ความรู้ค่อยๆ มีจากการฟังเข้าใจ
โดย เมตตา  3 ต.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 51073

[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 692

๑๐. ขันธสูตร

ว่าด้วยเบญจขันธ์ไม่เที่ยง

[๖๓๑] พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถามว่า ดูก่อน ราหุล เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง.

ท่านพระ ราหุล กราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.

รา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรละหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา.

รา. ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.


[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 297

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว ทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า "โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ย่อมปรากฏ ดุจรูปอันสมควร, คนพาลมีอุปธิกิเลสเป็นเครื่อง ผูกไว้ ถูกความมืดแวดล้อมแล้ว จึงปรากฏดุจมี ความเที่ยง, ความกังวลย่อ มไม่มีแก่ผู้เห็นอยู่ "

ก็แลครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมว่า " ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเที่ยวไปในวัฏฏะ เป็นผู้ไม่ประมาทตลอดกาลเป็นนิตย์ กระทำบุญกรรมก็มี, เป็นผู้มีความประม าท กระทำบาปกรรมก็มี เหตุนั้น สัตว์ผู้เที่ยวไปในวัฏฏะ จึงเสวยสุขบ้างทุกข์บ้าง"


อ.วิชัย: ฟังการสนทนาธรรมเมื่อสักครู่นี้ก็เห็นถึงความสำคัญของการที่จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม เพราะว่า ความไม่รู้ที่ปกปิดความเป็นจริง ก็นานแสนนาน ความรู้ที่จะค่อยๆ เกิดขึ้นเข้าใจในสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ก็ยาก เพราะเหตุว่า การฟังธรรมะโดยมากก็จะคิดถึงเรื่องราว คิดถึงคำ แต่ไม่ได้มีความเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมครับ การที่จะ อย่างข้อความใน ขันธสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสกับท่านพระราหุลว่า ดูก่อน ราหุล เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง.

ท่านพระ ราหุล กราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.

รา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรละหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา.

รา. ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.

ท่านอาจารย์ครับ อย่างการอ่านข้อความในพระสูตร ก็ดูเหมือนกับจริงทุกคำครับ อย่างรูป ตามความเข้าใจตามที่ได้ยินได้ฟังก็รู้ว่า รูปไม่เที่ยง เพราะมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การที่จะศึกษาพระธรรมแล้วมีความเข้าใจขึ้นๆ ในความเป็นธรรมะที่จะค่อยๆ รู้ตามอย่างท่านพระราหุลกราบทูลต่อพระผู้มีพระภาคเจ้านี้อย่างไรครับ ที่จะเป็นความมั่นคงจริงๆ ในความเป็นจริงของธรรมะครับ

ท่านอาจารย์: ท่านพระราหุลรู้ไหมว่า รูปคืออะไร?

อ.วิชัย: รู้แน่นอนครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น รูปคืออะไร?

อ.วิชัย: รูปเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นโดยที่ไม่ใช่สภาพรู้ครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีไหม?

อ.วิชัย: เดี๋ยวนี้มีครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้รูปอะไร?

อ.วิชัย: อย่างแข็งที่ปรากฏทางกายครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แข็งเป็นรูป

อ.วิชัย: ครับ

ท่านอาจารย์: แข็งเกิดไหม?

อ.วิชัย: เกิดครับ

ท่านอาจารย์: แข็งดับไหม?

อ.วิชัย: ดับตามการศึกษา แต่ตอนนี้ไม่ดับครับ

ท่านอาจารย์: ไม่ใช่ค่ะ ฟังแล้วก็ต้องเข้าใจ ไม่ใช่ตามที่เขาว่าแต่ไม่เข้าใจ

อ.วิชัย: ครับ

ท่านอาจารย์: ทุกคำต้องเข้าใจ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เพราะต้องมีปัจจัยทำให้เกิดจึงเกิด เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับ

เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งเวลานี้ต้องเกิด ไม่เกิดไม่มี และทันทีที่เกิดแล้วดับ จริงไหม เอาแค่เหตุผลก่อน

