สิ่งที่ปรากฏทางตา?
โดย พุทธรักษา  21 ธ.ค. 2552
หัวข้อหมายเลข 14811

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถาม หมายความว่า ลักษณะของ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" นั้น ไม่เฉพาะสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ในขณะที่ลักษณะนั้น กำลังปรากฏทางตา แล้วสติ ระลึกรู้ ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตานั้น ขณะนั้นอาตมาขอทราบชัดๆ ว่าเป็นการระลึกรู้ "รูป" ซึ่งเป็นลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาใช่มั้ย.? อาตมาสงสัยตรงนี้น่ะโยม

ตอบ ขณะที่เริ่มพิจารณา รู้ว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่วัตถุสิ่งใดๆ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏได้ทางตา ในขณะนั้น เป็นการน้อมระลึกรู้ "ลักษณะของสภาพธรรม" ที่ปรากฏทางตาตามปกติ ตามความเป็นจริง เจ้าค่ะ. จนกว่า "ลักษณะ" ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนจะปรากฏจริงๆ ว่า ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีวัตถุสิ่งใดๆ เลย ใน สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา

ถาม เจริญพรคุณโยม ... เป็นสิ่งที่เข้าใจยากมากฯ

ตอบ เพราะเหตุว่า ถ้าสภาพธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตาต้องเป็นอนัตตาจริงๆ เจ้าค่ะจะเป็นอนัตตาเพียงตัวหนังสือ หรือว่า จะเป็นอนัตตาแต่เพียงชื่อ ไม่ได้ เมื่อสภาพธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตาต้องหมายความว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นแต่เพียง "ลักษณะของสภาพธรรม" แต่ละชนิด แต่ละอย่าง ซึ่งกำลังปรากฏ แต่ละทาง

สำหรับ สิ่งที่ปรากฏทางตา ... ต้องทราบจริงๆ ว่าเมื่อเห็นแล้ว มีการนึกถึงรูปร่างสัณฐาน แน่นอน จึงปรากฏเป็นวัตถุ เป็นคน หรือเป็นสิ่งต่างๆ ถ้าเพียงเห็น แล้วไม่นึกถึงรูปร่างสัณฐาน ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

ลองดู เพียงชั่วขณะที่หลับตา แล้วลืมตาทันทีชั่วขณะเดียวที่ลืมตาแล้วหลับไปนี้น่ะค่ะ จะบอกได้มั้ยคะว่าเห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏทาตา ... แต่ว่าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรถ้าไม่นึกถึง รูปร่างสัณฐาน เพราะฉะนั้นในการเห็น ทางตา นั้น ... หมายความว่าหลังจากที่วิถีจิตเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา และดับไปหมดแล้ว ภวังคจิต ก็เกิดขั้น อย่างรวดเร็ว และ มโนทวารวิถี ก็เกิดต่อทันที ไม่มีใครสามารถที่จะไประงับ-ยับยั้งการเกิดต่อของมโนทวารวิถีได้.! นี้เป็นเหตุที่ทำให้ ดูเสมือน ว่า เห็นคนกำลังนั่ง กำลังยืน กำลังนอน กำลังเดินหรือว่า เห็นวัตถุสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ ถ้าเพียงแต่ทางมโนทวารวิถีจิต ไม่นึกถึงรูปร่างสัณฐานจะไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีวัตถุสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น

บางครั้งท่านผู้ฟังเห็น ... แต่เห็นไม่ชัด ใช่มั้ยคะ? เห็น แต่ ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร ... เคยมีมั้ย อย่างนี้แสดงว่า ทางมโนทวารนั้น ไม่ได้นึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งนั้นจึงไม่รู้ว่า สิ่งนั้น คืออะไรหรือบางที ก็เห็นรูปร่างสัณฐาน แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร จนกว่าจะสัมผัส กระทบ หรือว่าหยิบขึ้นมาพิจารณาดูจึงจะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ตามความเป็นจริงนั้นทางตาเพียงเห็น ... ทางตา จะให้รู้ไม่ได้ ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเห็นแล้ว ... บางอย่างก็ยังต้องสัมผัส ยังต้องหยิบขึ้นมาพิจารณาดูจนกว่าจะแน่ใจ ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

