English-Hindi 25 January 2025
- ไม่รู้ตัวเลยเพราะมันละเอียดมากค่อยๆ สะสมปรุงแต่งตั้งแต่แสนนานมาแล้ว และวันนี้ก็ค่อยๆ สะสมปรุงแต่งไปจนถึงข้างหน้าอีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังเลยก็ประมาท ฟังแล้วไม่ละเอียดไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงได้
- เพราะฉะนั้น ต้องเคารพจริงๆ ในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าลึกซึ้ง พระองค์ตรัส คิดดู แล้วจะเปลี่ยนธรรมได้อย่างไร เพียงแค่ค่อยๆ ฟังไป ค่อยๆ เข้าใจไป ค่อยๆ เห็นความเป็นอนัตตา เพราะเพียงผิดจากอนัตตาเป็นอัตตาทันที
- (คุณตรัสวิน - ที่คุณสุคินพูดว่าเราไม่มีทางทราบเลยว่า ศรัทธาเกิดขึ้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ทำให้คิดขึ้นได้ว่า ท่านอาจารย์พูดว่าธรรมเกิดดับเร็วมาก ศรัทธาก็คงเกิดดับเร็วมากจนเราไม่รู้ว่า ช่วงขณะหนึ่งคืออะไร ไม่มีทางรู้เลยในชาตินี้)
- (คุณสุคิน - ไม่ใช่แค่ว่าเกิดดับเร็วมาก การเกิดดับเร็วมากก็คือตามสภาพของธรรม แต่ปัญหาอยู่ที่ความไม่รู้และอยู่ที่ตัวร้ายที่ท่านอาจารย์บอกว่า คือความเป็นตัวตนที่คิดเองและสรุปเอาเองจากเหตุกรณ์ นั่นทำให้สิ่งที่รวดเร็วขนาดนั้นซึ่งแสนจะเล็กน้อยที่เกิดแล้วดับทันทีขนาดนั้นยิ่งรู้ยากขึ้นๆ)
- เพราะฉะนั้นขาดการอบรมไม่ได้ ประมาทอะไรไม่ได้ ประมาทใครไม่ได้เพราะไม่สามารถที่จะรู้ธรรมที่สะสมมาแสนเนิ่นนานได้ว่า วันไหนอะไรจะเกิดขึ้น แต่พระธรรมทุกคำเป็นประโยชน์มหาศาล มีแต่ให้เห็นว่า อะไรดีต้องดี อะไรไม่ดีต้องไม่ดี เพียงแต่ว่าความเข้าใจสามารถจะมั่นคงที่จะค่อยๆ อบรม ค่อยๆ ประพฤติปฏิบัติตามหรือเปล่า
- เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ให้เท่าที่เราสามารถจะทำได้ ส่วนคนรับแล้วแต่ปัจจัย อะไรจะเกิดเกิดแน่นอนทุกขณะ เปลี่ยนไม่ได้ ปัจจัยให้เกิดเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับการเห็นประโยชน์มหาศาลที่ว่า เราเห็นผิดมานานเท่าไหร่ ไม่มีเราก็เป็นเราไปหมดเลย และยังคงเป็นเราอยู่และถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ความเข้าใจที่จะค่อยๆ ละตามกำลังของความเข้าใจ มัวเป็นเราที่จะไปเข้าใจ มัวเป็นเราที่จะอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ยิ่งห่างไกล นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- (คุณสุคิน - ถ้าไม่มีท่านอาจารย์ช่วยเตือนพวกเราเรื่องความเป็นตัวตน การที่เราคิดว่าเราให้และคิดว่าการให้นี้เป็นสิ่งที่ดีก็เป็นด้วยความเป็นตัวตนอยู่เรื่อยๆ)
- ถ้าเราหวัง แต่ถ้าเราไม่หวัง เราเข้าใจตามความเป็นจริง ควรให้ไหม ควร ให้แล้วจบ แล้วแต่ปัจจัยที่จะไปเกิดกับแต่ละคนที่ได้รับไป ไม่หวั่นไหว ไม่มีเราที่จะต้องไปหวั่นไหวเพื่อเราหรืออะไรเลย เป็นธรรมทั้งหมดจริงๆ ขยะก็ขยะไป ไม่เก็บ สิ่งที่ดีก็ค่อยๆ สะสมขัดเกลา นานมากถ้ารู้ว่าความไม่ดีของแต่ละคนสะสมมาเหลือที่จะคณานับ เพราะฉะนั้นจะไม่โกรธใครเลยใช่ไหม ไม่มีใครจะโกรธ มีแต่ธรรมทั้งหมด
- (คุณตรัสวิน - จะไม่โกรธต้องพยายามเพราะยังโกรธอยู่)
- แต่คุณจิ๋วต้องทราบว่า ยังโกรธเพราะยังมีโลภะและอวิชชา ต้องการที่จะให้เป็นอย่างนี้ เมื่อไม่เป็นอย่างนี้และคิดว่าจะต้องเป็นหรือควรเป็นอย่างนี้ก็ผิด ทำให้เกิดโกรธแล้ว ก็มันเป็นแล้วด้วยและก็หมดไปแล้วด้วย และเมื่อมันมีเหตุ ผลก็ต้องเกิดตามเหตุ และเราโกรธมันเป็นเหตุ ผลมันก็ต้องเกิดตามเหตุ ก็ไม่มีวันจบสิ้น แต่ถ้ารู้ว่า เราโกรธอะไร
- (คุณสุคิน - เพราะฉะนั้นความคิดว่าต้องพยายามก็ต้องเข้าใจด้วยว่าหมายถึงอะไร คือพยายามด้วยตัวตนไหม ก็ไม่ใช่หนทาง มีแต่ปัญญาที่เป็นทางออกทางเดียว)
- ดิฉันคิดว่า คนไทยพูดภาษาไทยแต่ความเข้าใจธรรมไม่ใช่เฉพาะภาษาไทยต้องเป็นภาษาสากลถูกต้องไหม ตอนนี้เรามีคุณแอนภาษาไทย คุณโซฮานภาษาไทยคงจะยาก เป็นภาษาอังกฤษดีไหม ถ้าโซฮานไม่เข้าใจจะได้อธิบาย เพราะธรรมเป็นธรรม ยินดีมากค่ะคุณแอน คุณแอนเข้ามาก็เป็นรายการเบ็ดเตล็ด (คุณแอน - ขอบคุณท่านอาจารย์) เบ็ดเตล็ดจริงๆ เชิญคุณแอนเลยค่ะ มีอะไรที่จะสนทนากันสบายๆ ค่ะ
