[คำที่ ๗๐๗] อวิชฺชนฺธการ
โดย Sudhipong.U  10 มี.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 49586

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อวิชฺชนฺธการ

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

อวิชฺชนฺธการ อ่านตามภาษาบาลีว่า อะ - วิด - ชัน - ทะ - กา - ระ มาจากคำว่า อวิชฺชา (ความไม่รู้) กับคำว่า อนฺธการ (ความมืด) รวมกันเป็น อวิชฺชนฺธการ แปลว่า ความมืดคืออวิชชา เป็นอีก ๑ คำที่ แสดงถึงความเป็นจริงของอวิชชาซึ่งเป็นสภาพที่มืด มืดยิ่งกว่าความมืดใดๆ เพราะเมื่ออวิชชาความไม่รู้เกิดขึ้นย่อมไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง และอวิชชาก็ยังเป็นมูลรากของอกุศลธรรมทั้งหลายอีกด้วย

สัตว์โลกเมื่อถูกความมืด คือ อวิชชาครอบงำหรือปกคลุมแล้วย่อมทำให้ไม่รู้ความจริงของธรรม จึงควรแสวงหาที่พึ่งคือพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อขัดเกลาละคลายความมืดดังกล่าว ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ดังนี้

เมื่อโลกสันนิวาส อันไฟลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์

พวกเธอยังจะร่าเริง บันเทิงอะไรกันหนอ?

เธอทั้งหลาย ถูกความมืดปกคลุมแล้ว

ทำไมจึงไม่แสวงหาประทีป (คือปัญญา) เล่า?


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทุกคำ เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูล ทำให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นกัลยาณมิตรสูงสุด เพราะเหตุว่าทุกคำของพระองค์ ไม่ได้มีความประสงค์ให้ใครเข้าใจผิดเลยแม้แต่น้อย แต่พระองค์ทรงแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ มากมาย หลากหลาย โดยประการทั้งปวง เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฟังผู้ศึกษาค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นประโยชน์เท่านั้น

กิเลสทั้งหลายทั้งปวง เป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทั้งโลภะ (ความติดข้องต้องการ) โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) อวิชชา (ความไม่รู้) เป็นต้น สำหรับปุถุชนผู้ที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลสประการต่างๆ มากมาย ในชีวิตประจำวันในภพนี้ชาตินี้ก็ยังไม่พ้นไปจากกิเลสเหล่านี้ เป็นผู้ถูกกิเลสกลุ้มรุมเกือบจะตลอดเวลา ซึ่งไม่เพียงแต่ในชาตินี้เท่านั้นที่มีกิเลสมาก โดยมีอวิชชาเป็นหัวหน้า ย้อนกลับไปในอดีตชาติอันยาวนานที่ผ่านมาก็มีกิเลสมาก มีความไม่รู้มากเหมือนกัน สะสมสืบต่อจนมาถึงปัจจุบันชาตินี้และยังจะต้องเป็นอย่างนี้อีกต่อไป ทำให้ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เป็นไปกับอกุศลประการต่างๆ มากมาย ซึ่งจะเห็นได้ว่ากิเลสที่สะสมมามีมากเหลือเกิน ซึ่งก็เป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ในขณะที่อกุศลเกิด มีอวิชชาความไม่รู้ เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง มืดมิดไม่รู้ความจริงอะไรๆ ได้เลย

