อิทธิบาท 4
โดย nano16233  28 ส.ค. 2562
หัวข้อหมายเลข 31136

อิธิบาท 4 มีความเป็นมาอย่างไร ใครเป็นผู้แสดงอิทธิบาท 4 แสดงแก่ใครบ้าง ผลเป็นอย่างไร



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 29 ส.ค. 2562

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ (ฉันทเจตสิก ที่เป็นไปในกุศล ที่ประกอบด้วยปัญญา) วิริยะ (วิริยเจตสิก ความเพียรที่เป็นไปในกุศล ที่ประกอบด้วยปัญญา) จิตตะ (จิตที่มีกำลัง ที่ประกอบด้วยปัญญา) และ วิมังสา (ปัญญาเจตสิก ที่รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริง)

ทั้ง ๔ ประการนี้ ต้องเป็นกุศล ที่เป็นขั้น สมถภาวนา ที่เป็นฌานขั้นต่างๆ และในขั้นวิปัสสนาภาวนาครับ

พระพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงกับผุ้อบรมสะสมปัญญามา มีพระสาวก เป็นต้น และ ผลคือ สำเร็จซึ่งกุศลมีฌานและวิปัสสนา ครับ

ความเพียรซึ่งเป็น สัมมัปปธาน ๔ นั้น ย่อมเป็นบาทให้สำเร็จผลร่วมกับสัมปยุตตธรรมทั้งหลายที่เกิดร่วมกับสภาพธรรมที่เป็น อิทธิบาท ๔ คือ ..

๑. ฉันทิทธิบาท ได้แก่ ฉันทเจตสิก ความพอใจที่จะสังเกตพิจารณา รู้ลักษณะ ของสภาพนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ๑ การยัง ผลสำเร็จให้เกิดขึ้นโดยอาศัยความพอใจนั้น พึงเห็นเช่นกันกับบุตรอำมาตย์ ผู้ไม่ประมาทในการบำรุงพระราชา จึงได้ฐานันดรโดยอาศัยการบำรุงนั้น

๒. วิริยิทธิบาท ได้แก่ วิริยเจตสิก ความเพียรที่จะสังเกต พิจารณา รู้ลักษณะ ของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ๑ การยังผลสำเร็จให้เกิดขึ้นโดย อาศัยความเพียรนั้นพึงเห็นเช่นกับบุตรอำมาตย์ ผู้ยังพระราชาให้พอพระทัย โดยความเป็นผู้กล้าหาญในการงาน แล้วได้ฐานันดร

๓. จิตติทธิบาท ได้แก่ จิต ๒ การยังผลสำเร็จให้เกิดขึ้นโดยอาศัยจิตนั้น พึง เห็นเช่นกันกับบุตรอำมาตย์ผู้ได้ฐานันดรเพราะความถึงด้วยดีแห่งชาติ

๔. วิมังสิทธิบาท ได้แก่ ปัญญาเจตสิกที่ไตร่ตรอง สังเกต พิจารณาลักษณะ ของสภาพธรรม ๓ การยังผลสำเร็จให้เกิดขึ้นโดยอาศัยปัญญานั้น พึงเห็น เช่นกับบุตรอำมาตย์ผู้ได้ฐานันดรเพราะอาศัยความรู้ บุตรอำมาตย์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด ถึงแล้วซึ่งฐานันดรโดยกำลังแห่งภาวะอันเป็นที่อาศัย (โดยความสามารถ) ของตนๆ

อิทธิบาทเป็นเรื่องของปัญญาระดับสูง ดังนั้นจะต้องรู้ว่าจะอบรมอิทธิบาทด้วยจุดประสงค์ใดการจะถึงปัญญาระดับสูงได้ก็ต้องมีปัญญาเบื้องต้นก่อน หากไม่มีปัญญาเบื้องต้นแล้วก็ไม่สามารถถึงความเป็นอิทธิบาทได้ พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของปัญญา ซึ่งปัญญาเบื้องต้นจะต้องเข้าใจว่าธรรมคืออะไร หากไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไรแล้ว อิทธิบาทคือความสำเร็จที่จะทำให้ถึงการบรรลุธรรมก็มีไม่ได้ เมื่อเริ่มเข้าใจธรรมคืออะไร และมีการอบรมปัญญาขั้นการฟังจนปัญญาสามารถเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ที่เป็นสติปัฏฐาน ขณะนั้นก็มีฉันทะ มีวิริยะ มีจิตตะ มีวิมังสาที่เป็นปัญญาในขณะนั้นแล้ว ไม่ต้องไปพยายามทำอิทธิบาทแต่อบรมเหตุคือการฟังธรรมให้เข้าใจโดยเริ่มจากคำว่าธรรมคืออะไร เมื่อนั้นก็จะถึงความเป็นอิทธิบาทเองครับ

