ประมวลธรรม ...จากการสนทนาธรรมที่บ้านคุณเกรียงศักดิ์ ๒๗ ม.ค. ๒๕๕๕
โดย มศพ.  28 ก.ย. 2555
หัวข้อหมายเลข 21798

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ

สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

ประมวลธรรม

จากการสนทนาธรรม

ที่บ้านคุณเกรียงศักดิ์ อินทราวิชกุล

วันศุกร์ที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๕


ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนที่มีการฟังธรรม (แม้จะทำอย่างอื่นไปด้วย) ก็ขออนุโมทนาที่ไม่ทิ้งโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรม เพราะเป็นสิ่งที่หาได้ยาก แต่เพราะมีศรัทธาและมีการสะสมมาแล้วในอดีต ก็ทำให้เป็นผู้ตรงต่อพระธรรมและเป็นผู้ที่มีเหตุผล จึงฟัง

ความสงสัยหรือความไม่รู้ เช่น เห็น ได้ยิน สุข ทุกข์ มาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่รู้ จนกระทั่งจากโลกนี้ไป ไปไหนก็ไม่รู้อีก

เมื่อมีการเห็น การได้ยินแล้วเกิดความยินดียินร้าย ชอบไม่ชอบ เมื่อหมดไปแล้วก็สะสมอยู่ในจิต จิตของแต่ละคนหลากหลายมาก

ขณะที่ได้ยินเสียงแล้ว เกิดความยินดีหรือไม่ยินดี ได้ยิน กับ เสียงก็หายไป ความยินดีหรือไม่ยินดีก็หายไป ในแต่ละหนึ่ง ขณะนี้เพียงเกิดปรากฏสั้นแสนสั้น แล้วก็หายไปหรือหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย นี้คือโลก (สภาพธรรมที่แตกดับไม่ตั้งอยู่นาน) และได้ยินนั้นก็ไม่ใช่เราได้ยิน นี่คือพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

พระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เมื่อตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรมอนุเคราะห์คนในครั้งอดีตนับประมาณไม่ได้ รวมทั้งเทวดาและพรหมด้วย

โลกเก่าที่จากมา อาจจะดีกว่าหรือเลวกว่าโลกนี้ก็ไม่ทราบแล้วก็หมดไป โลกนี้ก็ใกล้ที่จะหมด ทรัพย์สินมากมายมหาศาล มิตรสหาย ตลอดจนความเพลิดเพลินก็ไม่เหลือ เป็นของว่างเปล่าจริงๆ เพียงชั่วคราวแล้วก็หายไป เกิดมาแล้วไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ แล้วก็จากไปด้วยความไม่รู้เหมือนเดิม แล้วก็ถึงโลกใหม่ ก็ไม่พ้นจากการเกิดแล้วต้องเห็นต้องได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส คิดนึก สุข ทุกข์

เมื่อเกิดมาแล้วมีการศึกษาเล่าเรียนในสาขาต่างๆ มากมาย เป็นความรู้ แต่ไม่ใช่ความรู้ที่เป็นจริงถึงที่สุด ไม่ใช่ความเห็นถูกที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ บางคนไม่อยากศึกษาพระธรรม คิดว่าไปศึกษาวิชาอื่นดีกว่า แต่ไม่ว่าวิชาไหนก็ต้องมีเห็น ได้ยิน มีคิดนึก เปลี่ยนไปไม่คงที่

สิ่งประเสริฐ (พร, วร) ที่ยิ่งกว่าสิ่งใด คือ การได้รู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลผู้เลิศอย่างไร ทรงตรัสรู้อะไร และจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมอย่างไร

อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้ชื่อนี้ เพราะทรงพระมหากรุณาคุณ ทรงแสดงพระธรรมมากมายกว่าใครอื่นทั้งหมด เมื่อตื่นบรรทมแล้วก็พิจารณาว่าใครจะเป็นผู้ได้รับฟังพระธรรม แสดงสิ่งที่ใครก็คิดเองไม่ได้ แต่ว่าเป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ทุกขณะ ให้คนอื่นมีปัญญาเพิ่มขึ้น รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้จนกระทั่งเห็นอกุศลเป็นอกุศล ที่มีโทษตามความเป็นจริง นำทุกข์มาให้ และอบรมธรรมฝ่ายกุศล ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่เคยนำทุกข์มาให้ใครเลยทั้งสิ้น

- ทรงได้ชื่อนี้เพราะปัญญาคุณ ทรงมีพระปัญญามาก ตรัสรู้ความจริงทั้งปวง และมีพระญาณต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย

- ทรงได้ชื่อนี้เพราะพระบริสุทธิคุณ ทรงสามารถดับกิเลสได้หมดด้วยพระองค์เอง โดยไม่ต้องฟังจากใคร

ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสนใจฟัง โอกาสที่จะได้ฟังต้องมีเหตุ ฟังแล้วจะเข้าใจไหม แม้แต่เพียงการเข้าใจก็ต้องมีเหตุ ทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัย

เราเพียงแต่กราบไหว้แล้วขอนั่นขอนี่ สิ่งที่ขอนั้นประเสริฐหรือเปล่า แต่สิ่งที่ประเสริฐ ที่ทรงให้อยู่แล้ว แม้ไม่ต้องขอ ก็คือ พระธรรม

จิตคืออะไร

ธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ นี้ต่างกัน ๒ อย่าง อย่างหนึ่งไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ขณะนี้กำลังมีแข็งปรากฏ แข็งไม่รู้อะไรเลย แต่ที่บอกว่าแข็ง เพราะกำลังมีสภาพที่รู้แข็ง สภาพที่รู้นั้นคือจิต ถ้าเกิดมาเป็นต้นไม้ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ เป็นลม จะไม่รู้อะไรเลย แต่พอจับอะไรที่ร้อนก็รู้ว่าขณะนั้นร้อนปรากฏ แสดงว่าจะต้องมีสภาพที่กำลังรู้เฉพาะร้อน ไม่ใช่ได้ยินเสียง ไม่ใช่คิดนึก ขณะนี้เสียงปรากฏ คือได้ยิน ถ้าไม่มีสภาพที่กำลังได้ยินเสียง หรือรู้เสียง เสียงก็ปรากฏไม่ได้

ตั้งแต่เกิดจนตาย ใช้คำว่า จิตเกิด ก็คือสภาพรู้ เกิด คนตาย ต้นไม้ ใบหญ้า ไม่รู้อะไรเลย เพราะไม่มีจิตเกิดที่รูปเหล่านั้น

จิตมีแน่ๆ แต่จิต ไม่ใช่รูปร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

สิ่งที่มีจริงทั้งหมดแต่ไม่รู้อะไร ภาษาบาลีใช้คำว่า รูปธมฺม (รูปธรรม)

รูปธรรมปรากฏ เพราะขณะนั้นๆ มีธาตุรู้ คือมีจิตเกิดรู้สิ่งนั้นๆ จึงปรากฏ

เราเข้าใจกันว่าเมื่อคนเกิดแล้วต้องตาย แต่ไม่รู้ว่าจิตเกิดแล้วดับ เร็วที่สุดที่จะประมาณได้ จนเหมือนกับไม่ได้ดับเลย

ขณะที่จิตกำลังเห็น จะเป็นขณะที่ได้ยินไม่ได้ จิตเห็นต้องดับไปก่อน แล้วจิตอีกชนิดหนึ่ง จึงเกิดขึ้นได้ยิน หรือจิตอื่นต้องดับไปก่อน จึงเกิดขึ้นคิด จิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ ซึ่งเร็วมากแล้วก็ดับไป

ตื่น คนหรือสัตว์ต่างๆ ตื่น ก็คือมีจิตเกิดขึ้นรู้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก ฯลฯ ต้นไม้ ดอกไม้ ฯลฯ ไม่มีทางที่จะตื่นเพราะไม่รู้อะไร

หลับ ขณะนั้นไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก แต่ยังไม่ตาย มีจิตจริง จิตไม่ได้หลับ แต่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก

ขณะแรกที่เกิดมาเป็นคนในโลกนี้ เล็กนิดเดียว มองไม่เห็น แต่จิตก็เกิดแล้ว ถ้าไม่มีจิตก็เป็นเนื้องอก เป็นก้อนเนื้อ แต่เพราะจิตเกิด แล้วจิตก็ดับสืบต่อจนกระทั่งออกมาจากท้องของมารดา มาเห็น มาได้ยิน แต่ละวันๆ ไปจนกว่าจะตาย

จิตที่เกิดขณะแรกแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย จิตทุกขณะที่เกิดดับสืบต่อมา ทำหน้าที่การงาน เฉพาะขณะนั้นๆ แล้วก็ดับไม่กลับมาอีกเลย ตอนตายก็เป็นจิต เป็นจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ ทำหน้าที่พ้นสภาพจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่มีจิตอื่น เกิดต่อในชาตินี้อีก จิตขณะต่อไปทำหน้าที่สืบต่อเป็นจิตขณะแรกของชาติต่อไปเรียกว่า เกิด ไม่มีจิตอะไรมาคั่นเลย เป็นสังสารวัฏฏ์