- (คุณแอน - เพิ่งได้ฟังบันทึกการสนทนาเมื่อต้นอาทิตย์ เป็นการสนทนาเรื่องอัลไซเมอร์และความจำ แน่นอนอัลไซเมอร์ไม่ใช่ผลของกรรม เพราะผลของกรรมคือ เห็น ได้ยิน ลิ้มรส รู้สิ่งกระทบสัมผัส ได้กลิ่น แต่เป็นหน้าที่ของความจำ ความจำวิปลาสซึ่งตามปกติความจำคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เว้นแต่ว่ามีความเข้าใจมากๆ ไม่มีความจำสีหรือเสียงแต่เป็นการจำเรื่องราวซึ่งเป็นนิมิตก่อนแล้วตามด้วยเรื่องราว ดังนั้นอัลไซเมอร์คือความจำวิปลาสในระดับที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก)
- ถ้าเราไม่สนใจชื่อของโรค แล้วความจริงคืออะไร เป็นสภาพธรรมที่จำผิดในอารมณ์เพราะมีอวิชชาที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้แม้เราจำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ เราไม่ลืมแต่ความเข้าใจมีไหม เราจำชื่อของโรคนั้นโรคนี้ต่างๆ แต่ขณะนั้นเป็นเพียงจิตที่เป็นอกุศลเท่านั้นเอง
- เพราะเห็นเป็นเห็นไม่ว่าจะเป็นเห็นของคนป่วยหรือคนที่แข็งแรงมาก เห็นเป็นเพียงเห็น ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวถึงสภาพธรรมในระดับที่ต่างกัน อวิชชามีอยู่ขึ้นอยู่กับการสะสม ความคิดผิดในสิ่งนั้นสิ่งนี้สะสมมามากจนกระทั่งถึงระดับนั้น รับที่มีคนกล่าวว่า เขาสูญเสียความทรงจำเท่านั้นเอง อวิชชาเป็นอวิชชาเพราะเราติดในคำกันมากแล้วก็จัดกลุ่มด้วยความคิดต่างๆ กัน ฯลฯ แต่จริงๆ เป็นจิตและเจตสิกใช่ไหม อวิชชาเป็นเหตุหลัก
- (คุณแอน - เข้าใจแล้วว่า อัลไซเมอร์ไม่ใช่ธรรม แต่ธรรมวิปลาสจนถึงระดับที่จำไม่ได้)
- ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องกลับมาที่ความจริงของสิ่งที่มีจริงเท่านั้น แสดงถึงลักษณะของอวิชชาที่สะสมมานานมากๆ เป็นปัจจัยให้จำผิดได้ถึงขนาดนั้น ซึ่งผิดปกติอย่างมากแค่นั้นเอง
- (คุณแอน - เป็นการสะสมใช่ไหม)
- ใช่ เพราะว่าการสะสมก็ค่อนหลากหลายแตกต่างกันมากด้วย ๑ ขณะที่ติดข้องเล็กน้อยมาก ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดกรรมแต่เป็นปัจจัยให้เกิดผลโดยอุปนิสสยปัจจัย ฟังความจริงของปัจจัยที่หลากหลาย แม้เจตนาก็มี ๒ ประเภท สหชาติกรรมปัจจัยเกิดกับจิตทุกประเภทและนานักขณิกกรรมปัจจัยที่จะให้ผลต่อไปภายหน้าเท่านั้น ค่อยๆ ศึกษาทีละเล็กทีละน้อย
- ถ้าเราสนทนาแต่ชื่อ สนทนาเรื่องโรค ฯลฯ ไม่ใช่ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเลย มีวิชาเภสัชหรือยาอะไรที่แก้อวิชชาไหม (ไม่มี) เห็นไหม แต่อวิชชากำลังมี แม้แต่แพทย์ก็รักษาอวิชชาไม่ได้ มีเพียงแพทย์ผู้สูงสุดคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวผู้ทรงรักษาอวิชชาได้
- และไม่ว่าเราจะสนทนาเรื่องอะไรก็สามารถนำไปสู่ความจริงไปสู่ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมี มิฉะนั้นเราก็ไปในทางโลกๆ สนทนากันเรื่องโรค เรื่องยารักษาโรค เรื่องผลข้างเคียง แต่เรื่องแบบนั้นไม่เกี่ยวกับธรรมเลย ทั้งหมดเป็นธรรม ขึ้นอยู่กับเข้าใจแค่ไหน ถ้าเราไม่สนทนาธรรม เราคิดว่าเราเข้าใจคำอธิบายโดยวิธีอื่นแต่ไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมจริงๆ
- ตอนนี้ถึงตาชาวเนปาล คุณโซฮานมีคำถามไหม (ขอถามเรื่องวิปลาส วิปลาสคืออะไร) วิปลาสมีกี่ประเภทต้องเข้าใจ ทิฏฐิวิปลาส สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ถูกไหม วิปลาสมี ๓ อย่าง เมื่อมีความเห็นผิดในความจริงเป็นทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดมากจนต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อประจักษ์แจ้งความจริง เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ผิดคือทิฏฐิเห็นผิดจากความเป็นจริง ชัดเจนไหม เดี๋ยวนี้มีทิฏฐิวปลาสไหม (ไม่มี) เดี๋ยวนี้เป็นเราหรือเป็นธรรม (เป็นธรรม) ไม่มีโซฮานเลยหรือ (ไม่มี) แล้วละความเห็นว่าเป็นโซฮานไปหมดได้อย่างไร (เมื่อเข้าใจธรรม)
- ไม่ใช่ แค่นั้นไม่สามารถดับความเห็นผิดได้เลยเพราะมีกำลังมาก มิฉะนั้นไม่มีทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาส สัญญาวิปลาสหลายระดับ ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นชัดเจนขึ้นมากขึ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคิดว่าไม่มีเรา ต้องตรงต่อความจริงเพื่อเข้าใจคำสอนของพระองค์ แต่ละคำสอนให้รู้จักสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทุกที่ทุกเวลา มิฉะนั้นก็เป็นเราตลอดเวลาตั้งแต่ขณะตื่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส แต่เราต้องศึกษาความจริงที่ลึกซึ้งมาก สิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสิ่งที่เห็นเดี๋ยวนี้มีทิฏฐิที่เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอัตตา เป็นดอกกุหลาบ เป็นเก้าอี้ เป็นรองเท้า แต่ตามความเป็นจริงคืออะไร อะไรคือลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง
- เพราะฉะนั้นคุณโซฮานคิดว่า ไม่มีความเห็นผิดเลยหรือเปล่า (ไม่ได้คิด) เพราะฉะนั้นอะไรเป็นความเห็นผิด (เป็นเราเห็น เราได้ยิน) เพราะฉะนั้นจะมีน้อยลงเมื่อไหร่ (เมื่อเข้าใจความจริงว่าไม่ใช่เรา เป็นเพียงสภาพธรรม) ต้องตรงต่อความจริงเดี๋ยวนี้ มีความเข้าใจเห็นและสิ่งที่ถูกเห็นระดับไหน และแค่นี้พอไหมหรือยังไม่พอ เพราะว่ายังปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา
- เพราะฉะนั้น การตรงต่อความจริงสำคัญอย่างยิ่ง ต้องตรงตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด ตรงต่อความจริง เดี๋ยวนี้มีอะไร (ไม่ใช่เรา เห็นเป็นจิตไม่มีเรา) เพราะฉะนั้นเรากำลังอยู่ในโลกของอัตตา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นใครตลอดเวลาจนกว่าจะมีการค่อยๆ ละด้วยการเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อย ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวถึงความจริง คำจริงของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วด้วยปัญญา
- เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเห็น มีความเห็นผิดในเห็นไหม (คุณโซฮาน - ถ้าเรายึดว่าเป็นเราก็เป็นความเห็นผิด แต่ขณะที่เห็นเป็นเพียงธรรม ไม่ใช่ความเห็นผิด) มีสภาพธรรมมากมายในชีวิตประจำวันแต่สิ่งที่กำลังมีปรากฏได้ทาง ๖ ทวารเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น มีจิตมากมายแต่มีเพียงจิตเห็นจักขุวิญญาณเท่านั้นที่ปรากฏให้รู้ว่ามี แต่ไม่มีความเข้าใจเห็นตามความเป็นจริง ถูกไหม เพราะฉะนั้นยังมีความเห็นผิดในเห็นที่กำลังเห็นหรือเปล่า
- เดี๋ยวนี้มีเห็น มีความเข้าใจเห็น เข้าใจความจริงของเห็น เข้าใจลักษณะของเห็นเดี๋ยวนี้ไหม (ยังไม่เข้าใจ) เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นอกุศล ถูกไหม ไม่มีความเข้าใจเห็นเกิดขึ้นเล็กน้อยบางมาก เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอกุศลที่บางเบามากระดับอาสวะ
- เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจความเห็นผิดที่มีมากมายมหาศาลเพิ่มขึ้นๆ ทุกขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่เข้าใจแม้ว่ากำลังมีอยู่ เพราะความเห็นผิดในเห็น ในสิ่งที่ถูกเห็น เห็นผิดทุกขณะในสิ่งที่เกิดแล้วยังไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น
- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจว่า มีความไม่รู้และความติดข้องมากมายและอกุศลทุกประการที่สะสมต่อไปๆ ไม่ประมาทว่าอกุศลเล็กน้อย แต่ความจริงแต่ละขณะที่เป็นอกุศลเล็กๆ น้อยๆ สะสมหมักหมมเพิ่มขึ้นในแต่ละขณะที่รู้อารมณ์
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอาสวะไหม (ถ้าเห็นผิดก็มีทิฏฐาสวะ) เล็กน้อยมากไม่รู้เลยเพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีความเข้าใจเห็นดังนั้นจึงยึดเห็นว่าเป็นเรา สักกายทิฏฐิ ภวาสวะยึดในความมีความเป็น เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแม้เห็นก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นสภาพธรรมที่ยังไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เราเลย เพียงเกิดขึ้นแล้วดับโดยไม่รู้ตลอดเวลา
- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงที่ละเอียดมากจึงต้องอาศัยการพิจารณาความจริงขณะนั้นที่กำลังมีอย่างละเอียดเพื่อละความไม่รู้และความติดข้องทีละน้อยมากโดยไม่รู้เลย แต่ปัญญาค่อยๆ ทำหน้าที่ของปัญญาไปเงียบๆ ไม่มีใครรู้ซึ่งเป็นหนทางที่จะประจักษ์แจ้งอริยสัจจ์ ๔ ต่อไป
- ต้องมีคำถามถึงความจริงตลอดเวลา แต่ไม่ได้คิดถึง (คุณโซฮาน - อยากรู้เกี่ยวกับวิปลาส) วิปลาสมี ๓ ทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาส สัญญาวิปลาส เรากล่าวถึงทิฏฐิวิปลาสไปแล้ว จิตวิปลาสโดยไม่ทิฏฐิวิปลาสได้ไหม พิจารณาสิ่งที่ได้ฟังแล้วอย่างละเอียด จิตจะวิปลาสโดยไม่มีทิฏฐิวิปลาสได้ไหม (ได้) เมื่อไหร่ (เมื่อจิตเกิด ถ้าไม่มีความเห็นผิดก็วิปลาสไม่ได้) จริงหรือ
- ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องศึกษาความจริงในชีวิตประจำวัน ความจริงไม่ได้อยู่ในตำรา เช่น มีจิตกี่ประเภท เกิดกับทิฏฐิกี่ดวง ไม่เกิดกับทิฏฐิกี่ดวง ใครก็ตอบได้ แต่ความจริงในชีวิตประจำวันแต่ละขณะสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้ไหม สามารถมีจิตวิปลาสโดยไม่มีทิฏฐิวิปลาสได้ไหม (ไม่ได้) ได้หรือไม่ได้ (ไม่ได้) มีโลภมูลจิตเท่าไหร่ (โลภะมูลจิตมี ๘) อะไรบ้าง (จำชื่อไม่ได้) ไม่ใช่ เป็นความจริง โลภะเกิดขึ้นมีทิฏฐิเกิดรวมด้วยหรือไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย มีจำนวนเท่าไหร่ เห็นไหมไม่ได้อยู่ในตำราเมื่อตอบคำถามง่ายๆ เร็วๆ แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปคิดถึงสิ่งที่อยู่ในตำรา จิตเกิดขึ้นโดยไม่มีทิฏฐิได้ไหม
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้คืออะไร จิตสามารถเกิดขึ้นโดยไม่มีทิฏฐิได้ไหม (เกิดขึ้นพร้อมอุเบกขา) ดิฉันไม่ได้ถามอย่างนั้น ดิฉันถามว่าเกิดได้หรือเกิดไม่ได้ (เกิดได้) เมื่อไหร่ ไม่ใช่อยู่ในหนังสือ ทำไมถึงตอบว่าอุเบกขาในเมื่ออุเบกขาสามารถเกิดกับกุศลได้ด้วย เห็นไหม นี้จึงดูเหมือนการศึกษาตำราแต่ไม่มีความเข้าใจที่ละเอียดในธรรมในขณะที่กำลังมีธรรม เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงก็จะมีขณะที่สามารถตอบคำถามได้โดยนัยต่างๆ โดยนัยของจิต โดยนัยของเจตสิก ฯลฯ
- ด้วยเหตุนี้การศึกษาความจริงไม่ใช่ ไม่ใช่ตามคำในหนังสือ แต่แต่ละคำมุ่งหมายถึงสิ่งที่มีจริงขณะนี้ มิฉะนั้นก็ดับไปหมด เมื่อไม่ได้พูดถึง คิดถึง ไม่มีความเข้าใจมนสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันเดี๋ยวนี้ ด้วยเหตุนี้แม้คำเดียว จิตเดียว หรือเจตสิกเดียวก็ต้องศึกษาอย่างละเอียดลึกซึ้งว่า ทำไมถึงมีปัจจัยให้เกิดขึ้นและทำไมถึงไม่มีปัจจัยให้เกิด ไม่อย่างนั้นไม่ใช่การศึกษาธรรมที่กำลังเดี๋ยวนี้เลย เพราะว่าธรรมคือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตรงนี้
- (คุณแอน - คุณโซฮาน ทิฏฐิเกิดพร้อมเห็นหรือเปล่า) (เกิดไม่ได้) (คุณแอน - เพราะฉะนั้นทิฏฐิไม่ได้เกิดกับจิตทุกดวง ทิฏฐิไม่ได้เกิดกับได้ยิน ลิ้มรส หรือรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทิฏฐิเกิดกับชวนจิตหรือเปล่า (เกิด) ทุกครั้งไหม (ไม่) แล้วความไม่รู้หล่ะ (ความไม่รู้เกิดกับทิฏฐิได้)
- (คุณสุคิน - จากอกุศลจิตทั้งหมด มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่) (มี ๔) เกิดกับโทสะได้ไหม (ได้) ขอท่านอาจารย์ช่วย)
- เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดถึงทิฏฐิวิปลาสสำหรับทุกคนไม่ใช่เฉพาะคุณโซฮาน ใช่ไหม ดังนั้นจึงมีอาสวะ ๔ แต่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงทิฏฐาสวะใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นทิฏฐาสวะเป็นเจตสิกไหม มีจริงไหม (มีจริง) แม้ขณะนี้มีทิฏฐาสวะไหม เห็นไหม แม้ว่ามีก็ไม่ปรากฏเพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้ มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงแสดงธรรมที่ลึกซึ้ง เพราะว่าไม่ได้มีแค่สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้เท่านั้นแต่มีจิตอื่นๆ ด้วย สัมปฏิจฉันนะจิต สันตีรณจิต ชวนจิต ฯลฯ แต่มีเพียงสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้เท่านั้นที่ปรากฏทาง ๖ ทวารทีละทวาร
- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาหนทางที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งของความจริงของสิ่งที่มี ทิฏฐิเกิดพร้อมอวิชชาใช่ไหม ด้วยความติดข้องแต่ไม่สามารถเกิดกับโทสะได้ เมื่อโทสะเกิดขึ้นไม่มีใครชอบโทสะ ไม่มีใครยินดีติดข้องในโทสะเลย ด้วยเหตุนี้ทิฏฐิจึงยึดถือในความเห็นที่ผิดซึ่งไม่สามารถเกิดพร้อมโทสะแต่เกิดพร้อมโลภะและอวิชชาแต่ลึกซึ้งมากเพราะไม่ใช่จิตทุกดวงที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดพร้อมอาวสะจึงไม่มีใครรู้ จิตก่อนเห็นรู้ไม่ได้ จิตหลังเห็นรู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สามารถปรากฏให้รู้แต่ยังไม่รู้คือเห็น ขณะเห็นก็มีเจตสิกแต่มีเพียงนิมิตของเห็นของที่ปรากฏให้รู้ได้เท่านั้น ไม่ใช่นิมิตของสัมปฏิจฉันนะหรือนิมิตของจิตอื่นๆ
