๑. ยุคนัทธกถา ว่าด้วยมรรค ๔
โดย บ้านธัมมะ  26 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40962

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 449

ยุคนัทธวรรค

๑. ยุคนัทธกถา

ว่าด้วยมรรค ๔ หน้า 449

อรรถกถายุคนัทธกถา หน้า 463

อรรถกถาสุตตันตนิเทศ หน้า 468

อรรถกถาธัมมุทธัจจวารนิเทศ หน้า 473


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 449

ยุคนัทธวรรค

ยุคนัทธกถา

ว่าด้วยมรรค ๔

[๕๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.

สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี ณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์อรหัตในสำนักข้าพเจ้า ด้วยมรรค ๔ ทั้งหมดหรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง มรรค ๔ เป็นไฉน.

ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะอันมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 450

อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีใจนึกถึงโอกาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ (ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไว้) สมัยนั้น จิตย่อมตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ มรรคย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์อรหัตในสำนักข้าพเจ้า ด้วยมรรค ๔ นี้ทั้งหมดหรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง.

[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร.

ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น.

ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ (ย่อมเจริญ) มี ๔ อย่าง คือภาวนาด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑ ด้วยอรรถว่า อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่า นำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ธรรมที่ไม่ล่วงเกินกัน ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ ๑.

คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร.

สัมมาทิฏฐิด้วยอรรถว่า เห็น เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาสังกัปปะด้วยอรรถว่า ดำริ เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาวาจาด้วยอรรถว่า กำหนด เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมากัมมันตะด้วยอรรถว่า เป็นสมุฏฐาน เป็นมรรคย่อมเกิด


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 451

สัมมาอาชีวะด้วยอรรถว่า ผ่องแผ้ว เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาวายามะด้วยอรรถว่า ประคองไว้ เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาสติด้วยอรรถว่า ตั้งมั่น เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาสมาธิด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคย่อมเกิด มรรคย่อมเกิดอย่างนี้.

คำว่า ย่อมเสพ ในคำว่า ภิกษุนั้นย่อมเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น ดังนี้ ความว่า ย่อมเสพอย่างไร.

ภิกษุนั้น นึกถึงอยู่ชื่อว่า เสพ รู้อยู่ชื่อว่า เสพ เห็นอยู่ชื่อว่า เสพ พิจารณาอยู่ชื่อว่า เสพ อธิฐานจิตอยู่ชื่อว่า เสพ น้อมจิตไปด้วยศรัทธาชื่อว่า เสพ ประคองความเพียรไว้ชื่อว่า เสพ ตั้งสติไว้มั่นชื่อว่า เสพ ตั้งจิตไว้อยู่ชื่อว่า เสพ ทราบชัดด้วยปัญญาชื่อว่า เสพ รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งอยู่ชื่อว่า เสพ กำหนดรู้ซึ่งธรรมที่ควรกำหนดรู้ชื่อว่า เสพ ละธรรมที่ควรละชื่อว่า เสพ เจริญธรรมที่ควรเจริญชื่อว่า เสพ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่า เสพ ย่อมเสพอย่างนี้.

คำว่า เจริญ ความว่า เจริญอย่างไร.

ภิกษุนั้นนึกถึงอยู่ชื่อว่า เจริญ ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่า เจริญ ย่อมเจริญอย่างนี้.

คำว่า ทำให้มาก ความว่า ทำให้มากอย่างไร.

ภิกษุนั้นนึกถึงอยู่ชื่อว่า ทำให้มาก ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่า ทำให้มาก ทำให้มากอย่างนี้.

คำว่า เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ความว่า ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างไร.


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 452

ย่อมละสังโยชน์ ๓ นี้ คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อนุสัย ๒ นี้ คือทิฏฐิอนุสัย วิจิกิจฉาอนุสัย ย่อมสิ้นไปด้วยโสดาปัตติมรรค.

ย่อมละสังโยชน์ ๒ นี้ คือกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ ส่วนหยาบๆ อนุสัย ๒ นี้ คือกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆ ย่อมสิ้นไปด้วยสกทาคามิมรรค.

ย่อมละสังโยชน์ ๒ นี้ คือกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ ส่วนละเอียดๆ อนุสัย ๒ นี้ คือกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆ ย่อมสิ้นไปด้วยอนาคามิมรรค.

ย่อมละสังโยชน์ ๕ นี้ คือรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา อนุสัย ๓ นี้ คือมานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย ย่อมสิ้นไปด้วยอรหัตมรรค ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อย่างนี้.

[๕๓๖] ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความไม่พยาบาทเป็นสมาธิ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งอาโลกสัญญาเป็นสมาธิ ฯลฯ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก เป็นสมาธิ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น.

ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ (ย่อมเจริญ) นี้มี ๔ อย่าง คือภาวนาด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ฯ ภาวนาด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ.

คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 453

สัมมาทิฏฐิด้วยอรรถว่า เห็น เป็นมรรคย่อมเกิด ฯ มรรคย่อมเกิดอย่างนี้.

คำว่า ย่อมเสพ ในคำว่า ภิกษุนั้นย่อมเสพ ฯลฯ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น ความว่า ย่อมเสพอย่างไร.

ภิกษุนึกถึงอยู่ชื่อว่า เสพ รู้อยู่ชื่อว่า เสพ ฯ ทำให้แจ้งซึ่งมรรคที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่า เสพ ย่อมเสพอย่างนี้.

คำว่า ย่อมเจริญ ความว่า ย่อมเจริญอย่างไร.

ภิกษุนึกถึงอยู่ชื่อว่า เจริญ รู้อยู่ชื่อว่า เจริญ ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่า เจริญ ย่อมเจริญอย่างนี้.

คำว่า ทำให้มาก ความว่า ย่อมทำให้มากอย่างไร.

ภิกษุนึกถึงอยู่ชื่อว่า ทำให้มาก รู้อยู่ชื่อว่า ทำให้มาก ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่า ทำให้มาก ย่อมทำให้มากอย่างนี้.

คำว่า เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งธรรมนั้นอยู่ ย่อมละ สังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ความว่า ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างไร.

ย่อมละสังโยชน์ ๓ นี้ คือ ฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อย่างนี้.

ภิกษุย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างนี้.

[๕๓๗] ภิกษุนั้นย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างไร.

วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดในวิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์ เพราะความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านเป็นสมาธิ ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น.


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 454

ในคำว่า ย่อมเจริญ นี้ ภาเวติ (ภาวนา) มี ๔ อย่าง คือภาวนาด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ฯ ภาวนาด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ.

คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯ มรรค ย่อมเกิดอย่างนี้ ฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้.

วิปัสสนา ด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นเป็นอารมณ์ และความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านเป็นสมาธิ ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น.

ในคำว่า ย่อมเจริญ นี้ ภาเวติ (ภาวนา) มี ๔ อย่าง คือภาวนาด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ฯ ภาวนาด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ.

คำว่า มรรคย่อมเกิด ฯ มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้.

วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯ ชราและมรณะ โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นเป็นอารมณ์ และความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านเป็นสมาธิ ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น.

ในคำว่า ย่อมเจริญ นี้ ภาเวติ (ภาวนา) มี ๔ อย่าง ฯ.

คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯ มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ ภิกษุย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างนี้.

[๕๓๘] ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปอย่างไร.


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 455

ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป ด้วยอาการ ๑๖ คือด้วยความเป็นอารมณ์ ๑ ด้วยความเป็นโคจร ๑ ด้วยความละ ๑ ด้วยความสละ ๑ ด้วยความออก ๑ ด้วยความหลีกไป ๑ ด้วยความเป็นธรรมสงบ ๑ ด้วยความเป็นธรรมประณีต ๑ ด้วยความหลุดพ้น ๑ ด้วยความไม่มีอาสวะ ๑ ด้วยความเป็นเครื่องข้าม ๑ ด้วยความไม่มีนิมิต ๑ ด้วยความไม่มีที่ตั้ง ๑ ด้วยความว่างเปล่า ๑ ด้วยความเป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยความไม่ล่วงเกินกันและกัน ๑ ด้วยความเป็นคู่กัน ๑.

ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยอารมณ์อย่างไร.

เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นอารมณ์ เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นอารมณ์ ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความเป็นอารมณ์ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความเป็นอารมณ์.

ในคำว่า ย่อมเจริญ นี้ ภาเวติ (ภาวนา) มี ๔ อย่าง ฯ ภาวนาด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ.

คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯ มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความเป็นอารมณ์ อย่างนี้.

ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความเป็นโคจรอย่างไร.

เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความเป็นโคจร เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความเป็นโคจร.


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 456

[๕๓๙] ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความละอย่างไร.

เมื่อภิกษุละกิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะเเละขันธ์ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละกิเลสอันประกอบด้วยอวิชชาและขันธ์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความละ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันด้วยความละ.

ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความสละอย่างไร.

เมื่อภิกษุสละกิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะและขันธ์ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุสละกิเลสอันประกอบด้วยอวิชชาและขันธ์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความสละ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความสละ.

ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความออกอย่างไร.

เมื่อภิกษุออกจากกิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะและขันธ์ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุออกจากกิเลสอันประกอบด้วยอวิชชาและจากขันธ์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการฉะนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความออก เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความออก.

ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความหลีกไปอย่างไร.


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 457

เมื่อภิกษุหลีกไปจากกิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะและจากขันธ์ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุหลีกไปจากกิเลสอันประกอบด้วยอวิชชาและจากขันธ์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความหลีกไป เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความหลีกไป.

[๕๔๐] ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความเป็นธรรมสงบอย่างไร.

เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมสงบ มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น เป็นธรรมสงบ มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความเป็นธรรมสงบ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความเป็นธรรมที่สงบ.

ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความเป็นธรรมประณีตอย่างไร.

เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมประณีต มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น เป็นธรรมประณีต มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการฉะนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความเป็นธรรมประณีต เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความเป็นธรรมประณีต.


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 458

ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความหลุดพ้นอย่างไร.

เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นความหลุดพ้น มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น เป็นความหลุดพ้น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ ชื่อว่า เจโตวิมุตติ เพราะสำรอกราคะ ชื่อว่า ปัญญาวิมุตติ เพราะสำรอกอวิชชา ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความหลุดพ้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความหลุดพ้น.

[๕๔๑] ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความไม่มีอาสวะอย่างไร.

เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมไม่มีอาสวะด้วยกามาสวะ มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น เป็นธรรมไม่มีอาสวะด้วยอวิชชาสวะ มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความไม่มีอาสวะ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นของคู่กันไปด้วยความไม่มีอาสวะ.

ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความเป็นเครื่องข้ามอย่างไร.

เมื่อภิกษุข้ามจากกิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะและจากขันธ์ทั้งหลาย สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุข้ามจากกิเลสอันประกอบด้วยอวิชชาและจากขันธ์ทั้งหลาย วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 459

เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความเป็นเครื่องข้าม เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะเเละวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความเป็นเครื่องข้าม.

ภิกษุเจริญสมถะเเละวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความไม่มีนิมิตอย่างไร.

เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมไม่มีนิมิตด้วยนิมิตทั้งปวง มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น เป็นธรรมไม่มีนิมิตด้วยนิมิตทั้งปวง มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความไม่มีนิมิต เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความไม่มีนิมิต.

ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความไม่มีที่ตั้งอย่างไร.

เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมไม่มีที่ตั้งด้วยที่ตั้งทั้งปวง มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น เป็นธรรมไม่มีที่ตั้งด้วยที่ตั้งทั้งปวง มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความไม่มีที่ตั้ง เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความไม่มีที่ตั้ง.

ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความว่างเปล่าอย่างไร.

เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมว่างเปล่าจากความยึดมั่นทั้งปวง มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น เป็นธรรมว่างเปล่าจากความยึดมั่นทั้งปวง มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความว่างเปล่า เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความว่างเปล่า.


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 460

ในคำว่า ย่อมเจริญ นี้ ภาเวติ (ภาวนา) มี ๔ คือภาวนาด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑ ด้วยอรรถว่า อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่า นำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ธรรมที่ไม่ล่วงเกินกัน ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ ๑.

คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯ มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยความว่างเปล่าอย่างนี้ ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปด้วยอาการ ๑๖ เหล่านี้ ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันไปอย่างนี้.

[๕๔๒] ใจที่นึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ ย่อมมีอย่างไร.

เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โอภาสย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงโอภาสว่า โอภาสเป็นธรรม เพราะนึกถึงโอภาสนั้น จึงมีความฟุ้งซ่านเป็นอุทธัจจะ ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ ย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความปรากฏโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีใจที่นึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ สมัยนั้นจิตที่ตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอก ผุดขึ้นตั้งมั่นอยู่.

มรรคย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯ มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้.

เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ (ความน้อมใจเชื่อ) ปัคคาหะ (ความเพียร) อุปัฏฐาน (ความตั้งมั่น) อุเบกขา นิกันติ (ความพอใจ) ย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงนิกันติ (ความพอใจ) ว่า ความพอใจเป็นธรรม เพราะนึกถึงความพอใจนั้น จึงมีความฟุ้งซ่านเป็น


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 461

อุทธัจจะ ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ ย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความปรากฏโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีใจนึกถึงความพอใจอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ สมัยนั้นจิตที่ตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่.

มรรคย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯ มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้.

เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ฯ เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นอนัตตา โอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐานะ อุเบกขา นิกันติ ย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงนิกันติ (ความพอใจ) ว่า ความพอใจเป็นธรรม เพราะนึกถึงความพอใจนั้น จึงมีความฟุ้งซ่านเป็นอุทธัจจะ ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ ย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความปรากฏโดยความเป็นอนัตตา โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีใจที่นึกถึงความพอใจอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ ฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้.

[๕๔๓] เมื่อภิกษุมนสิการรูปโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ฯ เมื่อภิกษุมนสิการรูปโดยความเป็นทุกข์ เมื่อภิกษุมนสิการรูปโดยความเป็นอนัตตา เมื่อภิกษุมนสิการเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯ ชราและมรณะ โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา โอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐานะ อุเบกขา นิกันติ ย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงนิกันติ (ความพอใจ) ว่า ความพอใจเป็นธรรม เพราะนึกถึงความพอใจนั้น จึงมีความฟุ้งซ่านเป็นอุทธัจจะ ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ ย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งชราและมรณะอันปรากฏโดยความเป็น


ความคิดเห็น 14    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 462

อนัตตา โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีใจที่นึกถึงความพอใจอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ สมัยนั้นจิตที่ตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่.

มรรคย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯ มรรคย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ ฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ ใจที่นึกถึงความพอใจอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้อย่างนี้.

จิตย่อมกวัดแกว่งหวั่นไหวเพราะโอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐานะ อาวัชชนูเบกขา (ความวางเฉยจากความนึกถึงอุเบกขา) และอุเบกขา (วิปัสสนูเบกขา) และนิกันติ ภิกษุนั้นกำหนดฐานะ ๑๐ ประการนี้ ด้วยปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้ฉลาดในความนึกถึงโอภาสเป็นต้นอันเป็นธรรมฟุ้งซ่าน และย่อมไม่ถึงความหลงใหล จิตกวัดแกว่ง เศร้าหมอง และเคลื่อนจากจิตตภาวนา จิตกวัดแกว่ง เศร้าหมอง ภาวนาย่อมเสื่อมไป จิตบริสุทธิ์ ไม่เศร้าหมอง ภาวนาย่อมไม่เสื่อม จิตไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เศร้าหมอง และไม่เคลื่อนจากจิตตภาวนา ด้วยฐานะ ๔ ประการนี้ ภิกษุย่อมทราบชัดซึ่งความที่จิตหดหู่และฟุ้งซ่านถูกโอภาสเป็นต้นกั้นไว้ ด้วยฐานะ ๑๐ ประการ ฉะนี้แล.

