ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๓
โดย วันชัย๒๕๐๔  1 ก.ย. 2553
หัวข้อหมายเลข 17088

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา คุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ ไปสนทนาธรรมที่บ้านของท่านทั้งสองย่านตลิ่งชัน

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๔ แล้ว ที่ท่านได้มีโอกาสเปิดบ้านของท่านเพื่อเกื้อกูลแก่สหายธรรม ทั้งการให้ได้มีโอกาสในการฟังพระธรรมอันมีค่า ในสถานที่อันแสนสะดวกสบาย และที่ท่านให้ความใส่ใจเป็นพิเศษอีกประการหนึ่งคือเรื่องอาหาร ที่ท่านจัดเตรียมไว้ต้อนรับ

โดยคุณหมอ ท่านถึงกับลงมือปรุงอาหารด้วยตนเอง ด้วยเหตุผลที่ว่า นอกจากจะให้ทุกท่านได้ฟังและสนทนาธรรมในสถานที่อันแสนสบายแล้ว ท่านก็อยากให้ได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่า สด สะอาด และปลอดภัยต่อสุขภาพ

เช่น ท่านได้ปรุงข้าวต้มปลากระพงแสนอร่อยที่ท่านถนัด ใส่ปลากระพงชิ้นโตๆ สดมากๆ ไว้ต้อนรับทุกๆ ท่านในตอนเช้า ในตอนกลางวันท่านเตรียมน้ำพริกกะปิ ผักสดและลวก ขนมจีน น้ำยา และ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายแท้ๆ ที่ท่านปรุงเอง และ อาหารอื่นๆ อีกหลายชนิดรวมทั้งเมี่ยงคำรสกลมกล่อมดั้งเดิม ที่อาจารย์ อรรณพบอกว่าหาทานได้ยาก ทั้งท่านยังไปเด็ดใบทองหลางในสวนของท่านมาให้ทานกันสดๆ อีกด้วยครับ

อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ทราบว่า ในการจัดสนทนาธรรมครั้งก่อนๆ ท่านมีเมตตามากถึงขนาดที่ท่านลงมือทอดหอยทอดด้วยตนเองเลี้ยงทุกคน โดยท่านตั้งเตาทอดใหม่ๆ แล้วเสิร์ฟทีละจานเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียวครับ หอยทอดที่บ้านคุณหมอทวีปนี้ เป็นที่เล่าขานว่าอร่อยจริงๆ แต่ในหนหลังมานี้ เนื่องจากท่านอาจารย์ได้กรุณาเตือนคุณหมอว่า ห่วงแต่ทำให้คนอื่นทาน จนไม่มีเวลาฟังธรรม ท่านจึงงดไป แต่ท่านก็ยังไม่วายพูดถึงว่าท่านอยากทำให้ทุกคนได้ทานอีก

เอ..นี่ข้าพเจ้าเขียนกระทู้ฟังธรรม ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นกระทู้อาหารไปเสียแล้วกระมัง? ต้องขออภัยด้วยครับ เพียงแต่ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในกุศลที่ท่านได้กระทำและอยากเล่าให้ฟัง เพื่อทุกท่านได้ร่วมอนุโมทนาในกุศลทุกๆ ประการของท่านเจ้าของบ้านเท่านั้นครับ และไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ว่าข้าพเจ้าบังเอิญ มีไฟล์ภาพ ตอนคุณหมอลงมือทอดหอยทอด เก็บไว้เนื่องจากคุณทิพฝากโหลดภาพลงเก็บในฮาร์ดิสของข้าพเจ้าเมื่อครั้งที่ไปศรีลังกาคราวก่อน จึงขออนุญาตินำมาลง เพื่อบันทึกไว้ ให้ได้ระลึก ถึง ณ กาลครั้งหนึ่ง ในกุศลเจตนาของคุณหมอ นะครับ

ขอแถมอีกนิดว่า ข้าพเจ้าไม่สงสัยในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของท่านเลยว่า เพราะเหตุใด คุณหมอและคุณทิพ ถึงได้มีฐานะที่ดี มีบริวารที่ดี มีที่อยู่อาศัยใหญ่โต มีสรรพสิ่งพร้อมมูลในชาตินี้ และท่านยังได้ใช้ทรัพย์และสรรพสิ่งที่ท่านมีนั้น ในการเจริญกุศลทุกประการเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาและผู้อื่นอย่างยอดเยี่ยมประณีตบรรจงอีกด้วย
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร มา ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่งครับ

