TRUST DEED OF DHAMMA FOUNDATION สารตราจัดตั้ง มูลนิธิพระธรรม ออกที่ เมือง ลัคเนา รัฐอุตตรประเทศ อินเดีย
ตามเอกสารจัดตั้งฉบับนี้ แสดงว่า รัฐได้ออกเอกสารให้เมื่อ 21Oct 2022



การเผยแพร่พระศาสนาในประเทศอินเดีย ตามแนวทาง มศพ. โดย มูลนิธิพระธรรม Dhamma Foundation
มีข่าวการศึกษาและเผยแพร่พระธรรม อันเป็นงานของมูลนิธิพระธรรมในอินดีย Dhamma foundation คือองค์กรเอกชนประเภท TRUST ที่จัดตั้งขึ้นในประเทศอินเดีย เพื่อดำเนินการจัดกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ทั่วไปโดยไม่หวังผลกำไร
โดย ในวันที่ ๙ ม.ค. ๒๕๖๓ คุณ Akhil Sindhu (ได้ยื่นขอรับให้เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่การโอนกรรมสิทธิ์ที่สร้างและกำหนดเงื่อนไข ในกิจการของ TRUST) มีภรรยาคือ คุณ Asha Sindhu รับหน้าที่ เป็นประธาน TRUST ทั้งสองท่าน เป็นผู้ได้รับการศึกษาและเผยแพร่ธรรม จาก มศพ. มาในช่วงเวลาก่อนหน้าการ จัดตั้งTRUSTนี้

การศึกษาต่อเนื่องของสามีภรรยาทั้งสองคนนี้ มาจนปัจจุบัน ทำ ให้เขาเห็นประโยชน์ ในการเผยแพร่ธรรม ของสมเด็จ พระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดย ท่านอาจารย์ สุจินต บริหารวนเขตต์ และ มศพ. ที่ได้ทำการเผยแพร่พระธรรมมาอย่างต่อเนื่อง ให้กับชาวโลก และชาวพุทธภูมิ ในหลายรัฐฯ และ ในพื้นที่ของประเทศอินเดีย ของเขาทั้งสอง ดังตัวอย่างภาพที่มูลนิธิพระธรรม ที่ได้จัดกิจกรรมสนทนาธรรมกับทั้งรายการธรรมต่างๆ ตามสถานที่ ในประเทศอินเดียที่เคยพบผ่านมา และในครั้งล่าสุดของปีนี้ เช่นรายการ ธรรมะวิจะยา หรือ ธรรมวิจัย ที่ชุมชนชาวพุทธ “ดารีส” ที่เมือง เรบาเรลี่
เมืองนี้อยู่ในรัฐ อุตตรประเทศ ห่าง จากลัคเนาว์ 230 กม. ไป ทางตะวันออกเฉียงใต้ โ ดยประมาณ 4 ชม ด้วยรถยนต์ตามถนนหลวงของอินเดีย อันเป็นเมืองฐานเสียงพรรคคองเกรส โดยจัดให้มีการสนทนาเดือนละครั้ง อันได้ส่งมาแสดงนี้
มีชนชาวพุทธ“ดารีส” ที่ได้รับความเข้าใจในความจริงจากคำสอนของพระศาสดา ที่เห็นได้ว่ามีความสนใจร่วมสนทนาสอบถามเพิ่มขึ้น ทั้งเกิดความ ยินดีที่ได้ขยายผล ต่อให้ หมู่สมาคม และชาวอินเดีย ซึ่งสนใจในสถานที่ต่างๆ ของประเทศ เท่าที่สามารถทำได้ ในการเผยแพร่ นี้เป็นผลสำเร็จในงานระดับหนึ่ง ที่สมควรนำมาแสดงให้ชาวบ้านธัมมะ มศพ. ได้รับทราบ เพื่ออนุโมทนาถึง ประสิทธิผลในความสำเร็จ ของการเผยแพร่พระธรรมในประเทศอินดีย ส่วนหนึ่งต่อมาด้วย
ภาพชุดหลังที่สนทนากัน ตามภาพซึ่ง AkhilและAsha จัดครั้งที่ 5 คือเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นี้ ตั้งแต่เวลา 10:00-15:00 ที่นำมาแสดงคราวนี้ คือ การบรรยายธรรม ถึงการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก ความสำคัญซึ่งท่านพระ เถระได้แก่ ท่านพระอานนท์ ท่านพระอุบาลี และท่านพระมหากัสสัปปะ ได้กระทำไว้ในสมัยพุทธกาล