จบยุคนัทธกถา


ความคิดเห็น 15    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 463

ยุคนัทธวรรค

อรรถกถายุคนัทธกถา

บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยกล่าวในยุคนัทธกถาอัน มีสูตรเป็นบทนำ อันพระอานนทเถระแสดงถึงคุณของยุคนัทธธรรม (ธรรมที่เทียมคู่) แห่งอริยมรรค อันเป็นคุณธรรมผ่องใสควรดื่มกล่าวแล้ว.

ก็เพราะพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชายังทรงพระชนม์ ได้ปรินิพพานในปีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชาเสด็จปรินิพพาน ฉะนั้น พึงทราบว่า เมื่อพระธรรมราชายังทรงพระชนม์อยู่นั่นเอง พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรสดับสูตรนี้ซึ่งพระอานนท์ผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริก (คลังพระธรรม) แสดงไว้เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้ว จึงกล่าวว่า เอวมฺเม สุตํ (ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้) ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อายสฺมา (ท่าน) เป็นคำพูดน่ารัก เป็นคำพูดแสดงความเคารพ เป็นคำพูดแสดงความมีคารวะ และความยำเกรง อธิบายว่า ผู้มีอายุ.

บทว่า อานนฺโท (พระอานนท์) เป็นชื่อของพระเถระนั้น เพราะพระเถระนั้นเมื่อเกิด ได้ทำความพอใจ ความยินดีอย่างมากในตระกูล ฉะนั้น พระเถระนั้นจึงได้ชื่อว่า อานนท์.

บทว่า โกสมฺพิยํ (กรุงโกสัมพี) ได้แก่ ใกล้นครมีชื่ออย่างนั้น เพราะนครนั้น มีต้นโกสุมขึ้นหนาแน่นในที่นั้นๆ มีสวนและสระโบกขรณีเป็นต้น ฉะนั้น นครนั้นจึงชื่อว่า โกสัมพี อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า เพราะฤษีกุสุมพะสร้างไว้ ไม่ไกลจากอาศรม.

บทว่า โฆสิตาราเม (ณ โฆสิตาราม) คือ ณ อารามที่โฆสิตเศรษฐีสร้างไว้.

ในกรุงโกสัมพี ได้มีเศรษฐี ๓ คน คือโฆสิตเศรษฐี กุกกุฏเศรษฐี ปาวาริกเศรษฐี เศรษฐีทั้ง ๓ นั้น ได้ฟังว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วในโลก จึงให้เตรียมอุปกรณ์ในการให้ทานด้วยเกวียน


ความคิดเห็น 16    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 464

คนละ ๕๐๐ เล่มไปกรุงสาวัตถี จัดที่พักใกล้พระเชตวัน แล้วไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคม นั่ง กระทำปฏิสันถาร ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล นิมนต์พระศาสดา ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขประมาณกึ่งเดือน แล้วหมอบลง ณ บาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเสด็จไปยังชนบทของตน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย พระตถาคตทั้งหลายย่อมยินดียิ่งในสุญญาคาร ครั้นทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ปฏิญญาแก่พวกเราแล้ว จึงยินดีอย่างยิ่ง ถวายบังคมพระทศพล ออกไปสร้างวิหารเพื่อเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้าในที่โยชน์หนึ่งๆ ในระหว่างทางถึงกรุงโกสัมพีโดยลำดับ ทำการบริจาคทรัพย์เป็นอันมากในอารามของตนๆ แล้วสร้างวิหารทั้งหลายถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเศรษฐีเหล่านั้น โฆสิตเศรษฐีสร้างอารามชื่อว่า โฆสิตาราม กุกกุฏเศรษฐีสร้างอารามชื่อว่า กุกกุฏาราม ปาวาริกเศรษฐีสร้างในสวนอัมพวันชื่อว่า ปาวาริกัมพวัน ท่านกล่าวว่า โฆสิตเสฏินา การิเต อาราเม (ในอารามอันโฆสิตเศรษฐีสร้าง) หมายถึงโฆสิตารามนั้น.

ในบทว่า อาวุโส ภิกฺขเว (ดูก่อนภิกษุผู้อาวุโสทั้งหลาย) นี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเมื่อตรัสเรียกสาวกทั้งหลาย ย่อมตรัสเรียกว่า ภิกฺขโว ส่วนสาวกทั้งหลายคิดว่า เราจงอย่าเป็นเช่นกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายเลย จึงกล่าวว่า อาวุโส ก่อน แล้วจึงกล่าวว่า ภิกฺขโว ภายหลัง อนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรียก ภิกษุสงฆ์ย่อมรับว่า ภทนฺเต (พระเจ้าข้า) เมื่อสาวกเรียก ภิกษุสงฆ์รับว่า อาวุโส.

บทว่า โย หิ โกจิ (รูปใดรูปหนึ่ง) เป็นคำไม่แน่นอน ด้วยบทนี้ เป็นการหมายเอาภิกษุทั้งหมดเช่นนั้น.

บทว่า มม สนฺติเก (ในสำนักของข้าพเจ้า)


ความคิดเห็น 17    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 465

คือในที่ใกล้เรา.

บทว่า อรหตฺตปฺปตฺตํ (อรหัต) คือตนเองบรรลุพระอรหัต รูปสำเร็จเป็นนปุงสกลิงค์ หรือตัดบทว่า อรหตฺตํ ปตฺตํ (บรรลุซึ่งพระอรหัต) ความว่า พระอรหัตอันตนบรรลุแล้ว หรือปาฐะที่เหลือว่า ตนบรรลุพระอรหัตแล้ว.

บทว่า จตูหิ มคฺเคหิ ด้วยมรรค ๔ คือด้วยปฏิปทามรรค ๔ ซึ่ง ท่านจะกล่าวไว้ในข้างหน้า มิใช่ด้วยอริยมรรค เพราะท่านกล่าวไว้แผนกหนึ่ง ด้วยบทว่า จตูหิ มคฺเคหิ (ด้วยมรรค ๔) พึงทราบว่า ปฏิปทามรรคมี ๔ อย่างนี้ คือมรรคมีธรรมุทธัจจะเป็นเบื้องต้นแห่งอริยมรรค สำหรับพระอรหันต์บางรูป ๑ มรรคมีสมถะเป็นเบื้องต้นแห่งอริยมรรค ๑ มรรคมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นแห่งอริยมรรค ๑ มรรคมียุคนัทธธรรม (ธรรมที่เทียมคู่) เป็นเบื้องต้นแห่งอริยมรรค ๑.

บทว่า เอเตสํ วา อญฺตเรน (หรือด้วยมรรคเหล่านั้น มรรคใดมรรคหนึ่ง) คือหรือด้วยมรรคหนึ่งในบรรดาปฏิปทามรรค ๔ เหล่านั้น ความว่า พระอานนท์เถระพยากรณ์การบรรลุพระอรหัตด้วยปฏิปทามรรค.

จริงอยู่ เมื่อพระอรหันต์ผู้เป็นสุกขวิปัสสกบรรลุโสดาปัตติมรรค อันมีธรรมุทธัจจะเป็นเบื้องต้น แล้วบรรลุมรรค ๓ ที่เหลือด้วยวิปัสสนาล้วน การบรรลุพระอรหัตย่อมเป็นมรรค มีธรรมุทธัจจะเป็นเบื้องต้น การบรรลุพระอรหัตของพระอรหันต์ผู้มีมรรค ๔ อันตนบรรลุแล้วก็ดี ยังไม่บรรลุแล้วก็ดี ซึ่งธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ บรรลุแล้วด้วยสามารถแห่งปฏิปทามรรค ๓ มีสมถะเป็นเบื้องต้นเป็นต้นมรรคหนึ่งๆ ย่อมเป็นมรรคมีมรรคหนึ่งๆ นอกนี้ เป็นเบื้องต้น ฉะนั้น พระอานนทเถระจึงกล่าวว่า เอเตสํ วา อญฺตเรน.