วันนี้ เมื่อท่านอาจารย์ เดินทางมาถึง จึงได้ทราบว่า ท่านไม่สบายเพราะท้องเสียรุนแรง แต่ในที่สุดท่านก็มีเมตตามาจนได้

เวลาของท่านมีค่าจริงๆ ครับ ทั้งๆ ที่ทุกคนรู้ว่าท่านไม่สบายมาก แต่ก็ยังไม่ยอมให้ท่านพัก สนทนา สอบถาม ธรรมะที่มีความสงสัยเพื่อขอให้ท่านให้ความกระจ่างอยู่ตลอดเวลา ตามที่ข้าพเจ้าเห็นท่าน ขณะแรกที่ท่านมาดูท่านอิดโรย แต่ท่านก็ยิ้มแย้มตลอดเวลา แต่เมื่อท่านได้สนทนาสักพัก จะเห็นได้ชัดเจนว่า ท่านสดชื่นขึ้นมากๆ สดใส ร่าเริง และยังกล่าวกับข้าพเจ้าเมื่อขอให้ท่านเจ้าของบ้านถ่ายภาพกับท่านเป็นที่ระลึกว่า "...ถ่ายเสร็จ ต้องบอกว่า วันนี้ป่วย (หัวเราะ) ..."

ช่วงเวลาที่ท่านมาถึง และ อยู่ในห้องพักรับรอง ก่อนที่จะไปยังห้องสนทนาธรรมที่ท่านเจ้าของบ้านจัดไว้ ท่านได้สนทนากับคุณเทพฤทธิ์,คุณไชยยศ สะสมทรัพย์ และ ภริยา (บุตรชายของท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า จะเปลี่ยนนามสกุลเป็น......สะสมปัญญา...ขออนุโมทนาครับ)
มีข้อความบางตอนที่น่าสนใจ ที่แม้หลายท่านที่อยู่ที่นั่นในเวลานั้น ก็อาจไม่ได้รับฟัง ข้าพเจ้าจึงใคร่ขออนุญาติ นำความบางตอนที่ท่านได้สนทนาไว้ มาให้ทุกท่านได้พิจารณาดังนี้

ท่านอาจารย์ "...นานนานจะเป็นสักที เมื่อคืน...ท้องเสีย.."

ท่านผู้ฟัง : ความป่วยไข้ก็ วิบากจิตนะครับ

ท่านอาจารย์ "...ธรรมดา ธรรมดา จริงๆ ..."

ท่านผู้ฟัง : เรื่องวิบากจิตนี่ คนไม่เคยเข้าใจกัน ไม่ค่อยยอมรับกัน

ท่านอาจารย์ "...ทีนี้ วิบาก....มันไม่ใช่เป็นแต่เพียงชื่อ คือคนนี่ เรียนตำรา ง่ายมาก บอกว่าเป็นวิบากก็เป็นวิบาก เป็นผลของกรรม.....แต่ทีนี้...เจอวิบากจริงๆ ...คือ...เดี๋ยวนี้.....แล้วจริงๆ ธรรมะนี่น่ะ...มันเหมือนว่ามัน...รวมกัน...นะคะ แต่มันแยกเป็นส่วนๆ แล้วมันห่างกันด้วย อย่างตากับหู มันก็ไกล แล้วมีอากาศธาตุแทรกคั่น....ละเอียดยิบ....

....เพราะฉะนั้น ชั่วขณะที่ตาเห็น...มันส่วนนึงเลย....แล้วก็ไม่เป็นใครทั้งสิ้น ไม่เป็นที่ไหนเลยทั้งสิ้น เพียงแต่เกิดขึ้นเห็น ถ้าเราสามารถที่จะละความผูกพัน เอามาโยงกับตน....มันก็คือความไม่เป็นตัวตน....แต่ถ้ามันยัง...รวมกัน...ต่อกัน..อย่างนี้ มันก็คือ เดี๋ยว "เราเห็น" เดี๋ยว "เราได้ยิน"..แต่ความจริง "ลักษณะ" ของเขาจริงๆ ....เกิด...ดับ...หมดเลย...ทุกอย่าง......

...การฟังนี้...ต้องฟังด้วย...หนึ่ง....ความตรง ความจริงใจ ความมั่นคง...ที่จะรู้ความจริง เพราะว่า เราไม่ได้เพื่ออย่างอื่นเลยนอกจาก ความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง ซึ่งเปลี่ยนความจริงไม่ได้....ความจริงคือมีการเกิดขึ้นแน่นอน แล้วสิ่งที่เกิดก็ต้องดับไปด้วย......เนี่ยค่ะ เค้าเกิดดับ สืบต่อเร็วมาก....เราก็รู้หยาบๆ คร่าวๆ ก็บางส่วนที่จะรู้ได้....