อ.วิชัย: จริงครับ

ท่านอาจารย์: แต่ปนกันหมดเลย เวลานี้เกิดดับสืบต่อเร็วจนปรากฏเป็นนิมิตของแต่ละหนึ่งใช่ไหม? อย่างแข็งที่กระทบที่ปรากฏ นี่ก็กี่แข็ง กว่าจะกระทบกับกายปสาทะที่ละเอียดมาก

อ.วิชัย: ประมาณไม่ได้ มากมายครับ

ท่านอาจารย์: ประมาณไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นแข็ง ไม่ใช่เป็นนิ้ว ไม่ใช่เป็นโต๊ะ ไม่ใช่เป็นเก้าอี้ แข็งปรากฏหรือยัง?

อ.วิชัย: แข็งยังไม่ปรากฏครับ

ท่านอาจารย์: ทั้งๆ ที่มีแข็งทุกวัน ทำไมไม่ปรากฏ? เห็นไหม ปรากฏกับอะไร? อะไรเกิดขึ้นสิ่งนั้นจึงปรากฏ? และแม้แต่คำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงใช่ไหม เป็นทุกข์

อ.วิชัย: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: แข็งไม่มี แล้วก็มี แล้วก็ดับ น่าพอใจไหม?

อ.วิชัย: ไม่น่าพอใจครับ เพราะเพียงเกิดแล้วดับ

ท่านอาจารย์: เริ่มรู้ความหมายของคำว่า ทุกขะ ใช่ไหม เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่น่ายินดี ไม่น่าปรารถนา แต่ไม่รู้จึงปรารถนา ถูกต้องไหม?

อ.วิชัย: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระราหุล ซ้ำอีกทีก็ได้ว่า คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยไม่รู้อะไรเลย แม้แต่ว่า ไม่น่าพอใจเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะไม่น่าพอใจ

นิดหน่อยก็ไม่ชอบแล้ว และก็ถ้ามากๆ จะเป็นอย่างไร และก็เห็นเดี๋ยวนี้ และก็สิ่งที่ปรากฏว่าแข็งเดี๋ยวนี้เพียงแค่ปรากฏ ดับแล้ว จริงหรือเปล่า? น่าพอใจไหม? เป็นทุกข์ไหม?

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระราหุล ไม่ใช่ให้ท่านพระราหุลประจักษ์แจ้งทันที แต่เตือนแล้วว่า อะไรเป็นทุกข์ ทั้ง ๕ ขันธ์

ไม่ใช่แค่ฟังแล้วเป็นทุกข์ แต่ละหนึ่งยังไม่ปรากฏว่า ก่อนเกิดไม่มี เกิดแล้วจึงมี แล้วก็ดับไป

เพราะฉะนั้น เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ก็ต้องไม่เปลี่ยนแปลงความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แหละ ความไม่รู้ไม่สามารถประจักษ์แจ้งความเกิดดับได้ จนกว่าความรู้ค่อยๆ มีจากการฟังเข้าใจ รู้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมไม่ได้ปรากฏตามความเป็ นจริงเลย จะปรากฏตามความเป็นจริงได้อย่างไร ไม่ใช่ไม่มีธรรม แต่ทำกันใหญ่เลย ทำให้ปรากฏอย่างนั้นหรือ?!!

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่ ..

ผู้ปราศจากความปรารถนา [วิคติจฉชาดก]

เป็นเราเพราะความไม่รู้

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 3 ต.ค. 2568

แต่ละหนึ่งยังไม่ปรากฏว่า ก่อนเกิดไม่มี เกิดแล้วจึงมี แล้วก็ดับไป

เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ก็ต้องไม่เปลี่ยนแปลงความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ความไม่รู้ไม่สามารถประจักษ์แจ้งความเกิดดับได้ จนกว่าความรู้ค่อยๆ มีจากการฟังเข้าใจ รู้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเลย จะปรากฏตามความเป็นจริงได้อย่างไร ไม่ใช่ไม่มีธรรม แต่ทำกันใหญ่เลย ทำให้ปรากฏอย่างนั้นหรือ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