บทว่า สมถปุพฺพงฺคมํ วิปสฺสนํ ภาเวติ (ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น) คือเจริญวิปัสสนาทำสมถะให้เป็นเบื้องต้น คือให้ไปถึงก่อน


ความคิดเห็น 18    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 466

ความว่า ยังสมาธิให้เกิดก่อน แล้วจึงเจริญวิปัสสนาภายหลัง.

บทว่า มคฺโค สญฺชายติ (มรรคย่อมเกิด) คือโลกุตรมรรค (ที่ ๑) ย่อมเกิดก่อน.

ในบท มีอาทิว่า โส ตํ มคฺคํ (ภิกษุนั้นย่อมเสพมรรคนั้น) ชื่อว่า การเสพเป็นต้นของมรรค (อริยมรรค) อันมีขณะจิตเดียว ย่อมไม่มี ภิกษุยังทุติยมรรคเป็นต้นให้เกิด ท่านกล่าวว่า ภิกษุเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น.

บทว่า สญฺโชนานิ ปหียนฺติ อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺติ (ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป) คือย่อมละสังโยชน์ทั้งปวงได้ตามลำดับตลอดถึงอรหัตมรรค อนุสัยย่อมสิ้นไป.

อนึ่ง บทว่า อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺติ (อนุสัยย่อมสิ้นไป) ความว่า อนุสัยปราศจากไป โดยไม่เกิดขึ้นอีก.

บทว่า ปุน จปรํ (อีกประการหนึ่ง) คือยังมีเหตุอื่นอีก.

บทว่า วิปสฺสนาปุพฺพงฺคมํ สมถํ ภาเวติ (ย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น) คือภิกษุเจริญสมถะ ทำวิปัสสนาให้เป็นเบื้องต้น คือให้ไปถึงก่อน ความว่า ยังวิปัสสนาให้เกิดก่อน แล้วจึงเจริญสมาธิภายหลัง.

บทว่า ยุคนทฺธํ ภาเวติ (เจริญคู่กันไป) คือเจริญทำให้คู่กันไป ในบทนี้ไม่อาจเข้าสมาบัติด้วยจิตนั้น แล้วพิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยจิตนั้น ได้แก่ ภิกษุนี้เข้าสมาบัติได้เพียงใด ย่อมพิจารณาถึงสังขารทั้งหลายได้เพียงนั้น พิจารณาถึงสังขารได้เพียงใด ย่อมเข้าสมาบัติได้เพียงนั้นอย่างไร.

ภิกษุเข้าปฐมฌาน ครั้นออกจากปฐมฌานนั้นแล้ว ย่อมพิจารณาสังขารทั้งหลาย ครั้นพิจารณาสังขารทั้งหลายแล้ว ย่อมเข้าทุติยฌาน ครั้นออกจากทุติยฌานนั้นแล้ว ย่อมพิจารณาสังขารทั้งหลาย ครั้นพิจารณาสังขารทั้งหลายแล้ว ย่อมเข้าตติยฌาน ฯ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ครั้นออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัตินั้นแล้ว ย่อมพิจารณาถึงสังขารทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ ภิกษุชื่อว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาอันเป็นธรรมคู่กันไป.


ความคิดเห็น 19    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 467

ในบทนี้ว่า ธมฺมุทฺธจฺจวิคฺคหิตมานสํ โหติ (มีใจนึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้) ได้แก่ อุทธัจจะ คือความฟุ้งซ่าน ด้วยบังเกิดจิตอันสหรคตด้วยอุทธัจจะ ด้วยสามารถแห่งหมุนไปในธรรม ๑๐ ประการ มีโอภาสเป็นต้น อันเป็นที่รู้กันว่า เป็นอุปกิเลสแห่งวิปัสสนา (วิปัสสนูปกิเลส) เพราะผู้เจริญวิปัสสนามีปัญญาอ่อน ชื่อว่า ธรรมุทธัจจะ มีใจอันธรรมุทธัจจะนั้นกั้นไว้ คือถือเอาผิดรูป ได้แก่ ให้ถึงความพิโรธ (ให้ถึงความผิดปกติ) ชื่อว่า มีใจนึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ หรือมีใจถูกธรรมุทธัจจะนั้นอันเป็นเหตุกั้นไว้ ด้วยความเกิดแห่งตัณหา มานะ ทิฏฐิอันมีธรรมุทธัจจะนั้นอันเป็นมูล ปาฐะว่า ธมฺมุทฺธจฺจวิคฺคหิตมานสํ ก็มี.

ด้วยบทนี้ว่า โหติ โส อาวุโส สมโย (สมัยที่) ดูก่อน อาวุโส สมัยนั้น พระอานนทเถระห้ามธรรมุทธัจจะนั้น ด้วยกำหนดมรรคและมิใช่มรรค แล้วแสดงถึงปฏิบัติวิถีแห่งวิปัสสนาอีก (แล้วแสดงถึงเวลาดำเนินไปสู่วิถีแห่งวิปัสสนาอีก).

บทว่า ยํ ตํ จิตฺตํ (จิตนั้นใด) คือในสมัยใด จิตนั้นก้าวลงสู่วิถีแห่งวิปัสสนาเป็นไปแล้ว.

บทว่า อชฺฌตฺตเมว สนฺติฏฺติ (จิตย่อมตั้งมั่นอยู่ภายใน) คือจิตก้าวลงสู่วิถีแห่งวิปัสสนาแล้ว ย่อมตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ กล่าวคือภายในแห่งอารมณ์ในสมัยนั้น.

บทว่า สนฺนิสีทติ (สงบอยู่ หรือจิตสงบ) คือสงบโดยชอบด้วยความเป็นไปในอารมณ์นั้นนั่นเอง.

บทว่า เอโกทิ โหติ (เป็นธรรมเอกผุดขึ้น) คือมีอารมณ์เป็นหนึ่ง.

บทว่า สมาธิยติ (ตั้งมั่นอยู่) คือจิตตั้งมั่นโดยชอบ ตั้งมั่นด้วยดี.

นี้เป็นการพรรณาตาม (อรรถกถา) พระสูตร.


ความคิดเห็น 20    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 468

อรรถกถาสุตตันตนิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศกถาแห่งสูตรนั้นดังต่อไปนี้.

บทว่า ตตฺถ ชาเต ธมฺเม (ธรรมที่เกิดในสมาธินั้น) คือจิตเจตสิกธรรมที่เกิดขึ้นในสมาธินั้น.

พระสารีบุตรเถระแสดงถึงประเภทแห่งวิปัสสนา ด้วยบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต อนุปสฺสนฏฺเน (ด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง).

บทว่า สมฺมาทิฏฺิ มคฺโค (มรรค คือสัมมาทิฏฐิ) ได้แก่ ในองค์แห่งมรรค ๘ แม้องค์หนึ่งๆ ท่านก็เรียกมรรค.

บทว่า อาเสวติ (ย่อมเสพ) คือย่อมเสพด้วยอำนาจแห่งโสดาปัตติมรรค.

บทว่า ภาเวติ (ย่อมเจริญ) คือย่อมเจริญด้วยให้เกิดสกทาคามิมรรค.

บทว่า พหุลีกโรติ (ย่อมทำให้มาก) คือย่อมทำให้มากด้วยให้เกิดอนาคามิมรรคและอรหัตมรรค.

แม้เมื่อความไม่ต่างกันแห่งหน้าที่ของมรรค ๓ เหล่านี้มีอยู่ เพราะอาวัชชนจิตเป็นต้น เป็นจิตทั่วไป ท่านจึงแก้เหมือนกัน (แม้ทั้ง ๓ บทนี้จะมีข้อกำหนดแตกต่างกัน ท่านพระสารีบุตรก็กระทำวิสัชชนาเหมือนๆ กัน เพราะมีอาวัชชนาเป็นต้นเสมอกัน).

ในไปยาลในระหว่างอาโลกสัญญาและปฏินิสสัคคานุปัสสนา (ความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืน) ท่านย่อความไม่ฟุ้งซ่านเป็นต้น ฌาน สมาบัติ กสิณ อนุสสติ อสุภะ และลมหายใจเข้ายาวเป็นต้นไว้ เพราะท่านได้ชี้แจงไว้แล้วในสมาธิญาณนิเทศในลำดับ (ในอานันตริกสมาธิญาณนิเทศ).