...แต่ธรรมะนี่...สะสมไปเถอะค่ะ..สะสมไปเพื่อเข้าใจ...อย่างเดียว...แล้วมันจะเป็นปรกติ ทีนี้เรามีความอยากเข้ามา แล้วเราจะผิดปรกติ มันจะกลายเป็น....มีความจงใจ...มีความต้องการบิดเบือน ไม่ตรงความจริง เพราะว่าความจริง เมื่อเกิดแล้วดับนี่ใครจะไปบิดเบือนได้ ใช่ไหม? แต่ความต้องการของคน อยากจะให้มันรู้มากๆ และ รู้เร็วๆ ก็เลยไปบิดเบือน พยายามจงใจ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ซึ่งความจริงแล้ว....ขณะนี้...เราก็มีปัจจัย...เกิดแล้วก็ดับ....แล้วก็ "ตัวตน" นี่.....เข้าไปเสริมแต่ง.....ปิดบัง...

...ลองคิดดูนะคะ...เกิดมานิดเดียวเป็น...แต่ละจุด....ในสังสารวัฏฏ์ หายไปไม่มีใครรู้...แต่ละจุด...จริงๆ เพราะเราพูดเรื่องสังสารวัฏฏ์นี่ มันยาว......แต่ว่า...ถ้าไม่มี...หนึ่งจุด...หนึ่งจุด..ขึ้นมานี่....ความยาว...ไม่มี.....หนึ่งจุดคือ..เห็น...หนึ่งจุดคือ...คิด...ดับ หนึ่งจุดคือ...ได้ยิน...ดับ.....แต่การเกิดของเค้านี่...สืบต่อ...จนเหมือนกับว่าไม่เคยดับ....

..แต่ว่ายังไงๆ ตอนจากโลกนี้ไปมันดับแน่...แล้วเราไปคิดว่าเราหมดตอนนั้น ใช่ไหม? ความจริง "เดี๋ยวนี้" เป็นอย่างนั้นเลย......แล้วมันต่อกันสนิท จากชาติก่อนมาชาตินี้ จากชาตินี้ไปชาติหน้า ไม่หยุด ตราบใดที่ยังมีกิเลส มีปัจจัย.....แล้วเลือกไม่ได้ด้วย.....

...แต่ถ้าเกิดมาแล้ว ได้เป็นประโยชน์ โอ้โฮ...คุ้มค่ะ...คุ้ม...จริงๆ .....เกิดมาทำสิ่งที่มีค่าทั้งนั้นเลย คือประโยชน์ ความดี คือคนบางที....คิดไม่ถึง...เพราะว่าเขา...เขาเคยชินต่อการ...ที่จะไม่คิดลึกซึ้ง......"

อนึ่ง ในวันนั้น ยังมีหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์มาก หลายหัวข้อที่อาจารย์อรรณพ อาจารย์ธิดารัตน์ อาจารย์ธีรพันธ์ อาจารย์คำปั่น ได้สนทนาไว้ เช่นเรื่องของความเห็นผิด เรื่องของอนุธรรมะ ที่ท่านอาจารย์ อรรณพ ได้อธิบายไว้อย่างน่าฟังมากๆ เลยครับ แต่เกรงว่ากระทู้จะยาวเกินไป ข้าพเจ้าจึงขอแสดงภาพและข้อความบางตอน เพื่อให้ทุกๆ ท่านได้เห็นบรรยากาศการสนทนาในวันนั้น นะครับ

อ.อรรณพ ทีนี้ มาถึงประเด็นของพี่อรวรรณนะครับ ซึ่งก็อยากให้นำมาสนทนากันว่า อกุศลธรรมมีเยอะ...ก็ร้ายๆ ทั้งนั้น ทำไมกล่าวว่า "ทิฏฐิ" นี่น่ะร้าย ก็หลายๆ ท่านก็กล่าวไว้ ทีนี้ผมก็เลยนึกถึงข้อธรรมได้อีกข้อหนึ่ง เดี๋ยวคุยกับพี่ละกัน....คนพาล คืออะไรครับพี่ คนพาล พาลกับบัณฑิต ครับ...

