือนิพพาน และยื่นมือคืออริยมรรคอันยังสัตว์ให้ถึงนิพพานนั้น ให้แก่เราผู้ตกลงในห้วงน้ำใหญ่ คือสงสารอันลึกยิ่ง.


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 49

บทว่า รหเทหมสฺมิ โอคาฬฺโห (เราเป็นผู้จมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่) ความว่า เราเป็นผู้จมลง คือ ดิ่งลงไปในห้วงน้ำคือสงสารอันใหญ่โต โดยจมลงหมดทั้งศีรษะ.

บทว่า อหาริยรชมตฺติเก (อันมีธุลีคือโคลนที่ขจัดไม่ได้) ความว่า ห้วงน้ำ ชื่อว่า มีธุลี คือโคลนตมที่ขจัดไม่ได้ เพราะเป็นที่มีดินคือเปือกตมอันได้แก่ธุลีมีราคะเป็นต้น อันใครๆ ไม่อาจนำออกไปได้, ในห้วงน้ำนั้น. บาลีว่า อหาริยรชมนฺติเก ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า มีธุลีคือราคะเป็นต้นอันนำออกไปได้ยาก ในบรรดาธุลีมีราคะเป็นต้นซึ่งอยู่ก้นบึ้งในที่สุด. บาปธรรมเหล่านั้น คือมายา มีการปกปิดโทษที่มีอยู่เป็นลักษณะ ความริษยา มีการทนเห็นสมบัติของคนอื่นไม่ได้เป็นลักษณะ ความแข่งดี มีการกระทำให้เหนือกว่าผู้อื่นทำเป็นลักษณะ ถีนะ มีความคร้านจิต ท้อแท้ใจเป็นลักษณะ มิทธะ มีความคร้าน ท้อแม้กายเป็นลักษณะ แผ่คลุมห้วงน้ำใด, ในห้วงน้ำนั้นอันแผ่คลุมด้วยมายา ริษยา การแข่งดี และถีนะมิทธะ. ก็ในที่นี้ท่านกล่าว อักษร เป็นการเชื่อมบท. อธิบายว่า แผ่ไปด้วยบาปธรรมทั้งหลาย ตามที่กล่าวแล้วนี้.

บทว่า อุทฺธจฺจเมฆถนิตํ สํโยชนวลาหกํ (มีเมฆคืออุทธัจจะเป็นเสียงคำรณ มีสังโยชน์เป็นฝน) ท่านกล่าวด้วยวจนวิปลาสวจนะคลาดเคลื่อน. ชื่อว่า มีเมฆคืออุทธัจจะเป็นเสียงคำรน เพราะมีอุทธัจจะอันมีภาวะหมุนไป อันเมฆคำรน คืออันเมฆกระหึ่มแล้ว, ชื่อว่า มีสังโยชน์เป็นฝน เพราะมีฝนคือสังโยชน์ ๑๐ ประการ. อธิบายว่า ความดำริผิดอันอาศัยราคะ เป็นดุห้วงน้ำ คือเป็นเช่นกับห้วงน้ำใหญ่ ตั้งอยู่ในอสุภะเป็นต้น ย่อมพาเราผู้มีทิฏฐิชั่วไป คือดึงไปสู่สมุทร คืออบายเท่านั้น.

บทว่า สวนฺติ สพฺพธิ โสตา (กระแสตัณหาทั้งหลายย่อมไหลไปตามอารมณ์ทั้งปวง) ความว่า กิเลสเพียงดังกระแส ๕ ประการนี้คือ กระแสคือตัณหา กระแสคือทิฏฐิ กระแสคือมานะ กระแสคืออวิชชา และกระแสคือกิเลส ชื่อว่า ย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง เพราะไหลไปในอารมณ์ทั้งปวงมีรูปเป็นต้น


ความคิดเห็น 14    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 50

โดยจักขุทวารเป็นต้น หรือเพราะไหลไปโดยส่วนทุกส่วน โดยนัยมีอาทิว่า รูปตัณหา ฯลฯ ธรรมตัณหา. บทว่า ลตา (ตัณหาเพียงดังเถาวัลย์) ความว่า ชื่อว่าเถาวัลย์ เพราะเป็นดุจเครือเถา เพราะอรรถว่าร้อยรัด เพราะอรรถว่าเกาะติดแน่น ได้แก่ตัณหา.

บทว่า อุพฺภิชฺช ติฏฺฐติ ความว่า งอกออกจากทวารทั้ง ๖ แล้ว ตั้งอยู่ในอารมณ์มีรูปเป็นต้น.

บทว่า เต โสเต (กระแสตัณหาเหล่านั้น) ความว่า ใคร คือบุรุษวิเศษ จะพึงกั้นกระแสมีตัณหาเป็นต้นอันไหลอยู่ในสันดานของเรา ด้วยเครื่องผูกคือมรรคอันเป็นดุจสะพาน.