สังสาระ คือ การท่องเที่ยวไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นเมื่อกี้นี้ เดี๋ยวนี้ก็มีเห็นอีก ได้ยินเมื่อกี้นี้แล้วก็ได้ยินอีก ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอดทุกชาติ

ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยขาดจิตเลย เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกสักขณะเดียว ว่างเปล่า เรียกร้องให้กลับคืนมาก็ไม่ได้เลย ใครก็ทำให้กลับคืนมาก็ไม่ได้อีก ใครก็ทำให้เกิดก็ไม่ได้ ใครก็ทำให้ดับก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตเป็นเราหรือเปล่า

ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ใครก็เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมนี้ไม่ได้ จึงใช้คำว่า ปรมัตถธรรม

ปรม คือ บรม ในภาษาไทย ไม่มีใครที่จะเป็นใหญ่ที่จะมาทำให้จิตเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ได้

ลึกซึ้ง ละเอียด รู้ยาก นี่คือ ความหมายของอภิธรรม

เมื่อได้ยินคำว่า อภิธรรม ก็รู้เลยว่าเป็นธรรมซึ่งมีจริงๆ เกิดแล้วจึงปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วก็ดับไป เพราะการเกิดดับสืบต่อลึกซึ้ง จึงไม่เห็นการดับ จึงเป็นอภิธรรม

ถ้าไม่มีธรรม ก็ไม่มีอะไร คำว่า ปรมัตถธรรมก็ไม่มี อภิธรรมก็ไม่มี แต่เมื่อมีธรรม ... ธรรมนั่นแหละ เป็นปรมัตถธรรมและเป็นอภิธรรมด้วย

เจตสิก คืออะไร

เจตสิก หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องอาศัยที่เกิดที่เดียวกับจิต ทุกครั้งที่จิตเกิดจะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยกับจิตทุกครั้ง และเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

เจตสิกเป็นคำใหม่ บางคนอาจจะไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยได้ยินมาก่อน คำนี้เป็นภาษาบาลี เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต จะไปเกิดที่ไหนไม่ได้เลย ต้นไม้ใบหญ้าไม่มีเจตสิก แต่ที่ใดที่มีจิตที่นั่นมีเจตสิก

เจตสิกเป็นสภาพรู้เหมือนจิต คือเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ด้วยเหตุนี้เมื่อมีจิต ๑ จึงมีเจตสิกหลายประเภทเกิดกับจิตได้

จากการตรัสรู้ทรงแสดงว่าจะต้องมีเจตสิกอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภทเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท เพราะฉะนั้นจิตจึงหลากหลายมากตามเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย จิตดีก็มี จิตชั่วก็มี

จิตและเจตสิก ไม่มีรูปร่างเลย มองเห็นไม่ได้ ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เป็นธาตุรู้ล้วนๆ ปราศจากรูปใดๆ ทั้งสิ้น ใช้คำว่า นามธรรม

รูปธรรมต่างกับนามธรรม

- รูปธรรม ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่รู้อะไรเลย รูปจะไปเป็นจิตและเจตสิกไม่ได้เลย

- นามธรรม เป็นสภาพรู้ เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่จะไปเป็นรูปหรือมีรูปเจือปนไม่ได้เลย เช่น รูปเห็นอะไรไม่ได้ ที่เห็นนี้เพราะมีธาตุที่เห็นคือ จิต จิตต้องเกิดกับเจตสิก เจตสิกจะไปเกิดที่อื่นที่ไม่ใช่จิตก็ไม่ได้ ทั้งจิตและเจตสิก เป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ด้วย จะไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้และรู้สิ่งเดียวกัน

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม เป็นภาษามคธี แต่สามารถ ศึกษาด้วยภาษาไทย ที่มีความหมายเหมือนภาษามคธี (บาลี) ได้เช่นกัน

จกฺขุวิญฺญาณ (บาลี) ภาษาไทยใช้คำว่า เห็น

โสตวิญฺญาณ (บาลี) ภาษาไทยใช้คำว่า ได้ยิน

ได้ยินเป็นธาตุรู้ ต้องอาศัยหู จึงเกิดได้ เมื่อเกิดแล้วก็รู้เฉพาะเสียง เสียงสามารถกระทบหู แต่กระทบส่วนอื่นของร่างกายไม่ได้เลย นี่คือความละเอียดของชีวิต

สิ่งที่มีจริงเหล่านี้ จะรู้หรือไม่รู้ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไป ยับยั้งไม่ได้