อนึ่ง ในบทเหล่านั้น บทว่า อวิกฺเขปวเสน (ด้วยอำนาจแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน) พึงถือเอาด้วยความไม่ฟุ้งซ่านอันเป็นส่วนเบื้องต้น.

ในบทมีอาทิว่า อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสาสวเสน (ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความเป็นสภาพไม่เที่ยงหายใจเข้า) ในเวลาเริ่มเจริณวิปัสสนา พึงทราบวิปัสสนามีกำลัง มีสมาธิสัมปยุตด้วย


ความคิดเห็น 21    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 469

วิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ในกาลแห่งวิปัสสนาอ่อน ในจตุกกะที่ท่านกล่าวแล้วด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาล้วน.

พึงทราบวินิจฉัยในวาระแห่งวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นดังต่อไปนี้.

ท่านกล่าววิปัสสนาไม่กำหนดอารมณ์ ด้วยบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต (โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง) ก่อน กล่าววิปัสสนากำหนดอารมณ์ ด้วยบทมีอาทิว่า รูปํ อนิจฺจโต (รูปโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง) ในภายหลัง.

บทว่า ตตฺถ ชาตานํ (เกิดแล้วในวิปัสสนานั้น) คือจิตเจตสิกธรรมเกิดแล้วในวิปัสสนานั้น.

การปล่อยในบทนี้ว่า โวสฺสคฺคารมฺมณตา (ความที่จิตมีการปล่อยเป็นอารมณ์) คือนิพพาน เพราะนิพพานท่านกล่าวว่า โวสฺสคฺโค (การปล่อย) เพราะปล่อยสังขตธรรม เพราะสละ.

วิปัสสนาและธรรมสัมปยุตด้วยวิปัสสนานั้น มีนิพพานเป็นที่ตั้ง มีนิพพานเป็นอารมณ์ เพราะน้อมไปสู่นิพพาน และเพราะตั้งอยู่ในนิพพาน ด้วยสามารถแห่งอัธยาศัย แม้การตั้งไว้ ก็ชื่อว่า อารมณ์ เพราะหน่วงเหนี่ยวไว้ มีนิพพานเป็นอารมณ์ ด้วยอรรถว่า ตั้งอยู่ในนิพพานนั่นเอง จริงอยู่ แม้ในบาลีในที่อื่น การตั้งไว้ ท่านก็กล่าวว่า อารมฺมณํ (อารมณ์).

เหมือนอย่างที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวบทมีอาทิว่า ดูก่อน อาวุโส เหมือนบุรุษเอาคบเพลิงหญ้าที่ติดไฟจุดเรือนมุงด้วย ไม้อ้อ เรือนมุงด้วยหญ้าแห้งเป็นโพรงค้างปี (เข้าไป) ทางทิศตะวันออก ไฟพึงได้โอกาส พึงได้อารมณ์ (เหตุ) เพราะฉะนั้น เพราะความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลาย ที่เกิดในวิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์ ความไม่ฟุ้งซ่านใดอันมีประเภทเป็นอุปจารและอัปปนากล่าวคือ ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ให้สมาธิเกิดโดยมีนิพพานเป็นที่ตั้งเป็นเหตุ ความไม่ฟุ้งซ่านนั้น ท่านชี้แจงเป็นสมาธิ คือมีความตั้งมั่นอันเป็นส่วนแห่งการแทงตลอดให้สมาธิเกิดในภายหลัง (วิปัสสนา) เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อิติ ปมํ วิปสฺสนา ปจฺฉา สมโถ (ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาก่อน สมถะภายหลัง).


ความคิดเห็น 22    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 470

พึงทราบวินิจฉัยในยุคนัทธนิเทศดังต่อไปนี้.

เพราะลำดับแห่งธรรมที่เป็นคู่ ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในอรรถกถาแห่งสูตรปรากฏแล้วโดยนัยแห่งนิเทศทั้งสองในก่อน ส่วนลำดับแห่งธรรมที่เป็นคู่ในขณะแห่งมรรคยังไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น พระสารีบุตรเถระไม่กล่าวถึงการเจริญธรรมที่เป็นคู่อันมีอยู่ไม่น้อยในส่วนเบื้องต้น เมื่อจะแสดงถึงการเจริญธรรมที่เป็นคู่ อันได้โดยส่วนเดียวในขณะแห่งมรรค จึงกล่าวคำมีอาทิว่า โสฬสหิ อากาเรหิ (ด้วยอาการ ๑๖).

ในบทเหล่านั้น ยุคนัทธะ (ธรรมคู่) ที่ท่านยกขึ้นแสดงในที่สุดในอาการ ๑๗ อย่าง มีอาทิว่า อารมฺมณฏฺเน (ด้วยความเป็นอารมณ์) ท่านละยุคนัทธะ (ธรรมคู่) นั้น เพราะตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยเป็นบทมูลเหตุ แล้วกล่าวว่า โสฬสหิ (ด้วยอาการ ๑๖) ด้วยอำนาจแห่งอาการที่เหลือ.

บทว่า อารมฺมณฏฺเน (ด้วยความเป็นอารมณ์) คือด้วยความหน่วงเหนี่ยว อธิบายว่า ด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ แม้ในคำที่เหลือก็อย่างนี้.

บทว่า โคจรฏฺเน (ด้วยความเป็นโคจร) เมื่อมีบทว่า อารมฺมณฏฺเน (ด้วยความเป็นอารมณ์) อยู่แล้ว บทว่า โคจรฏฺเน จึงได้แก่ ด้วยฐานะควรอาศัย (ด้วยความเป็นที่พึ่งอาศัย).

บทว่า ปหานฏฺเน คือด้วยความละ.

บทว่า ปริจฺจาคฏฺเน (ด้วยความสละ) คือเมื่อการละมีอยู่แล้ว จึงได้แก่ ด้วยความเสียสละด้วยความไม่ยึดถือ.

บทว่า วุฏฺานฏฺเน (ด้วยความออก) คือด้วยความออกไป.

บทว่า วิวฏฺฏนตฺเถน (ด้วยความหลีกไป) คือเมื่อการออกไปมีอยู่แล้ว จึงได้แก่ ด้วยการกลับไปโดยการไม่หมุนกลับมาอีก.

บทว่า สนฺตฏฺเน (ด้วยความเป็นธรรมสงบ) คือด้วยความดับ.

บทว่า ปณีตฏฺเน (ด้วยความเป็นธรรมประณีต) คือแม้เมื่อมีความดับอยู่แล้ว จึงได้แก่ ด้วยความเป็นธรรมสูงสุด หรือด้วยความเป็นธรรมไม่เดือดร้อน.


ความคิดเห็น 23    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 471

บทว่า วิมุตฺตฏฺเน (ด้วยความหลุดพ้น) คือด้วยความปราศจากเครื่องผูกพัน.

บทว่า อนาสวฏฺเน (ด้วยความไม่มีอาสวะ) คือแม้เมื่อมีการพ้นจากเครื่องผูกพันแล้ว ก็ (*ยัง) ด้วยความปราศจากอาสวะอันทำอารมณ์ยังเป็นไปอยู่.

บทว่า ตรณฏฺเน (ด้วยความเป็นเครื่องข้าม) คือด้วยความไม่จมแล้วลอยไป หรือด้วยความข้ามไป.

บทว่า อนิมิตฺตฏฺเน (ด้วยความไม่มีนิมิต) คือด้วยความปราศจากสังขารนิมิต.

บทว่า อปฺปณิหิตฏฺเน (ด้วยความไม่มีที่ตั้ง) คือด้วยความปราศจากที่ตั้ง.

บทว่า สุญฺตฏเน (ด้วยความว่างเปล่า) คือด้วยความปราศจากเครื่องยึดมั้น.

บทว่า เอกรสฏฺเน (ด้วยความเป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน) คือด้วยกิจ (หน้าที่) อย่างเดียวกัน.

บทว่า อนติวตฺตนฏฺเน (ด้วยความไม่ล่วงเกินกัน) คือด้วยความไม่ล่วงเกินกันและกัน.