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 29 ส.ค. 2562

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด และที่สำคัญไม่ใช่เป็นเรื่องทำหรือเป็นเรื่องใช้ แต่ควรศึกษาให้เข้าใจจริงๆ แม้แต่ธรรมในหมวดของอิทธิบาท ๔ ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริง อิทธิบาท ๔ ได้แก่ ฉันทะ สภาพธรรมที่พอใจเป็นไปในกุศลธรรม, วิริยะ ความเพียรเป็นไปในกุศลธรรม เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา, จิตตะ ซึ่งเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา และ วิมังสา คือ ปัญญาที่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง อิทธิบาททั้ง ๔ ประการ เป็นบาทหรือเป็นเครื่องให้ถึงซึ่งความสำเร็จ ความสำเร็จในที่นี้หมายถึง สำเร็จเป็นฌานขั้นต่างๆ ถ้าเป็นไปในการอบรมเจริญสมถภาวนาสามารถข่มกิเลสได้ แต่ไม่สามารถดับได้ และเป็นไปเพื่อได้ฤทธิ์ต่างๆ แต่ถ้าเป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา ก็สามารถทำให้บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์ เพราะอิทธิบาททั้ง ๔ ประการนั้น เป็นฝักฝ่ายในการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นธรรมขั้นสูงที่จะต้องเริ่มสะสมอบรมตั้งแต่เบื้องต้นด้วยการสะสมปัญญาจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในชีวิตประจำวัน ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย nano16233  วันที่ 29 ส.ค. 2562
อ้างอิงจาก ความคิดเห็นที่ 1 โดย paderm ขอบคุณสำหรับคำตอบ

ผมกำลักศึกษาระดับปริญญาโทอยู่ครับ ผมรู้สึกชอบหลักธรรมนี้มาก จึงนำไปทำวิจัยเรื่อง "ศึกษาวิเคราะห์การปกครองตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารเทศบาล ในเขตอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ" เลยจะมาขอคำแนะนำ


ความคิดเห็น 4    โดย wannee.s  วันที่ 4 ก.ย. 2562

ธรรมะไม่ใช่เพียงเรียนรู้ชื่อ แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าแม้ขณะนี้ก็มีธรรมะ เช่น เห็นมีจริง เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย chatchai.k  วันที่ 20 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย NeungC  วันที่ 22 มิ.ย. 2568

ฉันทะ วิริยะ ต้องเกิดกับจิตกุศลเท่านั้นใช่ไหมครับ เกิดกับอกุศบเจตสิกไม่ได้ใช่ไหมครับ


ความคิดเห็น 7    โดย NeungC  วันที่ 22 มิ.ย. 2568

อธิปติปัจจัย เกิดได้ทั้งเป็นกุศลและอกุศลหรือไม่ครับ ขอบพระคุณครับ


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.ค. 2568

ฉันทเจตสิก เป็นสหชาตาธิปติ เป็นสภาพธรรมซึ่งสามารถเป็นหัวหน้าชักจูงให้จิตและเจตสิกอื่นเกิดพร้อมตนได้ แล้วแต่ว่าจะเป็นฉันทะในกุศล หรืออกุศลก็ได้ นอกจากฉันทเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยแล้ว ยังมีวิริยเจตสิก ฯลฯ วิริยะในกุศล หรืออกุศลก็ได้


คำว่า สหชาตาธิปติ เป็นคำรวมของสหชาตะ และอธิปติ

สหชาตะ หมายความว่า เกิดพร้อมกัน ร่วมกัน ได้แก่ จิตและเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกัน

อธิปติ หมายความถึงสภาพธรรมซึ่งเป็นหัวหน้า หรือเป็นใหญ่

เพราะฉะนั้น สหชาตาธิปติ หมายถึงสภาพธรรมที่สามารถกระทำกิจเป็นหัวหน้า หรือเป็นใหญ่ ชักจูงให้สหชาตธรรม คือ สภาพธรรมอื่นซึ่งเกิดร่วมด้วย เกิดขึ้น