เมื่อกล่าวถึงความมืดแล้ว ไม่มีอะไรที่มืดยิ่งไปกว่าอวิชชา จะเห็นได้ว่าอวิชชาความไม่รู้นั้น ก็ได้แก่ ไม่รู้ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม แต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่เรา สำหรับสิ่งที่มีจริงนั้นมีจริงๆ ในขณะนี้ ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่พ้นจากธรรมเลย ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงโดยนัยของขันธ์ (ธรรมที่เกิดแล้วดับทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า) โดยนัยของธาตุ (ธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น) โดยนัยของอายตนะ (ธรรมที่ประชุมกันในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทีละขณะ) ก็ไม่พ้นไปจากธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ขณะนี้มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีขณะไหนเลยที่ไม่ใช่ธรรม ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก ขณะกุศลจิตเกิด ขณะอกุศลจิตเกิด เป็นต้น เป็นธรรมที่มีจริง ธรรมจึงไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่มีจริงในขณะนี้ หากไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจว่าอะไรคือธรรม ธรรมอยู่ในขณะไหน ขณะนี้เป็นธรรมหรือไม่ ก็จะไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย เมื่อไม่เข้าใจความจริง ย่อมเป็นผู้ไม่ฉลาดในธรรม กล่าวคือไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม จึงหลงยึดถือสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อถูกอวิชชาความไม่รู้ครอบงำ ก็เป็นผู้มืดบอด เพราะถูกปกคลุมด้วยกองแห่งความมืดคืออวิชชา ย่อมทำให้ไม่เห็นความจริง แม้ธรรมกำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ไม่รู้ เป็นเหตุให้เกิดอกุศลอีกมากมาย ทำให้ยังต้องเกิดอีกร่ำไปและจะต้องประสบกับความทุกข์ทั้งกายและใจอีกมากมายอันเนื่องมาจากการเกิด

อกุศลจิตทุกขณะทุกประเภท เกิดเพราะอวิชชาความไม่รู้ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ไม่รู้ว่าอะไรเป็นผลที่มาจากเหตุ ไม่รู้โดยประการทั้งปวง ความเป็นจริงของอวิชชา ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น เกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมทำกิจหน้าที่ไม่รู้ความจริง เมื่อนั้น ที่สัตว์โลกทั้งหลายยังท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ก็เพราะยังมีอวิชชาอยู่นั่นเอง ถ้าเป็นผู้ที่สามารถดับอวิชชาได้หมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็จะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง

ในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากทุกขณะที่จิตเป็นอกุศล ก็ไม่ปราศจาก

อวิชชา ก็ลองคิดดูว่าจะสะสมอวิชชามากเพียงใด ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่มีทางเข้าใจเลยว่า ตนเองมากไปด้วยอวิชชาเป็นอย่างมาก ดังนั้น หนทางที่จะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายอวิชชาได้นั้น ก็ด้วยการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อเห็นคุณค่าของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ละเลยโอกาสที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไป เพราะทุกครั้งที่ได้ฟัง ก็ได้เริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลาละคลายความเป็นผู้มืดมิด ไปทีละเล็กทีละน้อย

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย puthowtong  วันที่ 10 มี.ค. 2568

ขณะที่อกุศลเกิด มีอวิชชาความไม่รู้ เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง คือ ไม่รู้ว่าเป็น อกุศล อวิชชาไม่ได้เกิดร่วม คือไม่รู้ว่าเป็นอกุศล แล้ว กล่าวถึงความไม่รู้ว่าเป็น อกุศล คือ ตัวเราใช่ไหม


ความคิดเห็น 2    โดย puthowtong  วันที่ 10 มี.ค. 2568

ขัดเกลาละคลายความเป็นผู้มืดมิด ไปทีละเล็กทีละน้อย ผู้ นี้คือเราใช่ไหม


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 11 มี.ค. 2568

เรียนความคิดเห็นที่ ๑ และ ๒ ครับ
ตราบใดก็ตามที่ยังไม่สามารถดับความไม่รู้ (อวิชชา) ได้ ก็ยังมีเหตุมีปัจจัยให้อวิชชาเกิดขึ้น เป็นปกติเป็นธรรมดาและเกิดมากด้วยในชีวิตประจำวัน เมื่ออวิชชาเกิดกับผู้ใด ก็หมายรู้กันว่าเป็นบุคคลผู้มีอวิชชา รวมถึงตัวผม รวมถึงตัวท่านด้วยครับ


ความคิดเห็น 4    โดย chatchai.k  วันที่ 12 มี.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