บทว่า ยุคนทฺธฏฺเน คือด้วยความเป็นคู่กัน.

บทว่า อุทฺธจฺจํ ปชหโต อวิชฺชํ ปชหโต (เมื่อละอุทธัจจะ เมื่อละอวิชชา) เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ ละอวิชชา ท่านกล่าวด้วยสามารถการละธรรมเป็นปฏิปักษ์ของธรรมนั้นๆ ของพระโยคาวจร อนึ่ง นิโรธในที่นี้ คือนิพพานนั่นเอง.

บทว่า อญฺมญฺํ นาติวตฺตนฺติ (ไม่ล่วงเกินกันและกัน) คือหากสมถะล่วงเกินวิปัสสนา จิตพึงเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เพราะสมถะเป็นไปในฝ่ายหดหู่ หากว่า วิปัสสนาล่วงเกินสมถะ จิตพึงเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่านเพราะวิปัสสนาเป็นไปในฝ่ายแห่งความฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้น สมถะเมื่อไม่ล่วงเกินวิปัสสนาย่อมไม่ตกไปในความเกียจคร้าน วิปัสสนาไม่ล่วงเกินสมถะ ย่อมไม่ตกไปในความฟุ้งซ่าน สมถะเมื่อเป็นไปเสมอ ย่อมรักษาวิปัสสนาจากการตกไปสู่ความฟุ้งซ่าน วิปัสสนาเมื่อเป็นไปเสมอ ย่อมรักษาสมถะจากการตกไปสู่ความเกียจคร้าน สมถะและวิปัสสนาทั้ง ๒ มีกิจอย่างเดียวกันด้วยกิจ คือการไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยประการฉะนี้ สมถะและวิปัสสนาเป็นไปเสมอไม่ล่วงเกินกันและกัน ย่อมทำประโยชน์ให้


ความคิดเห็น 24    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 472

สำเร็จ ความที่สมถะและวิปัสสนานั้นเป็นธรรมคู่กันในขณะแห่งมรรคย่อมมีได้ เพราะเป็นธรรมคู่กันในขณะแห่งวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินีนั่นเอง.

เพื่อความเข้าใจกิจของมรรค (มรรคกิจ) ทั้งสิ้น เพราะการทำการละ การสละ การออกและการหลีกไป ด้วยอำนาจแห่งกิจของมรรค ท่านจึงชี้แจงกิเลสอันสหรคตด้วยอุทธัจจะ (กิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะ) และขันธ์ และกิเลสสหรคตด้วยอวิชชาและขันธ์ เพราะคำที่เหลือท่านมิได้กล่าวไว้อย่างนั้น จึงชี้แจงถึงเฉพาะอุทธัจจะและอวิชชา ด้วยอำนาจแห่งการแสดงเพียงธรรมอันเป็นปฏิปักษ์.

บทว่า วิวฏฺฏโต คือหลีกไป.

บทว่า สมาธิ กามาสวา วิมุตฺโต โหติ (สมาธิเป็นธรรมหลุดพ้นจากกามาสวะ) ท่านกล่าวเพราะสมาธิเป็นปฏิปักษ์ของกามฉันทะ.

บทว่า ราควิราคา (เพราะสำรอกราคะ) เพราะคลายราคะ ชื่อว่า ราควิราโค เพราะ (วิมุตินั้น) มีการคลาย การก้าวล่วงราคะหรือเป็นปัญจมีวภัตติว่า ราควิราคโต (จากการคลายราคะ) อนึ่ง อวิชฺชาวิราคา (เพราะคลายอวิชชา) เพราะสำรอกอวิชชา ก็เหมือนกัน.

บทว่า เจโตวิมุตฺติ (เจโตวิมุตติ) คือสมาธิสัมปยุตด้วยมรรค.

บทว่า ปญฺาวิมุตฺติ (ปัญญาวิมุตติ) คือปัญญาสัมปยุตด้วยมรรค.

บทว่า ตรโต (เมื่อข้าม) คือผู้ข้าม.

บทว่า สพฺพปณิธีหิ (ด้วยที่ตั้งทั้งปวง) คือด้วยที่ตั้ง คือราคะ โทสะ โมหะ หรือด้วยความปรารถนาทั้งปวง.

พระสารีบุตรเถระ ครั้นแก้อาการ ๑๔ อย่างอย่างนี้แล้ว จึงไม่แก้ความมีกิจอย่างเดียวกันและความไม่ก้าวล่วงกันและกัน แล้วกล่าวว่า อิเมหิ โสฬสหิ อากาเรหิ (ด้วยอาการ ๑๖ อย่างเหล่านี้).

เพราะเหตุไร เพราะในที่สุดของอาการอย่างหนึ่งๆ แห่งอาการ ๑๔ เหล่านั้น ท่านชี้แจงไว้ว่า อาการทั้งหลายมีกิจอย่างเดียวกัน เป็นธรรมคู่กัน ไม่ก้าวล่วงกันและกัน ดังนี้ จึงเป็นอันท่านแสดงอาการแม้ทั้งสองเหล่านั้นทีเดียว ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โสฬสหิ (๑๖) ส่วนอาการมีความเป็นธรรมคู่ ท่านไม่ได้กล่าวไว้ แม้ในนิเทศ (หรืออุเทศ) เลย.

จบอรรถกถาสุตตันตนิเทศ


ความคิดเห็น 25    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 473

อรรถกถาธัมมุทธัจจวารนิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในธัมมุทธัจจวาระดังต่อไปนี้.

บทว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต โอภาโส อุปฺปชฺชติ (เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โอภาสย่อมเกิดขึ้น) คือภิกษุตั้งอยู่ในอุทยัพพยานุปัสสนา เห็นแจ้งสังขารทั้งหลายด้วยอนุปัสสนา ๓ บ่อยๆ มีจิตบริสุทธิ์ด้วยการละกิเลสด้วยตทังคปหาน ในวิปัสสนาญาณอันถึงความแก่กล้า โอภาสย่อมเกิดตามปกติด้วยอานุภาพแห่งวิปัสสนาญาณ ในขณะมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ หรือโดยความไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวถึงโอภาสของภิกษุผู้มนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงก่อน.

ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนาไม่ฉลาด เมื่อโอภาสนั้นเกิด คิดว่า โอภาสเห็นปานนี้ ยังไม่เคยเกิดแก่เรามาก่อนจากนี้เลยหนอ เราเป็นผู้บรรลุมรรคบรรลุผลแน่แท้แล้ว จึงถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่มรรคนั่นแหละว่า เป็นมรรค สิ่งที่ไม่ใช่ผลนั่นแหละว่า เป็นผล.

เมื่อภิกษุนั้นถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่มรรคว่า เป็นมรรค สิ่งที่ไม่ใช่ผลว่า เป็นผล ก้าวออกจากวิปัสสนาวิถี (วิปัสสนาวิถีย่อมไปผิดทาง) ภิกษุนั้นสละวิปัสสนาวิถีของตนถึงความฟุ้งซ่าน หรือสำคัญโอภาสด้วยความสำคัญแห่งตัณหาและทิฏฐินั่งอยู่ ก็โอภาสนี้นั้น เกิดให้สว่างเพียงที่นั่งของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเท่านั้น ภายในห้องของภิกษุบางรูป แม้นอกห้องของภิกษุบางรูป ทั่วทั้งวิหารของภิกษุบางรูป คาวุตหนึ่งกึ่งโยชน์ ๒ โยชน์ ฯลฯ ทำแสงสว่างเป็นอันเดียวกันตั้งแต่พื้นดินจนถึงอกนิษฐพรหมโลกของภิกษุบางรูป แต่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเกิดโอภาสตลอดหมื่นโลกธาตุ เพราะโอภาสนี้ ยังที่นั้นๆ ให้สว่างย่อมเกิดแม้ในความมืดอันประกอบด้วยองค์ ๔ (๑).


(๑) ความมืดอันประกอบด้วยองค์ ๔ ในอรรถกถาขุททกนิกาย สุตตนิบาต อุรควรรค กสิภารทวาชสูตร อธิบายว่า ประกอบด้วย แรม ๑๔ ค่ำ เที่ยงคืน ไพรสณฑ์ทึบ เมฆปกคลุม.