หนังสือ เชิญร่วมออกอากาศงานฉลองครบวาระก่อตั้งวิทยุชุมชนคลื่น ๙๐.๔ FM เมืองครั้งที่ ๓ เพื่อส่งเสริมการศึกา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม สุขภาพ อำนวยการเฝ้าระวัง และสันทนาการ ของเมืองเรบาเรลี่ ปี๒๐๒๕นี้

พยานของผล จากการเผยแพร่พระศาสนาของท่านอาจารย์ที่อินเดีย อีกผู้หนึ่ง จากเมือง เชนไน ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศอินเดีย ที่กำลังให้น้ำหนักความสนใจในคำสอนแรงอยู่ คือ คุณ ประกาซ ผู้นี้หวังว่าจะเป็นผู้เผยแพร่ ได้อีกท่านหนึ่งต่อไป



นี้คือ เทปรายการบ้านธัมมะ เรื่อง ที่พึ่งที่แท้จริงคืออะไร แนะนำโดยอาจารย์ คำปั่น อักษรวิไล สำหรับออกอากาศเสาร์ อาทิตย์ นี้ เพื่อการเกื้อกูลต่อการเจริญขึ้นของปัญญาครับ "ที่พึ่งที่แท้จริงคืออะไร ตอนที๔" ”หูได้ยินหรือ ... ไม่เห็นหูหรือเปล่า” หูนี่ได้ยิน คิดกันอย่างนั้นเพราะยังไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธฯ
หูอย่างหนึ่ง ได้ยินอย่างหนึ่ง เสียงอย่างหนึ่ง”ธรรมะสามอย่าง” ตอนหลับสนิทมีหูมั้ย ถ้าหูได้ยินก็ไม่ต้องหลับต้องนอนซิ เข้าใจในความจริงของแต่ละธัมมะ จริงของเสียง จริงของหู จริงของได้ยิน ... หูได้ยินได้มั้ย..ได้ยินเกิดโดยไม่มีหูได้มั้ย?.. เห็นหูมั้ย..ตอบครั้งแรก เห็นหู ... ตอบครั้งที่สองไม่เห็นหู ... ที่ตอบครั้งที่สามว่าเห็นหู ... นั้นเห็นหูคนอื่น ... แล้วถ้าส่องกระจกทีซิว่านั่นเห็นหูใคร ... ความลึกซึ้งของธรรมนั้นลึกซึ้งกว่านี้อีกมาก.. ตอบว่าตอนนี้เห็นอาจารย์..รูปร่างหูเห็นได้ ... แต่ลักษณะหูเป็นรูปประสาทอื่นที่พิเศษเรียกว่า “โสตประสาท” ที่สามารถรับกระทบรับรู้เสียงได้เท่านั้น ... ธรรมหลากหลายมาก แต่ละอย่างละขณะที่เกิด ไม่มีอย่างเดียวเหมือนกันเลย แต่ละวันคนจะปล่อยผ่านสิ่งที่ละเลยสนใจแต่สิ่งที่ปกติธรรมดา เพราะเหตุและปัจจัย
สมบัติที่เอื้อต่อกรรมดี สมบัติสี่ คติสมบัติ อุปธิสมบัติ กาลสมบัติ ปโยคสมบัติที่มี และไม่เคยจะเดือดร้อน เพราะยังไม่มีเหตุปัจจัยของวิบัติ จึงไม่สนใจ ทางตา รูป สี วรรณรูป กระทบทางเห็นอะไรใช่ เป็นโต๊ะเก้าอี้อัตตาทั้งนั้น ไม่ปรากฏด้วยดี ที่มีขณะแยกย่อยเล็กหลายขณะแล้วล้วนไม่เป็นสิ่งใด อะไรเลย อนัตตาทั้งหมดคนจึงเผินไปตลอดเพราะไม่เคยได้ยินคำจริงของธรรม เห็นจริงๆ เห็นอะไรเดี๋ยวนี้ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ใหน เริ่มฟังธรรมมะที่พึ่งได้จริงๆ รู้ความจริงแล้วทำมัยจะเป็นอริยสัจจะธรรมสิ่งที่มีชั่วคราวแสนสั้น ธรรมสองอย่างมีสองอย่างที่ต่างกัน เห็นเพราะมีสิ่งที่เห็นเกิดขึ้นกระทบจักขุประสาท ให้เห็นได้ ชั่วขณะสั้นๆ จึงมีการเห็น ถ้าไม่มีตาจึงไม่มีสิ่งที่ปรากฎให้เห็น เช่นคนตาบอดเพราะไม่มีตา แล้วรูปตาเป็นตาหรือ? ตาเป็นประสาทรับกระทบสิ่งที่ถูกเห็น แต่ถ้าตาไม่มีสิ่งที่จะมากระทบตาก็มากระทบตาไม่