ในบรรดาจิตและเจตสิกที่จะเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ทีละอย่างนั้น ได้แก่ ฉันทเจตสิก เป็นสหชาตาธิปติ เป็นสภาพธรรมซึ่งสามารถเป็นหัวหน้าชักจูงให้จิตและเจตสิกอื่นเกิดพร้อมตนได้ แล้วแต่ว่าจะเป็นฉันทะในกุศล หรืออกุศลก็ได้ ให้สังเกตว่า ในวันหนึ่งๆ นั้น เวลาที่จิตเกิดขึ้นเพราะมีฉันทะ คือ สภาพธรรมที่พอใจจะกระทำ หรือเปล่า แต่จะต้องเข้าใจลักษณะที่ต่างกันของฉันทะและโลภะว่า โลภเจตสิกเป็นอกุศลเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ติด ยึดมั่น ไม่ปล่อยวาง ส่วนฉันทเจตสิกเป็น สภาพธรรมที่พอใจจะกระทำ เพราะฉะนั้น สำหรับฉันทเจตสิกเป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ เป็นวิบากก็ได้ เป็นกิริยาก็ได้ ถ้าจำแนกโดยนัยของชาติ ๔

นอกจากฉันทเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยแล้ว ยังมีวิริยเจตสิก ชวนจิต ๕๒ ดวง และวิมังสา คือ ปัญญาเจตสิกอีกหนึ่ง รวมสภาพธรรมที่เป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ ๔ ประเภท คือ เจตสิก ๓ ได้แก่ ฉันทเจตสิก ๑ วิริยเจตสิก ๑ ปัญญาเจตสิก ๑ และชวนจิต ๕๒ ดวง [ตอนที่ 1087]


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.ค. 2568

อธิปติปัจจัยเกิดได้กับกุศลทั่วๆ ไป และกับอกุศลก็เกิดได้ แต่ถ้าเป็นการอบรมเจริญสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา เป็นอิทธิบาท เพราะเป็นสภาพธรรมที่จะทำให้ถึงความสำเร็จเป็นความสงบขั้นอัปปนาสมาธิที่เป็นฌานจิต และให้ถึงความสำเร็จเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น


ถ. อธิปติปัจจัย กับอิทธิบาท ๔ เหมือนกันไหม

สุ. อิทธิบาท ๔ ใช้สำหรับการอบรมเจริญสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา เพราะอิทธิหมายถึงความสำเร็จ ปาท หมายความว่าเป็นบาทเบื้องต้นที่จะให้ถึงความสำเร็จ คือ ความสงบขั้นฌานจิตเกิดขึ้น หรือว่าอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ เกิดขึ้น หรือว่าวิปัสสนาญาณต่างๆ เกิดขึ้น ซึ่งก็ได้แก่สภาพธรรมที่เป็นสภาพธรรมประเภทเดียวกัน คือ ฉันทเจตสิก วิริยเจตสิก จิต และวิมังสาคือปัญญาเจตสิก

ถ้าไม่ใช่เป็นการอบรมเจริญภาวนา ยังไม่เป็นอิทธิบาท เป็นแต่เพียงอธิปติเพราะเป็นหัวหน้า สำหรับอธิปติปัจจัยเกิดได้ทั้งที่เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต แต่ถ้าเป็นการอบรมเจริญภาวนา เป็นอิทธิ เป็นความสำเร็จในทางความสงบ หรือในทางปัญญา จึงจะเป็นอิทธิบาท

ถ. หมายความว่า อธิปติปัจจัย กับอิทธิบาท องค์ธรรมเหมือนกัน แต่ความประพฤติเป็นไปไม่เหมือนกัน อิทธิบาท ๔ ต้องเป็นกุศลอย่างเดียว

สุ. เวลาเป็นอธิปติปัจจัยเกิดได้กับกุศลทั่วๆ ไป และกับอกุศลก็เกิดได้ แต่ ถ้าเป็นการอบรมเจริญสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา เป็นอิทธิบาท เพราะเป็นสภาพธรรมที่จะทำให้ถึงความสำเร็จเป็นความสงบขั้นอัปปนาสมาธิที่เป็นฌานจิต และให้ถึงความสำเร็จเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น [ตอนที่ 1084]

เปิดฟัง ...

ปัจจัยที่ ๓ คือ อธิปติปัจจัย