ไทย-ฮินดี 16 กรกฎาคม 2565 ส่วนที่ 3
โดย prinwut  16 ก.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 43355

- เริ่มต้นเดี๋ยวนี้เลย คิดให้ดีว่า อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต พึงพอใจของเขาคืออะไร ยากไหม เพราะฉะนั้นรู้ไหมว่าอะไรเป็นเหตุให้ทำสิ่งที่เสียใจภายหลัง

- มีใครช่วยให้รู้ได้ไหม ยินดีมากที่วันนี้คุณมานิชได้รู้จักตัวเองว่า ถ้าทำอะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียใจภายหลังนั่นไม่ควรอย่างยิ่ง และที่พึ่งคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริงให้เริ่มรู้ว่า อะไรเป็นอะไร น้อยคนมากที่จะเป็นอย่างคุณมานิชที่ไม่อยากจะทำสิ่งที่ทำให้เสียใจทีหลัง

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นที่พึ่งของทุกคนที่เป็นคนตรงที่จะรู้ความจริง

- เขาเข้าใจถูกว่า ความไม่ดีทั้งหมดมาจากความไม่รู้ แต่ว่าความไม่รู้มีมากที่จะต้องเป็นคนตรงที่ว่า ต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไรในขั้นต้น

- ที่ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่า มีเขา มีตัวตน ทุกอย่างเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นก็มีความทุกข์แน่นอนเพราะมีการเข้าใจว่า มีเรา แต่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ละเอียดขึ้นจึงจะเป็นประโยชน์ให้รู้จริงๆ ได้

- ขณะที่เกิดเป็นคุณมานิชรึเปล่า เพราะฉะนั้นอะไรเกิด มีแล้วตั้งแต่เกิดโตมาจนเป็นคุณมานิช อะไรเกิด ตั้งแต่เกิดที่จะเป็นคุณมานิชทีหลัง

- ใครก็รู้ไม่ได้ใช่ไหม แต่ความจริงแม้ว่า เดี๋ยวนี้ก็ต้องมีสิ่งหนึ่งซึ่งปรากฏ

- เกิดมาแล้วก็เห็น ก็ได้ยิน ก็ได้กลิ่น ก็ลิ้มรส ก็รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสและคิดนึก หกทางเท่านั้นไม่ว่าโลกไหน และเกิดมาแล้วก็ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง อยากได้บ้าง ไม่อยากได้บ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง มากน้อยตามการสะสม บังคับบัญชาไม่ได้

- ทำดี ทำชั่วตามการสะสม คุณมานิชห้ามให้คนอื่นไม่ทำชั่วได้ไหม เพราะฉะนั้นคุณมานิชห้ามตัวเองไม่ให้ทำชั่วได้ไหม (พยายามได้) ไม่ได้ พยายามเดี๋ยวนี้เลย พยายามรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ รู้ได้ไหม

- เพราะฉะนั้นรู้ได้เลยว่า เราเปลี่ยนใครไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเราเพราะเหตุว่า เราไม่รู้ความจริง

- เพราะฉะนั้นจะอยู่ในโลกของการไม่รู้ความจริงเพราะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เมื่อรู้ว่า มีผู้ที่รู้ความจริง เห็นประโยชน์อย่างยิ่งว่า ชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาดีชั่วเพราะไม่รู้ความจริง

- ที่เมืองไทย มีทนายความท่านนึง มีผู้ที่ทำผิดมาหาท่าน คิดจะให้ความผิดเป็นความผิดของคนอื่นไม่ใช่ของเขา แต่พอเขาได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นมีเหตุที่จะให้เกิดขึ้น เขายอมรับผิดไม่ให้ความผิดนั้นเป็นของคนอื่นเพราะได้ฟังและเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงในเหตุและในผลที่เกิดขึ้น

- เขาเข้าใจว่า ธรรมคืออะไรและเกิดมาแล้วในแสนโกฏิกัปป์และจะเกิดอีกต่อไปเพราะฉะนั้นชาตินี้เป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งในสังสารวัฏฏ์เท่านั้นซึ่งเป็นไปตามเหตุ

- ชาตินี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ก็ได้ วันนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้แต่เหตุที่ทำไว้ที่มีก็จะทำให้เกิดมาเป็นบุคคลที่เกิดมาต่างๆ กัน ตามการสะสม แต่เหตุที่ดี เหตุที่ชั่วก็จะมีต่อไปเพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้พรุ่งนี้จะเกิดเป็นอะไรก็ได้ แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทำให้รู้ความจริงได้ทีละเล็กทีละน้อยเป็นที่พึ่งต่อไป

- เพราะฉะนั้นเริ่มตรงตั้งแต่เดี๋ยวนี้ชาตินี้เพราะต่อไปข้างหน้าอีกยาวไกล ชีวิตที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงก็จะนำไปสู่ความไม่รู้เพราะธรรมตรงมาก เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงที่สุดถึงความจริงของสิ่งที่กำลังมี

- ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเริ่มรู้ประโยชน์ของความเป็นผู้ตรงต่อความจริง เมื่อตรงต่อความจริงก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ได้ มิฉะนั้นจะไม่ตรงในสิ่งที่กำลังมีจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นที่พึ่งได้แสดงไว้ให้เข้าใจความจริงว่า ประโยชน์ที่สุดให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง นี่เป็นสัจจบารมี

- เพราะฉะนั้นเมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเพราะพระองค์ตรัสรู้ ทรงพระมหากรุณากับทุกคนที่จะให้รู้ความจริง เราก็ต้องเป็นผู้ตรงที่จะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ถ้าไม่ตรงต่อคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ชื่อว่านับถือพระองค์จึงไม่มีที่พึ่งที่จะรู้ความจริงในสังสารวัฏฏ์ในชาตินี้และในชาติต่อๆ ไป เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นผู้ตรงต่อความจริงที่เข้าใจว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

- พึ่งที่จะเข้าใจคำของพระองค์ ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ประการใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงแสดงความจริงให้รู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้เดี๋ยวนี้ แต่ต่อไปมั่นคงขึ้นๆ ที่จะมีพระองค์เป็นที่พึ่งโดยฟังคำของพระองค์ ฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วประพฤติตามด้วยและจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งจริงเมื่อฟังทุกคำของพระองค์ ไตร่ตรองจนกระทั่งสามารถค่อยๆ เข้าใจขึ้น

- มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งคือ รู้ว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร ฟังคำของพระองค์ ฟังแล้วไตร่ตรอง ไม่ใช่คิดว่า ฟังแล้วเข้าใจแล้ว ไตร่ตรองทุกคำที่พระองค์ตรัสเพื่อที่จะได้รู้ว่า เข้าใจจริงๆ ตามที่พระองค์ตรัสจริงหรือเปล่า

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เห็นมีจริงเพราะกำลังเห็น

- ถ้าเห็นไม่เกิดไม่มีเห็น แต่ใครก็ไปทำให้เห็นเกิดไม่ได้เพราะเห็นเกิดแล้ว ความจริงของเห็นคือ เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นใครไม่ได้เลย เห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

- ไตร่ตรองเป็นความจริงเพราะขณะที่ได้ยินไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้น เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน ต้องไม่ลืม สั้นๆ มั่นคง

- เห็นเป็นคนไม่ได้ เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นนกไม่ได้ เห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงในทุกคำว่า เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่นกเห็น ไม่ใช่ใครเห็น เพราะฉะนั้นเป็นธรรมทั้งหมด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีลักษณะที่ต่างๆ กันตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอื่นไม่ได้ เห็นไม่ใช่คุณมานิช ได้ยินไม่ใช่คุณมานิช คิดนึกไม่ใช่คุณมานิช

- ทุกอย่างที่มีตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรม จึงเห็นไม่ใช่คุณมานิช ได้ยินไม่ใช่คุณมานิชเพราะดับหมดแล้ว

- เห็นเกิดขึ้นเห็นแต่ไม่รู้ว่า เห็นดับแล้ว ก็เข้าใจว่า เราเห็นและยังเห็นอยู่ เห็นเกิดแล้วดับแล้วแต่ไม่รู้ ก็คิดว่า เรากำลังเห็นอยู่

- ลองคิดดู ไม่มีอะไรเลย แล้วเห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นก็ไม่มีอะไรเลย แต่มีธาตุที่เห็นเป็นธาตุรู้จึงเป็นเราเห็น

- ถ้าไม่มีธรรมที่มีจริงๆ เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นรู้ก็จะไม่มีความคิดว่า เป็นเรา เพราะฉะนั้นธาตุรู้ เห็น ธาตุรู้ ได้ยิน เกิดขึ้น ไม่มีใครที่นั้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นเราเห็น เราได้ยิน

- ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นจะมีเราเห็นไหม ถ้าได้ยินไม่เกิดขึ้นจะมีเราได้ยินไหม ถ้าคิดไม่เกิดขึ้นจะมีเราคิดไหม

- เมื่อมีการชอบ มีการอยากได้เกิดขึ้นก็เป็นเราชอบ เราอยากได้ แต่ถ้าชอบไม่เกิดขึ้น อยากได้ไม่เกิดก็จะไม่มีเราชอบ เราอยากได้ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครรู้อย่างนี้บ้างไหมและอะไรจริง

- เริ่มตรงต่อความจริง เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์ตรัสรู้การเกิดขึ้นและการดับไปจึงทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีละเอียดอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวงเพื่อให้รู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีใครเลย



ความคิดเห็น 1    โดย siraya  วันที่ 16 ก.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 24 ก.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