ประโยชน์ของการที่ได้รู้ว่าชีวิตสั้น เกิดแล้วก็ตายแน่ๆ แต่ก่อนตายทำอะไร ดีหรือชั่ว เป็นกุศลหรืออกุศล

ขณะที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขณะนั้นไม่ใช่ให้โทษแต่เฉพาะคนอื่น แต่ตัวเองทันทีที่สภาพธรรมที่ไม่ดีเกิดก็ชั่วแล้ว ไม่ดีแล้ว และผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็ต้องสืบต่อทำให้เป็นทุกข์

พระธรรมที่ทรงแสดงทำให้เห็นประโยชน์ว่า อะไรเป็นเหตุของทุกข์ เป็นทุกข์เพราะต้องเกิดมาเห็น ทั้งเห็นและสิ่งที่ปรากฏก็หายไป และทั้งที่ได้ยินเสียงนั้นก็หายไป ฟังจนกว่าจะรู้ความจริงที่ประเสริฐ ซึ่งเป็นอริยสัจจธรรม เพราะมีปัญญาที่สามารถเข้าใจความจริงได้ และไม่สูญหายไปไหนเลยเก็บสะสมอยู่ในจิต

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ต้องสิ้นสุดที่ความตาย แต่ก่อนตายนั้นควรจะทำอะไร จึงจะถูกต้องเหมาะสมดีงาม แม้แต่ขณะนี้กำลังฟังพระธรรมก็เป็นการสะสมเหตุที่ดี ซึ่งต้องเคยสะสมเหตุที่ดี คือเคยได้ฟังพระธรรมมาแล้วในอดีต จึงทำให้มีความสนใจ ใส่ใจที่จะฟังและศึกษา

การได้ฟังพระธรรมนั้น เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ผู้ใดก็ตามที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้น เป็นโอกาสที่ผู้นั้นจะได้สะสมปัญญาสืบต่อไป

การฟังการศึกษานั้นไม่พ้นไปจากการศึกษาสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ซึ่งมีอยู่ ๒ อย่าง คือ รูปธรรมเป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย และนามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ คือจิตและเจตสิก

จิตที่ดีเพราะมีเจตสิกที่ดีงามเกิดร่วมด้วยกับจิต เช่น กำลังฟังพระธรรม มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น เกิดร่วมด้วย จิตที่ไม่ดีงามเพราะมีเจตสิกที่ไม่ดีเกิดร่วมด้วยกับจิต เช่น มีความติดข้อง หรือมีความขุ่นเคืองใจ เจตสิกที่ไม่ดีปรุงแต่งให้จิตนั้น เป็นจิตที่ไม่ดี

เมื่อสะสมเหตุที่ไม่ดี และสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้น ก็จะทำให้ล่วงเป็นทุจริตกรรม เป็นอกุศลกรรม ประเภทต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ตัวเองก็เดือดร้อนก่อน เพราะว่าถูกทำร้ายด้วยกิเลส และตัวเองก็จะเป็นผู้ได้รับผลที่ไม่ดีนั้น

การที่ผลของกรรมจะให้ผลนั้น ไม่ผิดตัวเลย กรรมเป็นธรรม ที่ยุติธรรมที่สุดในการให้ผล สิ่งที่ไม่ดีไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย แต่ทำไมจึงเกิดขึ้นกับบุคคลนั้นได้ ก็ต้องมีเหตุ เพราะอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วนั่นเองถึงคราวให้ผล จึงทำให้ผลที่ไม่ดีเกิดขึ้น

ธรรมเป็นเรื่องละเอียดที่ลึกซึ้ง คิดเอาเองไม่ได้ ขึ้นชื่อว่า สาวก ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม

ประโยชน์จากการฟัง คือ

- ทำให้เข้าใจสิ่งซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

- ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีอยู่เดี๋ยวนี้แล้วไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจมาก่อนก็เริ่มเข้าใจขึ้น

อะไรๆ ทั้งหมดที่ว่ามีจริง ต้องเดี๋ยวนี้ มีจิตหรือเปล่า

เดี๋ยวนี้ทันทีที่เห็น ทันทีที่ได้ยิน นั่นคือจิต

จิตเจตสิก เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน เกิดที่เดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ รู้สิ่งที่ถูกรู้อย่างเดียวกัน สิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่า อารมณ์ (บาลี คือ อารมฺมณ)

ภาษาไทย วันไหนที่เป็นทุกข์ เดือดร้อน รำคาญไม่สบายใจ ก็บอกว่าอารมณ์ไม่ดี วันไหนที่เป็นสุข ไม่เดือดร้อน สบายใจ กับบอกว่าอารมณ์ดี ใช้ผิดเพราะไม่ได้ศึกษา

อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตกำลังรู้

จิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ พร้อมกับเจตสิก รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าเป็นเสียง ทั้งจิตและเจตสิกก็กำลังรู้เสียง แยกกันไม่ได้

อารมณ์ดี คือสิ่งใดที่จิตกำลังรู้สิ่งดีๆ เหล่านั้นแหละ คืออารมณ์ของจิตที่รู้อารมณ์ดี

เมื่อไรสิ่งที่ถูกจิตรู้เป็นสิ่งที่น่าพอใจ ก็บอกว่าอารมณ์ดี เช่น เห็นดอกไม้สวยๆ ได้ยินเสียงนก เสียงดนตรีเพราะๆ ได้กลิ่นหอมๆ ถ้าสิ่งที่จิตกำลังรู้หรือถูกจิตรู้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ กลับบอกว่าอารมณ์ไม่ดี

เขานินทา เขาว่า เสียงดับไปแล้ว แต่จิตยังคิดด้วยความไม่สบายใจ เป็นเรื่องราวมากมาย, คำชม เสียงดับไปแล้ว แต่จิตก็ยังคิดด้วยความสบายใจ

เมื่อมีจิตต้องมีอารมณ์ อารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เพราะจิตเป็นสภาพรู้ ดีหรือไม่ดี อยู่ที่ตัวอารมณ์ที่จิตรู้ ถ้าเป็นสิ่งที่ดีทั้งหมด เราก็พูดคร่าวๆ ในภาษาไทยว่า วันนี้อารมณ์ดี วันนี้อารมณ์ดี หมายความว่า สิ่งที่จิตรู้ทั้งหมดดีหมดเลย ทั้งสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ แต่เราไปเข้าใจว่า จิตเรานี้สบาย แต่จิตสบายไม่เป็นทุกข์ เพราะอารมณ์ที่จิตรู้ ดี เป็นสิ่งที่น่าพอใจ

เสียงเป็นอารมณ์ของจิตได้ยิน ถ้าไม่มีเสียง จิตได้ยินจะเกิดไม่ได้ เสียงเป็นอารมณ์ของจิตเห็นไม่ได้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ของจิตเห็นได้ แต่ละทางก็แยกกันไป จิตเกิดขึ้นรู้เฉพาะอารมณ์เดียว จิต ๑ ขณะจะรู้ ๒ อารมณ์ไม่ได้ จิต ๑ ขณะก็มี ๑ อารมณ์

สีที่ปรากฏ รู้ได้ทางตา

เสียง รู้ได้ทางหู

กลิ่น รู้ได้ทางจมูก

รส รู้ได้ทางลิ้น

สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย รู้ได้ทางกาย

ใจก็รู้ทั้งหมดเลย และคิดต่อไปอีกยาว แม้ไม่เห็นก็คิดได้

จิตรู้อะไร สิ่งนั้นแหละเป็นอารมณ์ จะมีจิตโดยไม่มีอารมณ์เป็นจิตเปล่าๆ ไม่ได้ จิตต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่รู้ไม่ได้ จิตรู้อะไร สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิต

จิตกำลังเห็น ต้องมีสิ่งที่จิตเห็น เป็นสิ่งซึ่งถูกจิตเห็น สิ่งที่ถูกจิตเห็น คืออารมณ์ของจิตเห็น

เวลาที่เสียงปรากฏ ต้องมีจิตที่ได้ยินเสียง เสียงจึงปรากฏ เสียงมีหลากหลายมาก เพียงปรากฏ แล้วดับ จิตได้ยินก็ดับ เปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น โลกจริงๆ นี้จะเหลืออะไร แต่ละวันไม่มีเหลือ แต่ละขณะก็ไม่เหลือ เป็นความว่างเปล่าจากความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ภาษาบาลีใช้คำว่า ขันธ์ หมายถึง สิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่ยึดถือเหนียวแน่นมาก

มีอารมณ์ โดยไม่มีจิตไม่ได้ สีต่างๆ ข้างหลังก็มี แต่จิตไม่รู้ จะกล่าวว่าเป็นอารมณ์ของจิตไม่ได้ เพราะไม่เห็น ต่อเมื่อใด จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งใด เฉพาะสิ่งนั้นที่จิตรู้ เป็นอารมณ์ของจิต เสียงในป่าก็มี เสียงในห้องก็มี เฉพาะเสียงที่ปรากฏกับจิตที่กำลังได้ยินเท่านั้น เสียงนั้นจึงจะเป็นอารมณ์ของจิต