ในขณะที่พิจารณาถึงรูปร่างสัณฐาน ส่วนละเอียดนั้นในขณะนั้น ไม่ใช่จิตเห็นทางตา.! เพราะฉะนั้นทางตา เพียงเห็นแล้วก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้ว่า ปัญญาที่จะต้องอบรมเจริญจนกว่าจะประจักษ์แจ้งในความเป็นอนัตตา ของสภาพธรรมทั้งหลายต้องไม่เว้น ทางตา ก็ต้องปรากฏสภาพความเป็นอนัตตาทางหู ก็ต้องปรากฏสภาพความเป็นอนัตตาทางจมูก ก็ต้องปรากฏสภาพความเป็นอนัตตาทางลิ้น ก็ต้องปรากฏสภาพความเป็นอนัตตาทางกาย และ ทางใจ ก็ต้องปรากฏ สภาพความเป็นอนัตตา

เพราะฉะนั้น ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมไม่ใช่ว่า ปัญญาจะสามารถประจักษ์แจ้ง โดยที่ไม่อบรมเจริญสติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรม ในขณะนี้ ไม่มีอะไรเลย นอกจากนามธรรมและรูปธรรม.!เพราะฉะนั้น การที่ปัญญา จะรู้ลักษณะของนามธรรมจริงๆ ก็เพราะสติระลึกได้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมใด เป็นนามธรรมที่กำลังปรากฏ สภาพธรรมะใดเป็นรูปธรรมที่กำลังปรากฏ นี่คือการอบรมเจริญปัญญา. ถ้าในขณะนี้ ยังไม่รู้ว่าสภาพธรมใดเป็นนามธรรม และ รูปธรรมการที่ปัญญาจะประจักษ์แจ้ง ว่าสภาพธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

ในขณะนี้ สภาพรู้ทางตา ... คือ ขณะที่กำลังเห็นนี้นะคะที่จะรู้ "ลักษณะของนามธรรมทางตา" ที่กำลังเห็นสภาพรู้ ... ซึ่งรู้ "สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา" ระลึกหรือยัง.? ถ้ายังไม่ระลึก ... เพราะว่าระลึกยาก แต่ก็รู้ ว่า ขณะนี้ เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ซึ่ง "ปัญญา" จะต้องอบรม จนกว่าจะรู้ถ้าไม่รู้ ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เพราะว่า ทางตา ยังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ คือ ยังไม่ประจักษ์ ความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ใช่ อนัตตา ... ก็ต้องเป็นตัวตน คือ เป็นอัตตาเมื่อยังเป็นอัตตาอยู่ ... ก็ดับกิเลสไม่ได้.!ข้อความบางตอนจากเทปชุด ปัฏฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ ๗

โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนา ...



ความคิดเห็น 1    โดย วิริยะ  วันที่ 21 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย hadezz  วันที่ 21 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย เมตตา  วันที่ 21 ธ.ค. 2552

พระธรรมละเอียด ลึกซึ้ง ... ต้องค่อยๆ อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของ นามธรรม และรูปธรรมแต่ละทาง หนทางยังอีกยาวไกล แต่หนทางถูก อดทน สักวันหนึ่งย่อมรู้ได้ ประจักษ์แจ้งในความจริงได้

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย Yongyod  วันที่ 21 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย aiatien  วันที่ 21 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย booms  วันที่ 21 ธ.ค. 2552

"สิ่งที่ปรากฏทางตา" ... เป็นประเด็นที่คนโดยมาก ไม่ค่อยเข้าใจ ซึ่งโดยส่วนตัว ก็ยอมรับว่า ใม่ใช่สิ่งที่จะ เกิดได้บ่อย ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดได้ง่าย ในการ เจริญสติปัฏฐาน ให้ สติ เกิดระลึกรู้ สภาพธรรม ของสิ่งที่ปรากฏทางตา

ดิฉันมีข้อ สงสัย ขอความกรุณาท่านผู้รู้ ช่วยชี้แจง ตรวจสอบความเข้าใจของดิฉัน ด้วยดังนี้ค่ะ

ขณะเห็นสิ่งที่กำลัง ปรากฏทางตา แล้วสติเกิดระลึกรู้เฉพาะ "สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น" โดยที่ยังไม่แปล ความหมาย ของสิ่งที่ปรากฏทางตา ยังไม่แปลความหมาย ว่าเป็นสัตว์ บุคคล สิงใดๆ เลย ซึ่งเป็นชั่วขณะที่สั้นมากๆ (คงแค่แว๊บเดียวแบบเร็วๆ) กรณีนี้ จะถือว่าขณะที่แว๊บเดียวนั้น เป็น ขณิกสมาธิ ได้ไหม จะถือว่าเป็น สัมมาสมาธิ ชั่วสั้นๆ ได้ไหม และ การไม่แปล ความหมาย ของสิ่งที่ กำลังปรากฏทางตานั้น จะถือว่าในขณะนั้นๆ เป็นการยับยั้งสัมปยุตธรรมต่างๆ ไม่ให้ล่วงลงสู่มโนทวารวิถี ในขณะวาระถัดๆ มา (อันจะทำให้คิดเห็นเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนได้) ใช่หรือไม่คะ ซึ่งดิฉันทราบดีว่า ปุถุชนผู้ที่ยังมิได้บรรลุธรรม จะยับยั้งอารมณ์ทางมโนทวาร ที่รับต่อ จากทางปัญจทวารในขณะแรกๆ ไม่ได้ อารมณ์ทางมโนทวาร จะต้องล่วงเลย มาหลายๆ วาระ หลายๆ ขณะจิตมาก สติ ในผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน อยู่เนืองๆ จึงจะเกิดขึ้นระลึกรู้ ... ในสภาพปรมัตถธรรม ของสิ่งที่กำลังปรากฏได้