บทว่า ตํ ลตํ ได้แก่ เครือเถาคือตัณหา, ใครจะตัดคือจักตัดด้วยศัสตราคือมรรค.

บทว่า เวลํ กโรถ ความว่า ท่านทั้งหลายจงกระทำเขตแดนคือสะพานให้เป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น.

บทว่า ภทฺทนฺเต เป็นบทแสดงอาการร้องเรียก.

บทว่า มา เต มโนมโย โสโต (อย่าให้กระแสตัณหานั้นเกิดแต่ใจ พัดพาท่านทั้งหลายไปเร็วพลัน) ความว่า กระแสน้ำกว้าง. แม้มหาชนผู้เขลา ก็อาจกระทำสะพานเป็นเครื่องกั้นกระแสน้ำนั้นได้; แต่กระแสอันเกิดทางใจนี้ ละเอียด ห้ามยาก, กระแสอันเกิดทางใจนั้น ทำพวกท่านที่ยืนอยู่ริมฝั่งอบายให้พลันตกลงในอบายนั้นอย่างรวดเร็ว พาไปสู่สมุทรคืออบายแล้วเกิดความเสียหาย คือให้ถึงความพินาศ ได้แก่ให้ถึงความฉิบหาย ย่อยยับเหมือนกระแสน้ำพัดมา ทำให้ต้นไม้ที่อยู่ริมฝั่งโค่น พินาศไปฉะนั้น.

พระเถระนี้ เพราะเป็นผู้อบรมสังขารไว้ในชาติก่อน และเพราะถึง


ความคิดเห็น 15    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 51

ความแก่กล้าแห่งญาณ เมื่อพิจารณาเห็นทุกข์ในปัจจุบันอยู่อย่างนี้ จึงแสดงอาการที่กำหนด ถือเอาสังกิเลสธรรมมีวิจิกิจฉาเป็นต้น บัดนี้เกิดความสลด มุ่งหาสิ่งที่เป็นกุศล จึงไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อจะกราบทูลแสดงคุณวิเศษที่ตนได้บรรลุ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เอวํ เม ภยชาตสฺส ( พระศาสดาผู้มีอาวุธคือปัญญา ) ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ เม ภยชาตสฺส (แก่เราผู้มีภัยอย่างนี้) ความว่า พระศาสดาทรงเป็นที่พึ่ง คือทรงเป็นที่ต้านทานของโลกพร้อมทั้งเทวโลกแก่ผู้มีภัยคือการเกิดในสงสารโดยประการดังกล่าวแล้วอย่างนี้แก่ผู้แสวงหาคือแสวงหาฝั่งคือพระนิพพาน จากที่มิใช่ฝั่ง คือจากสังสารวัฏอันมีภัยเฉพาะหน้าซึ่งเป็นฝั่งใน ว่า เราจะพ้นไปได้อย่างไรหนอ ทรงเป็นผู้ชื่อว่า มีอาวุธ เพราะมีปัญญา เพราะมีปัญญาเครื่องตัดกิเลสเป็นอาวุธ ชื่อว่าเป็น พระศาสดา เพราะทรงพร่ำสอนเหล่าสัตว์ด้วยทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์เป็นต้นตามสมควร ผู้อันหมู่ฤาษี คือหมู่แห่งพระอริยบุคคลมีพระอัครสาวกเป็นต้นซ่องเสพแล้ว คือเข้าไปนั่งใกล้แล้วจึงชื่อว่า ผู้อันหมู่ฤาษีอาศัยแล้ว

บทว่า โสปานํ (บันได) ความว่า พระศาสดาทรงประทานบันไดกล่าวคือ วิปัสสนา ชื่อว่าทอดไว้ดีแล้ว เพราะ ทรงกระทำไว้ดีแล้ว คือเพราะปรุงแต่งด้วยเทศนาญาณ ชื่อว่า บริสุทธิ์ เพราะเว้นจากอุปกิเลส ชื่อว่า ทำด้วยไม้แก่นคือธรรม อันเป็นสาระ มีศรัทธาและปัญญาเป็นต้น ชื่อว่า อันมั่นคง เพราะไม่หวั่นไหวด้วยธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ฝ่ายตรงกันข้าม แก่เราผู้ถูกห้วงน้ำใหญ่พัดไป ก็เมื่อจะทรงประทาน ทรงปลอบใจว่า ด้วยวิธีนี้ เธอจักมีความสวัสดี แล้วจึงได้ตรัสเตือนว่า เธออย่ากลัวเลย.

