
[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 2 ภาค 2 - หน้า 304 - 305
9. มหาสติปัฏฐานสูตร
กายสักว่าธาตุ ๔
เมื่อคนฆ่าโคเลี้ยงโคอยู่ก็ดี นําโคไปยังที่ฆ่าก็ดี นํามาผูกไว้ที่ฆ่าก็ดี กําลังฆ่าก็ดี มองดูโคที่ฆ่าตายแล้วก็ดี ความสําคัญว่าโค ยังไม่หายไปตราบเท่านี้ เขายังไม่ได้ชําแหละโคนั้น ออกเป็นส่วนๆ ต่อเมื่อเขาชําแหละแบ่งออกแล้ว ความสําคัญว่าโคก็หายไป กลับสําคัญเนื้อโคไป เขามิได้คิดว่า เราขายโค คนเหล่านี้ซื้อไป ที่แท้ เขาคิดว่า เราขายเนื้อโค คนเหล่านี้ซื้อเนื้อโคเปรียบฉันใด แม้ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อครั้งเป็นปุถุชนผู้เขลา เป็นคฤหัสก็ดี บรรพชิตก็ดี ความสําคัญว่า สัตว์ หรือบุคคล ยังไม่หายไปก่อน ตราบเท่าที่ยังไม่พิจารณาเห็นกายนี้นี่แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดํารงอยู่ แยกออกจากก้อน โดยความเป็นธาตุ ต่อเมื่อเธอพิจารณาเห็นโดยความเป็นธาตุ ความสําคัญว่าสัตว์จึงหายไป จิตก็ตั้งอยู่ด้วยดี โดยความเป็นธาตุอย่างเดียว. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายอันนี้นี่แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดํารงอยู่ โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ
อ.วิชัย: จากการสนทนาเมื่อวานนี้ แล้วเมื่อสักครู่ที่กล่าวถึง อยู่ในโลกคนเดียวกับความคิด ครับ จริงๆ แล้วเรามีความจำในสิ่งที่ปรากฏโดยความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างมั่คง แต่ประเด็นที่จะสนทนากับท่านอาจารย์ก็คือ ในอรรถกถา มหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แสดงการพิจารณาธาตุทั้ง ๔ ครับ เป็นธาตุมนสิการบรรพ ก็อุปมาเหมือนกับการที่เคยจำว่า เป็นโค แต่ถ้าคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโค ฆ่าโคแล้วแบ่งเป็นส่วนต่างๆ ความจำหมายรู้ว่าเป็นโคทั้งตัวก็ไม่มี ก็มีความรู้ว่าเป็นชิ้นเนื้อครับ ซึ่งข้อความบางส่วนในอรรถกถา ท่านก็แสดงอย่างนี้ครับว่า แม้ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อครั้งเป็นปุถุชนผู้เขลา เป็นคฤหัสถ์ก็ดี บรรพชิตก็ดี ความสำคัญว่า สัตว์ หรือบุคคลยังไม่หายไปก่อนตราบเท่าที่ยังไม่พิจารณาเห็นกายนี้ นี่แล ตามที่ตั้งอยู่ตามที่ดำรงอยู่แยกออกจากก้อนโดยความเป็นธาตุ ต่อเมื่อเธอพิจารณาเห็นโดยความเป็นธาตุ ความสำคัญว่า สัตว์ จึงหายไป จิตก็ตั้งอยู่ด้วยดีโดยความเป็นธาตุครับ
ท่านอาจารย์ครับจากการสนทนาเมื่อวานนี้ ธาตุอย่างเดียว เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายอันนี้นี่แล ตามที่ตั้งอยู่ตามทิศที่ดำรงอยู่โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ปฐวี อาโป เตโช วาโย ครับ
กราบท่านอาจารย์ครับ การที่เป็นผู้เขลา คือยังไม่รู้ความเป็นจริงครับ ก็ยังมีความจำ รูป โดยความมหาภูตรูปมาประชุมรวมกันครับ การที่จะเป็นผู้ที่ละความสำคัญว่า เป็นสัตว์ หรือบุคคลนี่ครับ หมายความว่าเป็นการที่แยกออกเป็นส่วน ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ตรงนี้ครับ เพราะว่าจากการศึกษาก็รู้ว่า มีรูปที่ประชุมกัน แต่การที่จะมนสิการะหรือใส่ใจ ก็ไม่ใช่เป็นตัวเราที่จะพยายามที่จะใส่ใจ แต่ว่า เป็นความเข้าใจถูกต้องนี้คืออย่างไร ครับ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีคุณวิชัยไหม?
อ.วิชัย: ยังมีอยู่ครับ ยังอยู่ตรงนี้ครับ
ท่านอาจารย์: ยังมีอยู่ ตรงไหนเป็นคุณวิชัย?
อ.วิชัย: แข็ง ที่จับที่ตัวครับ
ท่านอาจารย์: แข็ง แค่คำเดียวว่า แข็ง แค่คำเดียวว่าแข็งเป็นธาตุหรือเปล่าจึงไม่ใช่คุณวิชัย?