- เพราะฉะนั้นความไม่เข้าใจเห็น มีจิตที่เกิดในระหว่างนั้นเช่น สัมปฏิจฉันนะและสันตีรณะไม่ปรากฏแต่มี ละเอียดอย่างยิ่งที่ยึดถือเห็นว่าเป็นเราเห็น ถูกไหม ไม่มีใครรู้ขณะที่กำลังเห็นแต่เป็นเราเห็นไปแล้วเพราะว่าไม่ปรากฏแต่เป็น “เราเห็น” แล้ว เป็นระดับของอกุศลที่ละเอียดที่มีอาสวะเกิดร่วมด้วยเป็นทิฏฐาสวะ กามสวะ ภวาสวะก็มีด้วย อวิชชาสวะก็มีแต่ไม่ปรากฏเลย
- ด้วยเหตุนี้ยิ่งศึกษาความจริงมากเท่าไหร่ก็ละอุศลได้มากเท่านั้น ละความหวัง ละการรอคอยที่จะรู้ความจริงเพราะยังห่างไกลมาก ต้องเป็นความตรงและจริงใจต่อคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเท่านั้น พิจารณาแต่ละคำด้วยความละเอียดรอบคอบว่าจริงไหม ใช่ไหม และสัจจะมีกำลังมากไม่เปลี่ยนเลยไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นสัจจบารมีในสิ่งที่กำลังมีว่าเป็ฯธรรมไม่มีใครทั้งสิ้น ต้องมั่นคงอย่างยิ่งจึงจะเป็นปัจจัยแก้รอบที่สองในการเข้าใจอริยสัจจะ
- ด้วยเหตุนี้ ทำไมจึงมีคำถาม ที่ถามเพื่อให้พิจารณาไตร่ตรองว่ามีความเข้าใจแค่ไหนในคำที่เราได้ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงที่ไม่ใช่คำ เพราะว่ากำลังมีธรรมที่เรากล่าวถึง เดี๋ยวนี้มีเห็น มีคิด ชอบ ไม่ชอบ มากกว่านั้น เมื่อเราเรียนสัจจะ เจตนา ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งซึ่งไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงนั้น
- เพราะฉะนั้นมีการไตร่ตรองพิจารณาแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความละเอียดรอบคอบ ธรรมที่รู้อารมณ์ ยกตัวอย่างด้วย ไม่ใช่แค่พูดว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” นี่เป็นรูป นั่นเป็นนาม แต่ว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรที่เป็นนาม เดี๋ยวนี้มีธรรมเท่าไหร่ เห็นไหม ละเอียดซับซ้อนมากใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดก็เป็นโลกของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอัตตา ไม่ใช่โลกของอนัตตา
- แต่ละ ๑ สภาพธรรมที่มีจริงทุกอย่างเป็นอนัตตา เพราะว่าจิตเห็นยังไม่ปรากฏความเป็นอนัตตาแต่ความจริงเห็นเป็นใครไม่ได้ เป็นของใครไม่ได้ เห็นแตกต่างจากสภาพธรรมอื่นๆ นี่เป็นหนทางเดียวที่จะละความไม่รู้และความติดข้องไปทีละเล็กทีละน้อยมากๆ แต่ละขณะ เพื่อเข้าใกล้ความจริง เพื่อไม่ลืมความจริงที่กำลังมีขณะนี้ ด้วยเหตุนี้เราจึงสนทนาสอบถามเพื่อให้พิจารณาว่า มีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ได้ศึกษามากน้อยแค่ไหน
- มิจฉาทิฏฐิเกิดกับจิตทุกขณะได้ไหม ไม่ต้องพูดถึงคำนั้นคำนี้จากบทนั้นบทนี้ในหนังสือ แต่หัวข้อไหนก็ได้ที่ได้ศึกษาเพื่อทดสอบความเข้าใจว่า มั่นคงพอไหม ถ้าไม่มีคำถามเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏมากแค่ไหน เพราะเดี๋ยวนี้กำลังเห็น ธรรมอื่นมีไหม สิ่งอื่นๆ ที่มีไม่ได้ปรากฏแต่สิ่งที่ปรากฏปรากฏโดยความเป็นนิมิตในขณะนั้นเท่านั้น นี้เป็นหนทางที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ศึกษาเพื่อความมั่นคงไม่ลืมว่า ไม่มีใคร มิฉะนั้นจะค่อยๆ สามารถที่จะละความคิดว่าเป็นเรา เป็นใครหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร
- เพราะฉะนั้นเรารวมสิ่งที่เราได้ฟังได้ศึกษามาทั้งหมดด้วยการถามคำถาม เพราะฉะนั้นคำถามเกี่ยวกับทิฏฐิ จิตอะไรเกิดกับทิฏฐิ (คุณโซฮาน - โลภมูลจิต) เสมอไหม ถ้าไม่ถูกถามก็อาจจะคิดว่าเกิดร่วมด้วยเสมอ เมื่อมีคำถามก็เป็นโอกาสที่จะได้ไตร่ตรองอีก
- ทิฏฐิเกิดกับอวิชชาเสมอหรือไม่ (ไม่) คำถามถามว่าอะไร (ทิฏฐิเกิดกับโลภะทุกครั้งไหม) ฟังคำถามอีกครั้งทิฏฐิเกิดกับอวิชชาเสมอหรือไม่ (ไม่) ถูกไหมคุณแอน (คุณแอน - เมื่อโมหะเกิดไม่มีทิฏฐิทุกครั้ง แต่เมื่อทิฏฐิเกิดต้องมีโมหะทุกครั้ง แล้วทำไมโทสะไม่เกิดกับทิฏฐิ แต่โทสะเกิดกับอวิชชา)
- คุณแอนชอบความคิดนี้หรือชอบความคิดนั้น เมื่อไม่ชอบความคิดนี้ ยังยึดความคิดนี้ว่าเป็นความคิดของเราหรือเปล่าถ้าไม่ชอบความคิดนี้ (ไม่จำเป็น) สิ่งที่ผิดยังยึดสิ่งนั้นไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นเมื่อมีความคิดนั้น ไม่ใช่เราไม่ชอบความคิดนั้น ความเห็นผิดสามารถเกิดได้พร้อมการยึดถือเท่านั้นเพราะเรายึดเราชอบความคิดนั้น แต่ถ้าไม่ชอบความคิดนั้นก็ไม่เอา (ใช่ เพราะเราไม่ต้องการ) ด้วยเหตุนี้ทิฏฐิจึงไม่เกิดกับโทสะ