พระองค์ตรัสรู้ถึงความจริงสูงที่สุด เห็นมี สิ่งที่ถูกเห็นมีทั้งสองอย่างต่างกันหรือไม่ เห็นเกิดแล้วดับ ฉะนั้นเห็นจะเป็นใครอย่างใดไม่ได้ เป็นนกก็ไม่ได้ เป็นนก เห็นคนก็ไม่ได้ คนเห็นนกก็ไม่ได้ เห็นเท่านั้น จึงเป็นแค่เห็นชั่วขณะเล็กที่เห็น นี่คือธรรม ที่จะต้องเข้าใจขึ้นๆ โลกคือการเกิดแล้วดับ โลกทางหู โลกทางตาแต่ละโลก ไม่เหมือนกันสิ้นเชิง ทางจมูก ลิ้น กาย ใจ ฟังเพื่อรู้ความจริง สิ่งใดมีปัจจัยเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา คำว่าดับหมายความว่าไม่กลับมาเกิดอีกเลย โลกให้รู้จัก ถ้ารู้จริงเข้าใจจริงๆ สามารถที่จะพ้นจากโลกได้ กำลังอยู่ในโลก แต่ รู้จักโลกหรือยัง ทุกอย่างที่อยู่นี้ดูเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่คนเห็นเป็นอัตตาทั้งหมดแต่พระอง๕ชค์ตรัสว่าตรงกันข้าม เป็นอนัตตา มีโลกอื่นอีกหรือไม่ นอกจาก โลก๕โลก ตาหูจมูกลิ้นกาย ๕โลกนี้
มีอีกโลกคือดวงจิต ผู้ฟังว่า แต่วิทยากรกล่าวว่า โลกทางตาก็มีจิต โลกทางหูก็มีจิตมีอีกโลกที่ตอบว่ามี โลกอะไรที่มีมากเลยวิทยากรถามเสริม ผู้ตอบ “ว่าโลกทางใจ” แต่ไม่ใช่หมายแความว่าโรคภัยทางใจไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องคิด ที่เกิดต่อเนื่องจากทางไหน แต่ต้องเข้าใจว่าเป็นธรรม ผู้ฟังตอบว่า จิตเป็นธรรมหรือไม่ เกิดคิดตามเห็นรูปร่าง แล้วคิดต่อ ขณะนี้เป็น รูปร่างรูปทรงเป็นโลกทางใหน ถ้าไม่รู้สิ่งที่มีจริงไม่มีที่พึ่ง โลกทางทั้ง๕ โลกหู เห็นเสียงได้หรือไม่ เห็นต่างกันได้แต่ละทาง ที่ว่าจับไมโครโฟน เห็นไมโครโฟน เห็นประโยชน์จากการรู้ความจริงที่จะเป็นที่พึ่งได้แน่จึงทราบว่าการตรัสรู้ความจริงเป็นผู้รู้แจ้งโลกจริง คือโลกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นและทางใจ เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เกิด มีโลกเหล่านี้ปรากฏแต่ว่าไม่รู้ความเป็นจริงเลย จึงรู้ได้ว่าประโยชน์ จะมีที่พึ่งได้ต้องรู้ความจริงที่มีเดี๋ยวนี้ แต่เพราะไม่รู้จึงเดือดร้อน เมื่อมีความยึดถือว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ว่าเป็นเรา