เห็นเป็นเห็น ไม่เป็นอะไรเลย เห็นจะเป็นญี่ปุ่น เป็นจีน เป็นไทย ไม่ได้ เห็นแค่เห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่คือธรรม คือสิ่งที่มีจริง

ศึกษาธรรม คือ ศึกษาความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร เพียงมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จิตไม่ใช่ของใคร เหมือนไฟที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

จิตเป็นสภาพรู้ เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งมีจริงๆ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ใครไปสั่งให้เกิดก็ไม่ได้ ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ได้ เป็นอนัตตา

อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง (ธรรม) แต่ละหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น โกรธเป็นโกรธ ไม่ใช่สุนัข ไม่ใช่แมว ไม่ใช่คน ไม่ใช่ใคร เป็นธาตุ หรือเป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

ทุกคนที่มีความทุกข์เพราะคิดว่ามีตัวเรา มีของเราจึงเห็นแก่ตัว ทุกอย่างเพื่อตัว แสวงหาสิ่งต่างๆ ก็เพื่อตัว แล้วเป็นของตัวจริงๆ หรือเปล่า พลัดพรากหายไปทันทีก็ได้ น้ำท่วมหรือไฟไหม้ จนหายไปหมดก็ได้ แล้วอะไรล่ะ เป็นของเรา

แม้แต่ศีรษะจรดเท้าที่เข้าใจว่าเป็นเรา แต่เมื่อไม่มีจิตเกิดที่รูปนั้น ยังเป็นเรา หรือเปล่า

ขณะนี้เป็นอนัตตา แต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอนัตตา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้เป็นอนัตตา ถ้าไม่เกิดจะปรากฏให้เห็นไม่ได้ ปรากฏให้เห็นแล้ว หมดแล้วทันที เสียงปรากฏ หมายความว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่เหลือ แล้วจิตจึงจะสามารถรู้สิ่งอื่นขณะต่อไปได้ ถ้ายังเป็นเห็น จะเป็นอื่นไม่ได้ ต้องเป็นเห็น ถ้าเป็นได้ยินก็เป็นอื่นไม่ได้ ขณะได้ยินก็เฉพาะได้ยิน นี่คือธรรมที่เป็นอนัตตา

ไม่ว่าจะเข้าใจอะไรต้องทีละหนึ่ง ถ้าเราพูดหลายๆ คำ ก็เลยสับสน อาจจะไม่เข้าใจครบถ้วน ไม่ว่าการศึกษาใดๆ ที่จะรู้จริง เข้าใจจริง ต้องทีละหนึ่ง แม้แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมากมายนับไม่ถ้วน ก็ควรที่จะเข้าใจทีละหนึ่ง

ปฏิบัติโดยไม่เข้าใจเลย ย่อมสกปรกด้วยอกุศล ด้วยความไม่รู้

คิด ก็มีทั้งคิดดี และ คิดไม่ดี ขณะที่คิดดี จะสกปรกไม่ได้ ที่สกปรกต้องเป็นคิดไม่ดี เป็นอกุศล

การไม่รู้ความจริง ก็สกปราก จะสะอาดได้อย่างไร ในเมื่อไม่ใช่ปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่จะชำระล้างความสกปรกออกไปได้

ถ้าจะเข้าใจธรรมทุกคำ ต้องตั้งต้นว่า คือ อะไร เช่น ธรรมคืออะไร คือ สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ อะไรจริง เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง คิดนึกมีจริง สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีจริง

บุคคลผู้ที่ได้ฟังธรรม ก็ย่อมมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ฟังธรรม คือ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้แน่นอน ไม่ใช่ขณะอื่น

ถ้าไม่พูดให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง แม้จะฟังเป็น ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ครั้ง ก็ไม่สามารถเข้าใจอะไรๆ ได้เลย

แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่งตามการสะสมที่หลากหลาย จนทำให้ขณะแรกที่เกิดขึ้นก็ต่างกันมากมาย เป็นปลา เป็นนก เป็นงู เป็นมนุษย์ ตามเหตุ เมื่อมีความหลากหลายอย่างนี้ การฟังธรรมของแต่ละคน ก็ต้องหลากหลายว่าได้สาระอะไรจากการฟังบ้าง

คำจริง “วาจาสัจจะ” ปฏิเสธไม่ได้ เมื่อมีความเข้าใจคำจริงมากยิ่งขึ้น ก็เป็นญาณสัจจะ ปัญญาที่รู้ว่าจริงคืออะไร เมื่อมีการรู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ก็เป็นผู้ดำเนินไปตาม มัคคสัจจะ หนทางที่จะนำไปสู่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามที่ได้ฟังทุกอย่าง

ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เช่น โกรธ เป็นธรรม เห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นธรรม ต้องมีความเชื่อมั่นในความเป็นจริงอย่างนี้

ปัญญา คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้ ให้ถูกต้องว่า คืออะไร ตั้งต้นว่า คืออะไร ถ้าไม่เป็นเช่นนี้แล้ว พูดไปทั้งวันก็จะไม่รู้อะไรเลย

ให้รู้ในพระธรรม คือ รู้ความจริงของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระองค์ทรงแสดงถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เช่น เห็นมีจริงในขณะนี้ ศึกษาเพื่อรู้ความจริงของเห็นว่า เห็น เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดเมื่อมีปัจจัยแล้วก็ดับไป นี้คือ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน

สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเกิดต้องมีปัจจัยที่เหมาะสมที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น และเมื่อเกิดแล้วก็ดับไป สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

สาวกผู้ฟัง คิดธรรมเอาเองไม่ได้ ใครคิดเองก็เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า วันหนึ่งคิดเรื่องอื่นทั้งนั้น ไม่เคยคิดเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ฟังพระธรรมก็ย่อมไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้เลย

ยังไม่รู้เลยว่า ความจริงคืออะไร แล้วก็ไม่รู้ด้วย จะไปประจักษ์แจ้งได้อย่างไร เพราะไม่ใช่เราไปรู้ แต่ต้องเป็นความเห็นถูก เข้าใจถูก

ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แล้วจะปฏิบัติอะไร ความเข้าใจต้องเป็นไปตามลำดับ ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ มั่นคงขึ้นว่า ขณะนี้เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ แตกต่างกันไป เมื่อมีความเข้าใจมั่นคงขึ้นอย่างนี้ ปฏิปัตติ มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ ถ้าไม่มีปริยัติ ไม่มีความเข้าใจแล้ว ปฏิบัติไม่ได้อย่างแน่นอน

ขณะนี้ ทั้งจิตและเจติกก็เกิดดับนับไม่ถ้วน หลากหลายด้วย ไม่รู้อะไรสักอย่าง กว่าจะไปถึงปฏิปัตติ จะต้องมีความรอบรู้ในสิ่งที่ได้ฟัง เพื่อละ ไม่ใช่เพื่อต้องการ เพื่อที่จะได้ เพื่อที่จะทำ เพราะถ้ายังต้องการที่ได้ ที่จะทำ นั้น กั้นแล้ว เพราะเป็นเราแน่อนที่กำลังอยากหรือต้องการ ไม่ได้เข้าใจเลยว่าเป็นธรรม

พระธรรมทุกคำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา คำแต่ละคำแสดงถึงพระปัญญาคุณ พราะฉะนั้น จะมีคำที่ไม่สามารถบัญญัติชื่อให้เพียงพอกับสภาพธรรมที่มีจริงในสากลจักรวาล แต่ก็มีคำที่จะทำให้เกิดความเห็นถูก คือ คำที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ที่ควรค่าแก่การศึกษา

ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกย่อมมืดเพราะไม่รู้ แม้จะเห็นสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง

ความไม่รู้ เป็นความมืดสนิท ยิ่งกว่าอย่างอื่น ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ ก็ไม่รู้ทั้งนั้น

กว่าจะรู้ได้ก็ต้องค่อยๆ เข้าใจ ทีละเล็กละน้อย ไม่ใช่ว่าสามารถจะเอาความรู้ที่สะสมอยู่ในจิตนานมากจนปิดปังความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ออกไปได้อย่างรวดเร็ว ต้องค่อยๆ รู้ เพื่อละความไม่รู้

จริงๆ แล้ว การฟังธรรมแล้วยังจะต้องไตร่ตรองอีกเยอะเลย ไม่ใช่ฟังแล้วก็ลืมไป กว่าจะได้ฟังอีก ตั้งต้นใหม่ ลืมอีก แต่ถ้าฟังแล้วไม่ลืมแล้วคิดถึงคำที่ได้ฟังก็จะทำให้เข้าใจขึ้น

พระธรรมเหมือนแสงสว่าง มาก หรือ น้อย แล้วแต่ว่าใครจะติดตามไป แค่ไหน มีแสงนิดเดียว หายไปแล้ว ไม่ฟังอีกเลย จะสว่างได้อย่างไร

เนื่องจากธรรม เป็นสิ่งที่ยาก ที่จะเข้าใจ ถ้าหากว่าได้สะสมมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อได้ฟังอีก ต่อไปอีก ก็จะเป็นการเพิ่มแสงสว่างแห่งปัญญาให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น จึงขาดการฟังไม่ได้เลยทีเดียว ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ฟัง ได้สนทนาให้เข้าใจ