- (คุณแอน - ก่อนหน้านี้คิดว่านั่นเป็นความคิดของเรา คือโลภะไหม) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นทิฏฐิจึงเกิดกับโลภะเสมอและเกิดกับอวิชชาหรือโมหะไหม (เกิดบางครั้ง) หมายความว่าอะไรบางครั้ง (อวิชชาไม่ได้เกิดกับทิฏฐิเสมอ) โมหะคืออวิชชา ถ้าไม่มีโมหะก็ไม่มีทิฏฐิ (เพราะฉะนั้นทิฏฐิเกิดกับโมหะ) และโมหะเกิดกับอกุศลทุกประเภท (แต่โมหะเกิดโดยไม่มีทิฏฐิด้วยก็ได้) ใช่ แต่ทิฏฐิเกิดกับโมหะ โมหะเกิดกับโทสะขณะนั้น โมหะไม่เกิดกับทิฏฐิ
- และนั้นเป็นคำถามของคุณโซฮานเกี่ยวกับทิฏฐิใช่ไหม วันนี้เราจะสนทนาเรื่องทิฏฐิ เดี๋ยวนี้มีทิฏฐิไหม ถามทุกคน (คุณสุคิน - ความจริงคือกำลังมีทิฏฐิแต่ไม่รู้) ด้วยเหตุนี้จึงมีทิฏฐาสวะ เราต้องรู้ว่าเป็นทิฏฐิระดับไหน ระดับที่เกิดแต่ไม่รู้เลย แต่เป็นเราตลอดเวลา เรากำลังนั่ง เรากำลังเห็น ด้วยเหตุนี้จึงมีอกุศลระดับที่เป็นอาสวะ ไม่ปรากฏเลยแต่มี เพราะฉะนั้นอาสวะสามารถดับได้ด้วยความรู้ระดับขั้นที่ตรัสรู้เท่านั้น อาสวะไม่ปรากฏเพราะฉะนั้นเราได้รู้เพียงมีความคิดว่า ชีวิตยืนยาวซึ่งไม่ถูก (คุณแอน - เช่นเราควบคุมชีวิตได้) ใช่
- ด้วยเหตุนี้การกล่าวถึงสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด สามารถที่จะมั่นคงขึ้นได้ว่าไม่ใช่เราและเมื่อธรรมนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เกิดกับโทสะและเกิดกับความรู้สึกที่เป็นสุขหรือความรู้สึกเฉยๆ ทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจขณะที่เป็นทิฏฐิ ด้วยเหตุนี้โลภะมูลจิตมีกี่ดวง ถ้าเราไม่พูดถึงเดี๋ยวนี้ เราก็เพียงจำได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ ชื่ออะไรบ้าง แตเมื่อเรากำลังพูดถึงสิ่งนี้เป็นกิเลสที่มีหลายระดับ
- เพราะฉะนั้นมีทิฏฐานุสัยไหม (คุณสุคิน - มีทุกขณะ) (คุณแอน - มีทุกขณะจิตแต่ไม่ปรากฏ) ตราบเท่าที่ยังไม่ดับอนุสัย ตราบใดที่บุคคลนั้นยังเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นเราสนทนาทิฏฐิโดยนัยของอนุสัย โดยนัยของอาสวะ และโดยนัยของอะไรอีกหลายนัย
- (คุณสุคิน - สงสัยว่าขณะที่สนทนาธรรม มีกิเลสระดับที่มากกว่าอาสวะ มากกว่าทิฏฐาสวะไหม) เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ (ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ) แต่ว่ามีสภาพธรรมมากมายที่ไม่ปรากฏใช่ไหม สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ปัญจทวาราวัชชะ ฯลฯ จิตเหล่านี้ไม่ปรากฏ เพราะปรากฏได้ทางทวารเดียวเท่านั้นใช่ไหม และอาสวะเดี๋ยวนี้ มีอาวสะไหม มีอนุสัยไหม (จากที่ได้ศึกษา ทราบว่าขณะที่เห็นไม่มีอาสวะ แต่หลังเห็น ๓ ขณะอาสวะเกิดได้) เพื่อให้เห็นความต่างของปุถุชนกับพระโสดาบัน
- (คุณสุคิน - เข้าใจว่า ในขณะที่สนทนาธรรมเดี๋ยวนี้ไม่ได้มีแค่อาสวะต้องมีกิเลสที่มากกว่าอาวสะ เช่น กำลังมองไปที่จอเห็นคุณอัลแบร์โต้กระพริบตา มีเราที่กำลังเห็น กำลังมองจอ นี้มากกว่าอาสวะใช่ไหม) แน่นอน เพราะว่ารู้ แต่อาสวะที่มีรู้ไม่ได้ เพราะต้องมีวิธีจิตทางตาเกิดขึ้นมากมายกว่าที่จะเป็นผมแต่ละเส้น ยังไม่ถึงจมูกเลยแค่คิ้วเท่านั้น ประมาณไม่ได้เลยว่าจิตเกิดดับเร็วมากขนาดไหน แม้มีอาสวะก็ไม่ปรากฏ (จากอาสวะสิ่งที่เกิดตามมามากกว่าอาสวะ อาจจะเป็นโลภมูลจิตที่ประกอบหรือไม่ประกอบด้วยทิฏฐะ อาจจะเป็นภวาสวะ)
- ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงระดับที่ต่างๆ กันของโลภะ เมื่อชอบหรือไม่ชอบแต่มากกว่านั้นขณะที่มีเห็น คุณอาจจคิดว่าไม่ได้ชอบอะไรเพราะความชอบนั้นเป็นระดับที่ไม่ปรากฏ แต่ความยึดถือในอารมณ์นั้นเกิดขึ้นปรากฏแล้วโดยไม่รู้ เป็นเพราะอวิชชา สิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วด้วยความไม่รู้ซึ่งเป็นอริยสัจจะที่ ๒