ความคิดเห็น 7    โดย prachern.s  วันที่ 22 ธ.ค. 2552

เรียน ความเห็นที่ 6

ถูกต้องครับ ขณะที่สติระลึกรู้ สมาธิเป็นขณิกสมาธิ เป็นสัมมาสติ ไม่ใช่การยับยั้ง แต่เป็นความรู้ ความเข้าใจ หลังจากนั้นมโนทวารวิถีก็เกิด ตามปกติ เหมือนวิถีทั่วๆ ไป แต่ความเข้าใจสภาพธรรมเพิ่มขึ้น ทุกอย่างปกติครับ


ความคิดเห็น 8    โดย booms  วันที่ 22 ธ.ค. 2552

คำชี้แจงของท่านผู้รู้ เป็นสิ่งยืนยัน ใน ความถูกต้อง ของความเข้าใจ สภาพธรรม ของดิฉัน ทำให้ดิฉันมีความ มั่นใจ และ รู้คุณค่า ของการ อบรมเจริญปัญญายิ่งๆ ขึ้นไป โดยเฉพาะ ความรู้ ความเข้าใจ ในขั้น สัจจญาณ ซึ่งดิฉันมีความตั้งใจ จะต้อง ศึกษา สะสมให้มากๆ ในชาตินี้ ก่อนที่ ขันธ์ ๕ นี้จะล่วงลับ ดับไป

ขอขอบพระคุณ ... ท่านผู้รู้ อย่างมากค่ะ

สาธุ ...


ความคิดเห็น 9    โดย orawan.c  วันที่ 22 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย Sam  วันที่ 23 ธ.ค. 2552

ขออนุญาตร่วมสนทนานะครับ ผมเข้าใจว่าธรรมทั้งหลายเป็นอย่างไรก็เป็น อย่างนั้น ไม่มีใครเปลี่ยนสภาพธรรมซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัยได้ (แม้แต่พระผู้มีพระ ภาค) ดังนั้น การศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรม คือ การศึกษาในสิ่งที่มีลักษณะเหมือน เดิมอยู่แล้วเป็นปกติ ด้วยความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งความรู้นี้จะเกิดขึ้นและเพิ่มขึ้นได้ก็ ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างละเอียด เพราะเราไม่ได้สะสมความสามารถมา เพียงพอที่จะคิดเอง เดาเอง หรือตรัสรู้เองเหมือนพระศาสดา ครับ


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย Wiyada  วันที่ 7 ธ.ค. 2566

ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นสภาพธรรมที่เล็กน้อยมากเพียงปรากฏกระทบจักขุปสาทแล้วดับไป ทุกอย่างที่ปรากฏก็เสมอกันเช่นนี้ ไม่ว่าจะเห็นเป็นรูปร่างสัณฐาณอย่างใดๆ ก็ตาม ก็เป็นเพราะไม่มีใครยับยั้งสภาพธรรมต่างๆ ให้เกิดอย่างนั้นได้ แต่เมื่อเข้าใจจริงๆ ถึงทุกคำที่ได้ฟังทั้งเรื่องวิถีจิตและเรื่องนามธรรม รูปธรรมต่างๆ จึงค่อยๆ พิจารณาและค่อยๆ ละคลายความคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้จริงๆ ค่อยๆ ฟังค่อยๆ อบรมเจริญปัญญา พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ ความเข้าใจก็จะมีมากขึ้น

ธรรมมีอยู่ตลอดเวลาหากสติเกิดพิจารณาก็เพิ่มความเข้าใจขึ้นได้ค่ะ แต่หากหลงลืมสติก็เพลิดเพลินไปเป็นธรรมดา สิ่งสำคัญคือไม่ขาดการฟังค่ะ สติเกิดแล้วก็ดับไป ความเข้าใจเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ธรรมใหม่เสมอทุกขณะจึงต้องเริ่มต้นพิจารณาใหม่ทุกครั้งเช่นกันค่ะ