ความคิดเห็น 26    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 474

บทว่า โอภาโส ธมฺโมติ โอภาสํ อาวชฺชติ (ภิกษุนึกถึงโอภาสว่า โอภาสเป็นธรรม) คือภิกษุทำไว้ในใจถึงโอภาสนั้นๆ ว่า โอภาสนี้เป็นมรรคธรรมหรือเป็นผลธรรม ดังนี้.

บทว่า ตโต วิกฺเขโป อุทฺธจฺจํ (ความฟุ้งซ่านเพราะนึกถึงโอภาสนั้นๆ) เพราะนึกถึงโอภาสนั้น ความฟุ้งซ่านจึงเป็นอุทธัจจะ คือเพราะโอภาสนั้นหรือเพราะนึกถึงว่า โอภาสเป็นธรรม ความฟุ้งซ่านจึงเกิดขึ้น นั่นคืออุทธัจจะ.

บทว่า เตน อุทฺธจฺเจน วิคฺคหิตมานโส (ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้) คือภิกษุมีใจอันอุทธัจจะซึ่งเกิดขึ้นอย่างนั้นกั้นไว้ หรือผู้เจริญวิปัสสนามีใจอันอุทธัจจะนั้นเป็นเหตุกั้นไว้ โดยเกิดกิเลสอันมีอุทธัจจะนั้นเป็นมูลเหตุ เพราะก้าวลงสู่วิปัสสนาวิถี หรือความฟุ้งซ่านแล้วตั้งอยู่ในกิเลสอันมีความฟุ้งซ่านนั้นเป็นมูลเหตุ ย่อมไม่รู้ความปรากฏโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความไม่ใช่ตัวตนตามความเป็นจริง พึงประกอบ อิติ ศัพท์อย่างนี้ว่า เตน วุจฺจติ ธมฺมุทฺธจฺจวิคฺคหิตมานโส (ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีใจที่นึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้).

บทว่า โหติ โส สมโย (สมัยนั้น) คือหากว่า การสอบสวนเกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรแม้ผู้มีจิตเศร้าหมองด้วยความพอใจ พระโยคาวจรนั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่า ธรรมดาวิปัสสนามีสังขารเป็นอารมณ์ มรรคและผลมีนิพพานเป็นอารมณ์ แม้จิตเหล่านี้มีสังขารเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น โอภาสนี้มิใช่มรรค อุทยัพพยานุปัสสนาเท่านั้นเป็นมรรคของนิพพาน พระโยคาวจรกำหนดมรรคและมิใช่มรรคแล้ว เว้นความฟุ้งซ่านนั้น ตั้งอยู่ในอุทยัพพยานุปัสสนา พิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยดี โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความไม่ใช่ตัวตน เมื่อพระโยคาวจรสอบสวนอยู่อย่างนี้นั้นเป็นสมัย แต่เมื่อไม่สอบสวนอยู่อย่างนี้ เป็นผู้มีมานะจัด (คิด) ว่า เราเป็นผู้บรรลุมรรคและผล ดังนี้.


ความคิดเห็น 27    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 475

บทว่า ยํ ตํ จิตฺตํ (ในจิตนั้น) ได้แก่ วิปัสสนาจิตนั้น.

บทว่า อชฺฌตฺตเมว (ในภายใน) คือในภายในโคจรอันเป็นอารมณ์แห่งอนิจจานุปัสสนา.

บทว่า าณํ อุปฺปชฺชติ (ญาณย่อมเกิดขึ้น) คือเมื่อพระโยคาวจรนั้น พิจารณาอย่างรอบคอบ (ไตร่ตรอง) ถึงรูปธรรมและอรูปธรรม วิปัสสนาญาณอันเฉียบแหลมแข็งแกร่งกล้ายิ่งนัก มีกำลังไม่ถูกกำจัดย่อมเกิดขึ้น ดุจวชิราวุธของพระอินทร์ที่ปล่อยออกไป ฉะนั้น.

บทว่า ปีติ อุปฺปชฺชติ (ปีติย่อมเกิดขึ้น) คือในสมัยนั้น ปีติสัมปยุตด้วยวิปัสสนา ๕ อย่างนี้ คือขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย) ๑ ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ) ๑ โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ) ๑ อุพเพงคาปีติ (ปีติอย่างโลดโผน) ๑ ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน) ๑ ย่อมเกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรนั้น ยังสรีระทั้งสิ้นให้อิ่มเอม.

บทว่า ปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชติ (ความสงบย่อมเกิดขึ้น) คือในสมัยนั้น พระโยคาวจรนั้นไม่มีความกระวนกระวายของกายและจิต ไม่มีความหนัก ไม่มีความหยาบ ไม่มีความไม่ควรแก่การงาน ไม่มีความไข้ ไม่มีความคด แต่ที่แท้ พระโยคาวจรนั้นมีกายและจิตสงบ เบา อ่อน ควรแก่การงาน คล่องแคล่ว เฉียบแหลม (ผ่องใส) ตรง พระโยคาวจรนั้นมีกายและจิตอันเป็นปัสสัทธิเป็นต้นเหล่านี้อนุเคราะห์แล้ว ย่อมเสวยความยินดีอันมิใช่ของมนุษย์ในสมัยนั้น ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส (หมายถึงความยินดี) ว่า

ความยินดีอันมิใช่ของมนุษย์ ย่อมมีแก่ภิกษุ ผู้เข้าไปสู่เรือนว่าง ผู้มีจิตสงบ ผู้เห็นแจ้งธรรมโดยชอบ แต่กาลใดๆ ภิกษุย่อมพิจารณาความเกิดและความเสื่อมแห่งขันธ์ทั้งหลาย แต่กาลนั้นๆ ภิกษุย่อมได้ปีติและปราโมทย์ ปีติและปราโมทย์นั้นเป็นอมตะของ (ภิกษุ) ผู้รู้แจ้งทั้งหลาย.


ความคิดเห็น 28    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 476

ความสงบแห่งกายและจิตสัมปยุตด้วยวิปัสสนา พร้อมด้วยความเป็นของเบา (ลหุตา) เป็นต้น ยังความยินดีอันมิใช่ของมนุษย์นี้ให้สำเร็จย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น.

บทว่า สุขํ อุปฺปชฺชติ (สุขย่อมเกิดขึ้น) คือสุขสัมปยุตด้วยวิปัสสนาอันยังสรีระทั้งสิ้นให้ชุ่มชื่น ย่อมเกิดขึ้นในสมัยนั้นแก่ภิกษุนั้น.

บทว่า อธิโมกฺโข อุปฺปชฺชติ (อธิโมกข์ หรือความน้อมใจเชื่อ ย่อมเกิดขึ้น) คือศรัทธาสัมปยุตด้วยวิปัสสนาอันเป็นความเลื่อมใสอย่างแรงของจิตและเจตสิก ย่อมเกิดขึ้นในสมัยนั้นแก่ภิกษุนั้น.

บทว่า ปคฺคาโห อุปฺปชฺชติ (ปัคคาหะ หรือความเพียร ย่อมเกิดขึ้น) คือความเพียรสัมปยุตด้วยวิปัสสนาอันประคองไว้ดีแล้ว ไม่ย่อหย่อนและไม่ตึงจนเกินไป ย่อมเกิดขึ้นในสมัยนั้นแก่ภิกษุนั้น.

บทว่า อุปฏฺานํ อุปฺปชฺชติ (อุปัฏฐานะ หรือความตั้งมั่น ย่อมเกิดขึ้น) คือสติสัมปยุตด้วยวิปัสสนา (ที่ปรากฏชัด) ตั้งไว้ด้วยดีแล้ว ฝังแน่น ไม่หวั่นไหว เช่นกับภูเขาหลวง ย่อมเกิดขึ้นในสมัยนั้นแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นย่อมนึกถึง รวบรวบ ทำไว้ในใจ พิจารณาถึงฐานะใดๆ (๑) ฐานะนั้นๆ แล่นออกไป ย่อมปรากฏแก่ภิกษุนั้นด้วยสติ ดุจปรโลกปรากฏแก่ผู้ได้ทิพยจักษุฉะนั้น.