- และเมื่อมีความเข้าใจในขั้นปริยัติเดี๋ยวนี้เป็นปริยัติเมื่อเข้าใจแต่ยังไม่ใช่การระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ เช่น แข็ง มีขณะที่แข็งแต่ไม่มีความเข้าใจตรงแข็งว่าเป็นธรรมเดี๋ยวนี้ และมีความเข้าใจแข็งไม่ว่าจะอยู่ในห้องหรือที่ไหน เมื่อกระทบอะไรก็ตามที่แข็งแล้วระลึกได้ก็รู้ นั่นคือความเข้าใจถูกแล้วละไม่ว่าจะระดับไหน อนุสัย อาสวะ ฯลฯ โดยไม่ต้องนำไปใช้ไม่ว่าจะระดับไหน ความเข้าใจเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วทีละน้อยๆ ไม่รู้เลยจนกว่าจะถึงขณะที่มีความเข้าใจตรงที่อบรมให้รู้เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น พูดถึงแข็ง มีแข็ง กล่าวถึงแข็งได้แต่ยังไม่ใช่ความเข้าใจตรงแข็ง การอบรมไม่ใช่แค่เพียงเริ่มต้นที่จะประจักษ์แจ้งความจริง แต่ต้องเป็นเวลาที่ยาวนานมากในการอบรมความเข้าในแต่ละขั้น แม้ในขั้นปฏิปัตติและปฏิเวธ
- ชัดเจนไหมคุณโซฮาน ค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้นในสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏแม้ไม่ปรากฏแต่เรากำลังสนทนาถึงขณะนี้ (คุณสุคิน - ถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคง ความเข้าใจถูกก็ไม่สามารถถึงตรงลักษณะได้) เรา อาสวะ อนุสัยมีแล้วใช่ไหมในแต่วัน แต่ว่าแต่ละอย่างไม่ปรากฏ
- แต่ละขณะที่เป็นไปคือ เมื่อรู้สิ่งที่ถูกรู้ แต่ไม่ต้องใส่ชื่ออาสวะ เริ่มที่จะเข้าใจลักษณะของเห็นจากการฟัง จากการพิจารณาไตร่ตรอง จากความเข้าใจที่มั่นคงเป็นปัจจัยให้ระลึกตรงพร้อมความเข้าใจถูกในเห็น ตามความเป็นจริงขณะนั้นไม่สามารถมีอะไรมาปรากฏด้วยได้เลยนอกจากเห็น ทั้งหมดหมดแล้วเมื่อเข้าใจชัดเจน ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ต่างขั้นกันที่จะตรงต่อความจริงในขั้นปริยัติ ขั้นปฏิบัติ ขั้นปฏิเวธ
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาส สัญญาวิปลาส เรากล่าวคำที่แสดงสภาพธรรมเพื่อรู้ความต่างระหว่างสัญญา จิตและทิฏฐิ
- (คุณแอน - จิตวิปลาสมีพิ้นฐานมาจากความเห็นผิดใช่ไหม) เมื่อสัญญาวิปาสจิตก็วิปาสเพราะสัญญากับจิตเกิดพร้อมกัน (สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อไม่มีความเข้าใจในสภาพธรรมหรือไม่ได้แม้แต่คิดถึงสภาพธรรม ก็วิปลาสทั้งหมด)
- (คุณสุคิน - คุณแอนหมายถึงเว้นขณะที่เกิดขึ้นเป็นกุศลใช่ไหม และแน่นอนขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสด้วย ประเด็นคือ เพราะอกุศลเกิดมากและรวดเร็วมาก แทบจะกล่าวได้ว่าอาสวะเกิดแทบจะทันทีที่เห็นจนเหมือนว่า แทบจะเกิดตลอดเวลาและมากจนเห็นผิดในเห็น เห็นผิดในได้ยิน หรือว่าอาจจะไม่ได้เห็นผิดในเห็นแต่อกุศลที่เกิดตามมาแทบจะทันทีก็เป็นเหตุให้ขณะที่เห็นก็เป็นเราเห็น ขณะที่ได้ยินก็เป็นเราได้ยิน)
- (คุณแอน - เห็นด้วย เราเคยสนทนาเรื่องฝันว่าในชีวิตประจำวันเป็นความฝันไม่มีธรรมเลย แต่จริงๆ มีสภาพธรรมมากมายแต่ไม่มีการระลึกรู้ถึงสภาพธรรมเลย)
- (คุณสุคิน - เพราะฉะนั้นเริ่มต้นด้วยความเข้าใจว่า ไม่มีเราแต่จริงๆ เป็นเพียงสภาพธรรมเท่านั้น) (คุณแอน - ถูกต้อง เริ่มด้วยความรู้ในขั้นปริยัติจนกว่าจะกระเทาะเปลือกไข่ออกไปได้)
- (คุณริท - เป็นประเด็นที่ดีมากที่คุณโซฮานนำมาถาม เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงแค่วิปลาส ๓ แต่ละเอียดลงไปกว่านั้นทรงแสดงวิปาส ๓ ในอาการ ๔ คือ วิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง วิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข วิปลาสในอนัตตาว่าเป็นอัตตา และวิปลาสในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ในชีวิตประจำวันวิปลาสเกิดขึ้นรวดเร็ว อยากเข้าใจเพิ่มขึ้นในวิปลาส ๑๒ ด้วย)
- (คุณสุคิน - สิ่งที่คุณริทกล่าวถึงคือทิฏฐิวิปลาส และแน่นอนเมื่อมีทิฏฐิวิปลาส จิตก็วิปลาส สัญญาก็วิปลาส ดังนั้นกล่าวได้ว่า ขณะที่เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยงขณะนั้นเป็นทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาสและสัญญาวิปลาส และเมื่อเป็นเราขณะนั้นก็เป็นทิฏฐิ สัญญาและจิตที่วิปลาส เป็นวิปลาส ๓ ในอาการ ๔ อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไป ขณะที่เป็นโมหะแม้ไม่มีทิฏฐิ แต่จิตก็วิปลาส สัญญาก็วิปลาส)
- และนี่เป็นปริยัติ ถ้าไม่มีปริยัติจะถึงขณะที่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม ๑ เท่านั้นไม่ได้ เข้าใจความลึกซึ้งของสภาพธรรมมากเท่าไหร่ก็ละความยึดถือ ความติดข้องต้องการที่จะไปรู้มากเท่านั้น เพราะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย
- (คุณแอน - และเป็นผลให้ความกังวลว่ายังไม่เข้าใจหรือว่ายังไม่รู้ลดลงไปมาก คิดว่ายิ่งความเข้าใจน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความกังวล และความพยายามที่จะไปเข้าใจมากเท่านั้น ความคาดหวังเกิดง่ายมากถ้าไม่เข้าใจ ไม่ได้หมายความว่าธรรมง่าย)
- (คุณสุคิน - หมายความว่า จะง่ายขึ้นถ้าเข้าใจผิดน้อยลง) (คุณแอน - แน่นอนถ้าเป็นอย่างนั้นก็ช่วยให้ง่ายขึ้น ความเข้าใจธรรมไม่ง่ายแต่การไม่พยายามที่จะไปทำความเข้าใจหรือพยายามทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นนั้นง่ายกว่ามาก)
- (สุคิน - เพราะว่าความเข้าใจที่มากขึ้นเข้าใจว่า ธรรมละเอียดมากลึกซึ้งมากกว่าที่เราคิด) (คุณแอน - ความเข้าใจค่อยๆ ละคลาย เพราะเป็นหน้าที่ของสภาพธรรมแทนที่จะไปพยายามทำให้เกิดขึ้นและไม่ง่ายเลยเพราะละเอียดและลึกซึ้ง ไม่สามารถไปทำอะไรได้นอกจากฟัง ไตร่ตรองพิจารณาและเป็นหน้าที่ของปัญญาที่จะทำกิจ มีเส้นบางๆ ระหว่างขี้เกียจกับพยายามให้เกิดขึ้นเร็วๆ ต้องเป็นทางสายกลาง)
- (คุณสุคิน - และถ้าลองเทียบกัน การฟังธรรมง่ายกว่าการไปสำนักปฏิบัติ)
- และนี้เป็นสัจจบารมีท่ามกลางบารมีอื่นๆ ด้วย เพราะฉะนั้นบารมีคือเดี๋ยวนี้
- (คุณริท - ทำไมพระอรหันต์เท่านั้นที่ดับวิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุขได้ แม้พระอนาคามีก็ไม่สามารถดับจิตวิปลาสในสิ่งที่เป็นสุขได้)
- ใครดับทุกขวิปลาส (พระอรหันต์) เพราะฉะนั้นพระอนาคามีดับอะไร (ดับจิตวิปลาส และสัญญาวิปลาส ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม) และพระโสดาบันดับอะไร ด้วยเหตุนี้เราควรสนทนาธรรมแต่ละ ๑ ทีละ ๑ ธรรมเพื่อให้เข้าใจชัดเจน
- (คุณสุคิน - ไม่แน่ใจคำถามของคุณริทเพราะไม่เคยได้ยินคำถามนี้มาก่อน แต่คิดว่าพระอนาคามียังมีโลภะมูลจิตแต่ไม่แน่ใจว่ายังติดข้องในความรู้สึกที่เป็นสุขหรือไม่)
- พระอนาคามียังมีภวาสวะแต่ไม่มีความติดข้องในวัตถุกาม ดิฉันคิดว่า ไม่ใช่เพียงเข้าใจคำแต่เข้าใจความจริง พระโสดาบันดับอะไร อกุศลระดับไหน ไม่มีความเห็นผิดอีกเลยใช่ไหม ไม่มีความเห็นผิดว่าสิ่งนั้นเที่ยงเพราะความจริงสิ่งนั้นไม่เที่ยง ประจักษ์แจ้งความไม่เที่ยง ประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมโดยนิมิต
- เพราะฉะนั้นพระโสดาบันดับอะไร (คุณแอน - ดับความเห็นผิดว่าเป็นเรา) และอะไรอีก (คุณริท - ทิฏฐิปลาสทั้งหมด) และ (สักกายทิฏฐิ) ไม่ว่าทิฏฐิประเภทไหนพระโสดาบันดับได้ทั้งหมด (สุคิน - พระโสดาบันดับจิตวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยงและสัญญาที่จำผิดก็ดับด้วย) เจตสิกที่เกิดกับความเห็นผิดดับด้วยทั้งหมด ไม่เกิดในระดับนั้นอีกเลย
- ด้วยเหตุนี้ไม่ใช่แค่คำแต่เข้าใจ เพราะฉะนั้นพระโสดาบันไม่มีความเห็นผิดในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใช่ไหม แต่ยังมีความติดข้องในวัตถุกามแต่ไม่มีความเห็นผิด (คุณแอน - ไม่มีมานะ) ด้วยเช่นกัน ดับสิ่งที่เกิดกับความเห็นผิดไม่ว่าเจตสิกอะไรที่เกิดกับความเห็นผิดไม่สามารถเกิดได้อีกเลย เพราะไม่มีความเห็นผิดในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสามอย่าง
- แต่ยังเหลือวิปลาสอะไร วิปลาสที่ยินดีหรือติดข้องในกามอารมณ์ แม้รู้ว่าไม่เที่ยงแต่ยังงามและเป็นปัจจัยให้ชอบในสิ่งที่เป็นกามอารมณ์จนกว่าจะถึงความเป็นพระอนาคามีซึ่งไม่มีปัจจัยให้ยึดถือ ติดข้องต้องการในกามอารมณ์อีกต่อไป แต่ยังมีอวิชชาสวะและภวาสวะ แต่ไม่มีกามาสวะและทิฏฐาสวะ และนี้คือความต่างระหว่างพระอนาคามีกับพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่คำแต่เข้าใจความจริง
- สวัสดีค่ะ
ต้องเคารพจริงๆ ในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าลึกซึ้ง พระองค์ตรัส คิดดู แล้วจะเปลี่ยนธรรมได้อย่างไร เพียงแค่ค่อยๆ ฟังไปค่อยๆ เข้าใจไปค่อยๆ เห็นความเป็นอนัตตา เพราะเพียงผิดจากอนัตตาเป็นอัตตาทันที
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบเท้าท่านบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ยินดีในส่วนกุศลของผู้ร่วมสนทนาและผู้รับฟังทุกท่าน
กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในความอนุเคราะห์และในคุณความดีทุกประการครับ