คุณ อรวรรณ ตามความเข้าใจ ที่ฟังจากท่านอาจารย์ พาล ก็เป็น อกุศล บัณฑิต ก็เป็น กุศล

อ. อรรณพ แล้วพาลยิ่งกว่าพาล คืออะไรครับ?

คุณ อรวรรณ คือความเห็นผิด

อ. อรรณพ ใช่ ก็เป็นคำตอบ ว่าพาลยิ่งกว่าพาลนี่น่ะ คือความเห็นผิด...เพราะฉะนั้น โดยสภาพธรรมะแล้ว อกุศลธรรมนี่แหละ พาล...ซึ่งโดยสภาพธรรมโดยอภิธรรม ในบรรดาอกุศลธรรมทั้งหลาย...ที่แย่ที่สุด ก็ต้องเป็นความเห็นผิด

อ. คำปั่น ในโลกนี้คนที่เป็นบัณฑิต กับคนที่เป็นคนโง่ อันไหนมากว่ากัน?....คนที่เป็นบัณฑิตมีน้อย.... (บุคคล) เมื่อมีความเห็นผิดแล้ว ยิ่งจะเพิ่มความเห็นผิด ยิ่งขึ้นอีกนะครับ จึงเป็นโทษมากจริงๆ .....แต่สภาพธรรมะที่ตรงข้ามกับความเห็นผิด ก็คือความเห็นที่ถูกต้อง เป็น "ปัญญา"....ปัญญา...มาจากไหน? ถ้าหากไม่ศึกษาพระธรรม....ไม่ฟังพระธรรม...เพราะเหตุว่า ขึ้นชื่อว่า "สาวก" แล้ว ต้องได้ฟังพระธรรม ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ...ด้วยความเข้าใจจริงๆ ...ซึ่งเมื่อวาน ท่านอาจารย์ ได้กล่าวเตือนเป็นคำที่คล้องจองกัน น่าฟังทีเดียวนะครับว่า..."...ปัญญา...ไม่ได้เกิดเพราะความอยาก...แต่มาจาก...การฟังด้วยความแยบคาย..."

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 2 ก.ย. 2553

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 2    โดย pirmsombat  วันที่ 2 ก.ย. 2553

อนุโมทนา และ มุฑิตา ทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 3    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 2 ก.ย. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย hadezz  วันที่ 2 ก.ย. 2553

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย khampan.a  วันที่ 2 ก.ย. 2553

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 6    โดย kanchana.c  วันที่ 2 ก.ย. 2553

กราบอนุโมทนาเจ้าภาพทั้งสองค่ะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณวันชัย ที่มีวิริยะอุตสาหะทำให้คนที่ไม่ได้ไปร่วม ได้มีโอกาสเห็นภาพ และได้ทราบข้อความธรรมที่ลึกซึ้งจากท่านอาจารย์ค่ะ และอนุโมทนาในความเมตตาของท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ที่แม้ท่านจะป่วย แต่ก็ทำประโยชน์อย่างยิ่ง ชีวิตของท่านช่างคุ้มค่าจริงๆ


ความคิดเห็น 7    โดย ups  วันที่ 2 ก.ย. 2553

สาธุครับ


ความคิดเห็น 8    โดย ที่พึ่งที่ระลึก  วันที่ 2 ก.ย. 2553

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย ทศพล32  วันที่ 2 ก.ย. 2553

ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่าน โดยเฉพาะท่านอาจารย์ ขอกราบอนุโมทนา


ความคิดเห็น 10    โดย ผิน  วันที่ 2 ก.ย. 2553

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย เมตตา  วันที่ 2 ก.ย. 2553

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย h_peijen  วันที่ 2 ก.ย. 2553

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย ฤทัยทิพย์  วันที่ 3 ก.ย. 2553

ดิฉันขออนุโมทนาในการฟังธรรมครั้งนี้ กับทุกรูปนาม ได้ขอสรุปว่า การฟังธรรมโดยความแยบคายทำให้เกิดปัญญา และปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความอยากสาธุ


ความคิดเห็น 14    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 3 ก.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย opanayigo  วันที่ 3 ก.ย. 2553

ดูภาพไป อ่านข้อความ

ระลึกตามไป

อิ่มใจ

ในเจตนาดี อันยังประโยชน์

เป็นกาลและวาระอันดียิ่ง

............................