ปริยัติ หมายความถึง ความรอบรู้ เป็นความรู้จริงๆ ในสิ่งที่มีจริงๆ ด้วย ไม่ใช่รอบรู้เรื่องทำอาหาร การตัดเสื้อ การสร้างบ้าน แต่เป็นการรอบรู้ ความจริงของสิ่งที่มีจริง

แม้เป็นคนที่เกิดมา พูดภาษามคธี ภาษาบาลีเป็นชีวิตประจำวัน ก็ยังต้องฟังพระธรรม เพราะว่าไม่สามารถจะเข้าใจคำที่ใช้อยู่ ว่าเป็นธรรมอย่างไร แต่จากการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ก็ทรงแสดงความจริงที่มีด้วยภาษานั้น

ต่อไปนี้ เวลาพูดถึงธรรม ก็รู้ได้เลย ว่าคือทุกอย่าง เดี๋ยวนี้ที่มีจริงๆ เป็นธรรม ต้องมีการเกิดขึ้น จึงปรากฏได้ ถ้าไม่เกิดจะปรากฏได้อย่างไร

ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นอย่างนั้น ก็เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่ได้ อยากจะให้เกิดสิ่งที่ดีๆ มีปัญญามากๆ แต่ปัญญาก็ไม่ได้เกิด เพราะ ความอยาก มีปัจจัยที่ปัญญาจะเกิด ปํญญาก็เกิด

ขณะที่ฟังนี้ ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ ทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจะตรัสถามผู้ฟัง เป็นการสอบถาม ความเข้าใจของผู้ฟังว่า ขณะนี้เห็น มีจริงหรือเปล่า มีจริงไหม เพื่อให้ผู้ฟังได้ไตร่ตรองด้วยตนเอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคงว่า นี่แหละปริยัติ นี่แหละ คือ การศึกษาพระอภิธรรม ไม่ใช่ไปศึกษาชื่อ

พระธรรมที่ทรงแสดงนี้ จะตรัสถามผู้ฟัง จักขุวิญญาณเที่ยงไหม จักขุวิญญาณ คือ เห็นเดี๋ยวนี้ เที่ยงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าคนฟังจะต้องตอบตามที่ได้ยิน แล้วจำไว้ แต่พิจารณาว่า เห็น ไม่ได้เห็นตลอดเวลา ขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่เห็น ขณะที่คิด ไม่ใช่เห็น

คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นโมฆะ มีผลตามลำดับขั้น คือ จากการฟังทีละเล็กละน้อย ความเข้าใจ ก็ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริง

ผู้ที่จะเข้าใจพระธรรมได้ จะได้สาระจากพระธรรม ก็คือว่า เป็นผู้ตรง และ มีความมั่นคงที่จะรู้ความจริง คือ สัจจะ ความจริงแท้ๆ ในขณะนี้ ด้วยการฟังอีก จนกระทั่งเข้าใจขึ้น เพื่อละความไม่รู้

ถ้าพูดเรื่องอื่น แล้วให้มีความอยากได้ แต่ไม่ให้มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ นั่นไม่ใช่พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแน่นอน.

ขอเชิญคลิกอ่านประมวลธรรม ย้อนหลังได้ที่นี่

ประมวลธรรม ... สนทนาธรรมพื้นฐานพระอภิธรรม ๒๗ พ.ค. ๒๕๕๕

ประมวลธรรม ... สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ๙ พ.ค. ๒๕๕๕

...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน...



ความคิดเห็น 1    โดย เข้าใจ  วันที่ 28 ก.ย. 2555

กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งครับ ที่มอบเครื่องปรุงแต่งที่ดีและประเสริฐสุดให้ครับ

กราบอนุโมนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย ประสาน  วันที่ 28 ก.ย. 2555

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 3    โดย เมตตา  วันที่ 29 ก.ย. 2555

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของทีมงาน-

ผู้จัดทำประมวลธรรมทุกๆ ท่านค่ะ...


ความคิดเห็น 4    โดย nong  วันที่ 1 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย natural  วันที่ 1 ต.ค. 2555

ขอขอบพระคุณ และอนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย rrebs10576  วันที่ 1 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย rosemary  วันที่ 2 ต.ค. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย jaturong  วันที่ 10 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย tawich109  วันที่ 12 ต.ค. 2555

... ขอนอบน้อมแด่ ...

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

... ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลของทีมงาน ผู้จัดทำประมวลธรรมทุกๆ ท่านด้วยครับ ...