อ.วิชัย: เป็นธาตุครับ ทั้งตัว
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทั้งตัวนี่แข็งใช่ไหม กระทบที่ไหนก็แข็ง?
อ.วิชัย: ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แข็งนั้นไม่ใช่คุณวิชัย จนกว่าจะไม่มีคุณวิชัย มีแข็ง
อ.วิชัย: และที่การมนสิการะนี่คืออย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: ก็นี่งัย!! เดี๋ยวนี้งัย!! ไม่มีคุณวิชัยเมื่อมีแข็ง นี่มนสิการะแล้ว ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรเลย นี่แหละ มนสิการเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ
อ.วิชัย: ครับ หมายถึงว่าการรู้ในลักษณะของแข็ง ตรงนั้นก็เป็นการละความจำทั้งตัวว่า เป็นเรา ทีละเล็กทีละน้อย
ท่านอาจารย์: ต้องตรง เวลาที่มีแข็งปรากฏไม่มีคุณวิชัย ไม่มีนิ้ว ไม่มีขา ไม่มีผม ไม่มีเล็บ แข็งเป็นแข็ง จึงค่อยๆ ละความเป็นเราเป็นตัวเรา
อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ อย่างความจำว่า เป็นตัวเรานี่ครับก็นานแสนนานครับ อย่างที่ท่านอาจารย์เคยให้ความเข้าใจว่า ฟันแม้ไม่ได้กระทบว่าเป็นฟัน แต่ความจำว่าเป็นฟัน เรามีฟันอยู่ก็ยังจำไว้อยู่ครับ ก็หมายความว่า ความจำที่เป็นตัวตนก็ยังมีอยู่ตราบที่ยังไม่มีความเข้าใจขึ้นในลักษณะของธรรมะครับ
ท่านอาจารย์: วิปลาสมีกี่อย่าง สัญญาวิปลาส จำ เห็นไหม? สัญญาจำคลาดเคลื่อน เพราะฉะนั้น สัญญาวิปลาสมีอะไรบ้าง?
อ.วิชัย: สัญญาวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยงครับ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม และในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตนครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อัตสัญญาใช่ไหม? วิปลาส เอาแข็งมาเป็นเรา จำไว้ว่าเป็นเรามานานแสนนาน ไม่ต้องไปหาที่ไหน ปกติชีวิตประจำวันไม่เคยรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แม้แต่เรา แข็ง แข็งๆ ๆ นิ้วแข็ง เล็บแข็ง อะไรที่แข็งที่ตัวเป็นเราหมด วิปลาสไหม? จำ เห็นไหม? คุณวิชัยก็พูดว่าจำมานานแล้วเป็นอย่างนั้น ก็วิปลาสมานานเท่าไหร่ จึงมีคำว่า สัญญาวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส
ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมีตลอดเวลาให้รู้ ไม่ต้องไปหาเลย ความเข้าใจนั้นสามารถจะรู้ว่า จะถึงอะไรขณะไหนให้รู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นอะไรซึ่งไม่ใช่เรา
อ.วิชัย: ก็ละเอียดขึ้นครับ ที่จะให้ค่อยๆ เข้าใจในความเป็นจริงของธรรมะครับ
มีประเด็นเพิ่มเติมนิดหนึ่งครับ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกายานุปัสสนาสติปัฏฐานไว้หลายบรรพะครับ คือโดยนัยยะของการแสดง อย่างทรงแสดงเป็นอานาปานบรรพ ปฏิกูลบรรพ หรือธาตุมนสิการบรรพ ที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ ก็คือว่า เป็นความเข้าใจในความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏนี่ครับ แต่อะไรเป็นเหตุให้พระองค์แสดงความหลากหลายของความยึดมั่นแม้กายก็ยังทรงแสดงเป็นส่วนต่างๆ ครับ
ท่านอาจารย์: คุณวิชัยมีลมหายใจไหม?
อ.วิชัย: ยังหายใจอยู่ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ขณะนั้นก็เป็นลมหายใจของเราใช่ไหม?
อ.วิชัย: อ้อ.. ครับ สามารถยึดมั่นทุกอย่างเลยนะครับ กว่าจะรู้ความเป็นจริงที่จะถ่ายถอนความยึดมั่นในสิ่งต่างๆ มากมายแม้แต่การที่เคยจำว่า เป็นร่างกายเรา หรือว่าปฏิกูลก็ยังจำว่าเป็นเราอยู่ครับกว่าจะรู้ตวามเป็นจริงครับ ละเอียดขึ้นครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
กายสักว่าธาตุ 4 [มหาสติปัฏฐานสูตร]
9. วิปัลลาสสูตร ว่าด้วยวิปลาสในธรรม 4 ประการ
ขอเชิญฟังได้ที่..
ธาตุมนสิการบรรพ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