ท่านอาจารย์เป็นผู้มีความอดทนอย่างยิ่ง

เพื่อประโยชน์ส่วนรวม

แบบอย่างอันดีงามของท่าน

เป็นกำลังใจให้ผู้ฟังอย่างข้าพเจ้า

ท่าน เป็นผู้ตรง จริงใจ และมั่นคง เป็นกลาง (สภาพธรรมอันดีงาม)

สมควรเอาเยี่ยงอย่าง ตามสติปัญญาและกำลัง

เพื่อตอบแทนบูชาคุณงามความดี

ที่ท่านได้เสียสละมากมาย

ด้วยประพฤติธรรม สมควรแก่ธรรม

เพราะท่านเหนื่อยมามากแล้ว

......................

ท่านเจ้าภาพใจดี เหมือนสายน้ำเย็น

สร้างความเอิบอิ่ม แก่ผู้คนรอบข้าง (ก็เป็นสภาพธรรม)

.....................

ท่านเจ้าของกระทู้ใจดี

ในการแบ่งปัน (ก็เป็นสภาพธรรม)

......................

ประโยชน์สูงสุดคือ

การฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ และแยบคาย

เพื่อเตือนตน พิจารณา ตน ขัดเกลาตน (จะเกิดประโยชน์แก่ผู้สอน)

เกิดผลจริง (ปฎิเวธ)

เพราะเวลาล่วงไปทุกขณะๆ

......................

ด้วยความเคารพในธรรม สมควรแก่ธรรม

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 16    โดย saifon.p  วันที่ 3 ก.ย. 2553


ท่านอาจารย์มีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์คนอื่นจริงๆ

ขอกราบแทบเท้าอนุโมทนาท่าน

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย chaiyut  วันที่ 3 ก.ย. 2553

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

ขณะอันประเสริฐ คือ การอบรมเจริญปัญญา...หาได้ยากครับ


ความคิดเห็น 18    โดย สุรศักดิ์  วันที่ 3 ก.ย. 2553

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ คุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ผมระลึกในพระคุณที่ท่านได้เอื้อเฟื้อให้พวกเราได้ฟังรายการสนทนาธรรมทางวิทยุทุกวัน ได้เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกอิ่มบุญไปด้วย


ความคิดเห็น 19    โดย อินทิรา  วันที่ 4 ก.ย. 2553


กราบอนุโมทนา และขอขอบคุณในกุศลจิตทุกท่านค่ะ

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดที่15


ความคิดเห็น 20    โดย pamali  วันที่ 4 ก.ย. 2553

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 21    โดย kinder  วันที่ 7 ก.ย. 2553

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 22    โดย raynu.p  วันที่ 10 ก.ย. 2553

รู้สึกพลอยยินดีกับทุกๆ ท่านที่มีโอกาสเจริญกุศลทุกประการ โดยมีท่านอาจารย์สุจินต์ ถึงแม้ป่วยก็ไม่ละเว้นในการแสดงพระธรรม คณะวิทยากร คุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ที่สำคัญสื่อของบ้านธัมมะและคุณวันชัย๒๕๐๔ ที่ทำให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสไปร่วมเจริญกุศลด้วยตนเอง ได้รับประโยชน์ในขณะนี้ กราบอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 23    โดย orawan.c  วันที่ 10 ก.ย. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 24    โดย สมศรี  วันที่ 10 ก.ย. 2553
ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 25    โดย aurasa  วันที่ 12 ก.ย. 2553

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ วิทยากร ท่านเจ้าภาพ ทุกท่านที่ร่วมสนทนา รวมทั้ง

ท่านที่นำมาเผยแผ่บนเว็บด้วย มีประโยชน์อย่างยิ่งค่ะ ด้วยคำกล่าวของท่านอาจารย์

ทำให้เตือนใจ ฟังอย่างแยบคายจริงๆ ไม่เผิน สติระลึกได้


ความคิดเห็น 26    โดย wannee.s  วันที่ 13 ก.ย. 2553

ผู้ให้ไม่อิ่มด้วยการบริจาค

ผู้แสดงธรรม ไม่อิ่มด้วยการสนทนาธรรม

บัณฑิตไม่อิ่มด้วยการฟังธรรมค่ะ


ความคิดเห็น 27    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 15 ก.ย. 2553
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 17088 ความคิดเห็นที่ 26 โดย wannee.s

ผู้ให้ไม่อิ่มด้วยการบริจาค

ผู้แสดงธรรม ไม่อิ่มด้วยการสนทนาธรรม

บัณฑิตไม่อิ่มด้วยการฟังธรรมค่ะ


...สาธุ...

ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์

ขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพ

คณะวิทยากร

และกุศลจิตของทุกท่านค่ะ