บทว่า สติปฏฺานปาสาทํ (สู่ปราสาทคือสติปัฎฐาน) ความว่า เราใช้บันไดคือวิปัสสนานั้นขึ้นสู่ปราสาท คือสติปัฏฐานอันเพียบพร้อมด้วยภูมิ ๔ ด้วยคุณวิเศษ


ความคิดเห็น 16    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 52

คือสามัญผล ๔ ที่จะพึงได้ด้วยกายานุปัสสนาเป็นต้น แล้วพิจารณาคือพิจารณาเฉพาะ ได้แก่รู้แจ้งสัจธรรม ๔ ด้วยมรรคญาณ.

บทว่า ยํ ตํ ปุพฺเพ อมญฺิสฺสํ สกฺกายาภิรตํ ปชํ (หมู่สัตว์ผู้ยินดีในร่างกายของตน ที่เราเคยมีความสำคัญผิดในกาลก่อน) ความว่า เราสำคัญผิดในกาลก่อนซึ่งเหล่าสัตว์ คือเดียรถีย์ชน ผู้ยินดียิ่งในสักกายะว่าเรา ว่าของเรา และซึ่งอัตตาที่เดียรถีย์ชนนั้น ยึดมั่นโดยความเป็นสาระใด เราเป็นผู้แทงตลอดสัจจะอย่างนั้น

บทว่า ยทา จ มคฺคมทฺทกฺขึ นาวาย อภิรูหนํ (ก็เมื่อใด เราได้เห็นทางอันเป็นอุบายสำหรับขึ้นเรือ) ความว่า ในกาลใด เราได้เห็นทางคือวิปัสสนาอันเป็นอุบายสำหรับขึ้นเรือ คืออริยมรรคตามความเป็นจริง. จำเดิมแต่นั้น เราไม่ยึดถือเดียรถีย์ชนและอัตตานั้น คือไม่เอามาตั้งไว้ในใจ จึงได้เห็นท่า คืออริยมรรคทัสสนะอันเป็นท่าแห่งฝั่งใหญ่ คืออมตะ กล่าวคือพระนิพพานอย่างอุกฤษฏ์ โดยมรรคทั้งปวง โดยกุศลธรรมทั้งปวง. อธิบายว่า ได้เห็นตามความเป็นจริง.

พระเถระ ครั้นประกาศการบรรลุมรรคอันยอดเยี่ยมของตนอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะสดุดีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงแสดงมรรคนั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทางอันสูงสุด

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สลุลํ ได้แก่ ลูกศร คือกิเลสมีทิฏฐิมานะ เป็นต้น.

บทว่า อตฺตสมุฏฺานํ (เกิดในตน) ได้แก่ เกิดขึ้นในอัตภาพอันได้ชื่อว่า อัตตา เพราะเป็นที่ตั้งอยู่แห่งมานะ การถือตัวว่าเป็นเรา.

บทว่า ภวเนตฺติปฺปภาวิตํ (เกิดแต่ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ) แปลว่า อันตั้งขึ้นจากภวตัณหา คือเป็นที่อาศัยของภวตัณหา. จริงอยู่ ภวตัณหานั้น เป็นแดนเกิดแห่งทิฏฐิและมานะเป็นต้น.


ความคิดเห็น 17    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 53

บทว่า เอเตสํ อปฺปวตฺตาย ( เพื่อไม่ให้เป็นไปแห่งบาปทั้งหลายมีทิฎฐิและมานะเป็นต้น ) ความว่า เพื่อความไม่เป็นไป คือ เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งบาปธรรมตามที่กล่าวแล้ว.

บทว่า เทเสสิ มคฺคมุตฺตมํ ( พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทางอันสูงสูด ) ความว่า ตรัสอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อันสูงสุด คือประเสริฐ และวิปัสสนามรรคอันเป็นอุบายแห่งอริยมรรคนั้น.

บทว่า ทีฆรตฺตานุสยิตํ ( อันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน..ตลอดกาลนาน ) ความว่า นอนประจำ อยู่ในสันดานมานาน ในสงสารอันมีเบื้องต้นและที่สุดรู้ไม่ได้ อันมีพลังอยู่เพราะอาจฟุ้งขึ้นมาได้เมื่อมีเหตุ ต่อจากนั้นจะตั้งอยู่นาน เกาะติดอยู่กับสันดาน.

บทว่า คนฺถํ (กิเลสเครื่องร้อยรัด) ความว่า พระพุทธเจ้า คือพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงลอยบาปได้ ทรงบรรเทาโทษอันเป็นพิษคือกิเลส อันเป็นตัวร้อยรัดในสันดานของเรา มีอภิชฌากายคันถะเป็นต้น ด้วยอานุภาพแห่งเทศนาของพระองค์ คือทรงทำโทษอันเป็นพิษคือกิเลสให้สูญหายไป. ก็เมื่อละกิเลสเครื่องร้อยรัดได้เด็ดขาดแล้ว กิเลสที่ชื่อว่ายังไม่ได้ละ ย่อมไม่มีแล.

จบอรรถกถาเตลุกานิเถรคาถาที่ ๓