บทว่า อุเปกฺขา (อุเบกขา) คือความวางเฉยด้วยวิปัสสนา (วิปัสสนูเบกขา) และความวางเฉยด้วยการพิจารณา (อาวัชชนูเบกขา) จริงอยู่ แม้ความวางเฉยด้วยวิปัสสนาอันเป็นกลางในสังขารทั้งปวงมีกำลัง ย่อมเกิดขึ้นในสมัยนั้น แม้ความวางเฉยด้วยการพิจารณาย่อมเกิดในมโนทวาร จริงอยู่ ความวางเฉยด้วยการพิจารณานั้น เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาถึงฐานะนั้นๆ ย่อมเป็นความกล้าแข็ง ย่อมนำไปดุจวชิราวุธของพระอินทร์ที่ปล่อยออกไป และดุจลูกศรเหล็กอันร้อนที่แล่นออกไปที่ภาชนะใบไม้ ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคอย่างนี้.

อนึ่ง ในบทนี้ว่า วิปสฺสนูเปกฺขา อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ได้แก่ อุเบกขา (วิปัสสนูเบกขา) คือตัตรมัชฌัตตุเบกขา (วางตนเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ) สัมปยุตด้วยวิปัสสนา จริงอยู่


(๑) ฐานะใดๆ ในโยชนาวิสุทธิมรรค อธิบายว่า ฐานะที่ปรากฏแก่ตนใดๆ คือรูปและอรูป.


ความคิดเห็น 29    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 477

เมื่อกำหนดถือเป็นวิปัสสนาญาณ ก็จะมีข้อเสียด้วยคำพูดซ้ำอีก เพราะวิปัสสนาญาณมาแล้วในคำว่า ญาณย่อมเกิด อนึ่ง ในการพรรณนาถึงตติยฌานท่านกล่าวว่า แม้สังขารุเบกขาและวิปัสสนูเบกขา โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน เพราะเป็นปัญญาเหมือนกัน ต่างกันเป็น ๒ ส่วนด้วยอำนาจแห่งหน้าที่ เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงอุเบกขา คือความเป็นกลางในอารมณ์นั้น (ตัตรมัชฌัตตุเบกขา) สัมปยุตด้วยวิปัสสนา จึงไม่มีข้อเสียในการพูดซ้ำอีก และสมด้วยการพรรณนาตติยฌาน ก็เพราะในอินทรีย์ ๕ ท่านชี้แจงถึงปัญญินทรีย์ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์และสตินทรีย์ว่า ฌาน อธิโมกข์ ปัคคหะ อุปัฏฐานะ ส่วนสมาธินทรีย์ท่านไม่ชี้แจงไว้ อนึ่ง พึงชี้แจงสมาธินทรีย์เท่านั้น ด้วยสามารถแห่งธรรมคู่กัน ฉะนั้น พึงทราบว่า สมาธิที่เป็นไปสม่ำเสมอ ท่านกล่าวว่า อุเบกขา เพราะทำการละความขวนขวายในการตั้งมั่น.

บทว่า นิกนฺติ อุปฺปชฺชติ (นิกันติ หรือความพอใจ ย่อมเกิดขึ้น) คือความพอใจ (ที่ไม่อาจแม้กำหนดลงไปว่าเป็นกิเลส) มีอาการสงบ สุขุม ทำความอาลัยในวิปัสสนาอันประดับด้วยโอภาสเป็นต้นอย่างนี้ ย่อมเกิดขึ้น ความพอใจใดไม่อาจแม้กำหนดลงไปว่า เป็นกิเลส ดุจในโอภาส เมื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น พระโยคาวจรคิดว่า ญาณเห็นปานนี้ ไม่เคยเกิดแก่เรามาก่อนจากนี้ ปีติ ปัสสัทธิ อธิโมกข์ ปัคคหะ อุปัฏฐานะ อุเบกขา นิกันติ เห็นปานนี้ไม่เคยเกิดแล้ว เราเป็นผู้บรรลุมรรค เราเป็นผู้บรรลุผลแน่นอน แล้วถือเอาสิ่งมิใช่มรรคว่า เป็นมรรค สิ่งมิใช่ผลว่า เป็นผล เมื่อพระโยคาวจรนั้น ถือเอาสิ่งมิใช่มรรคว่า เป็นมรรค และสิ่งมิใช่ผลว่า เป็นผล วิปัสสนาวิถี ย่อมหลีกออกไป (ย่อมไปผิดทาง).

พระโยคาวจรนั้นสละมูลกรรมฐานของตน แล้วนั่งยินดีความพอใจ (นิกันติ) นั้น เท่านั้น


ความคิดเห็น 30    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 478

อนึ่ง ในบทนี้ท่านกล่าวโอภาสเป็นต้นว่าเป็นอุปกิเลส เพราะเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง เพราะไม่ใช่อกุศล ส่วนนิกันติเป็นอุปกิเลสด้วย เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมองด้วย อุปกิเลสเหล่านั้นมี ๑๐ อย่าง ด้วยสามารถแห่งวัตถุ แต่มี ๓๐ อย่าง ด้วยสามารถแห่งการถือเอา อย่างไร.

เมื่อพระโยคาวจรถือว่า โอภาสเกิดแล้วแก่เรา ย่อมเป็นการถือเอาด้วยทิฏฐิ เมื่อถือว่า โอภาสน่าพอใจหนอเกิดแล้ว ย่อมเป็นการถือเอาด้วยมานะ เมื่อยินดีโอภาส ย่อมเป็นการถือเอาด้วยตัณหา การถือเอา ๓ อย่างด้วยสามารถแห่งทิฏฐิมานะและตัณหา ในโอภาสด้วยประการดังนี้ แม้ในอุปกิเลสที่เหลือก็อย่างนั้น อุปกิเลส ๓๐ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งการถือเอา ย่อมมีด้วยประการฉะนี้.

บทว่า ทุกฺขโต มนสิกโรโต อนตฺตโต มนสิกโรโต (เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา) พึงทราบความโดยนัยนี้ แม้ในวาระทั้งหลาย ในบทนี้ พึงทราบความเกิดแห่งวิปัสสนูปกิเลสแห่งวิปัสสนาหนึ่งๆ ด้วยสามารถแห่งอนุปัสสนาหนึ่งๆ มิใช่อย่างเดียวเท่านั้น.

พึงทราบวินิจฉัยในอนุปัสสนา ๓ ดังต่อไปนี้.

พระสารีบุตรเถระ ครั้นแสดงอุปกิเลสทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาโดยไม่ต่างกัน อย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงด้วยอำนาจแห่งความต่างกันอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า รูปํ อนิจฺจโต มนสิกโรโต (เมื่อภิกษุมนสิการรูปโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง) ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ชรามรณํ อนิจฺจโต อุปฏฺานํ (ชรามรณะอันปรากฏโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง) คือความปรากฏของชราและมรณะโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง.

เพราะพระโยคาวจรผู้ไม่ฉลาด ไม่เปรื่องปราชญ์ด้วยอำนาจแห่งอุปกิเลส ๓๐ ดังกล่าวแล้วในบทก่อน ย่อมหวั่นไหวในโอภาสเป็นต้น ย่อมพิจารณาโอภาสเป็นต้นอย่างหนึ่งๆ ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็น


ความคิดเห็น 31    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 479

ตัวตนของเรา ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงความนั้น จึงกล่าวคาถา ๒ คาถา มีอาทิว่า โอภาเส เจว าเณ จ (ในโอภาสและญาณ) ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า วิกมฺปติ (ย่อมกวัดแกว่ง) คือย่อมกวัดแกว่ง หวั่นไหว ๓ อย่างด้วยอำนาจกิเลสต่างๆ ในอารมณ์มีโอภาสเป็นต้น.

บทว่า เยหิ จิตฺตํ ปเวธติ (จิตย่อมหวั่นไหว) คือจิตย่อมกวัดแกว่งหวั่นไหวด้วยปัสสัทธิและสุขโดยประการต่างๆ ด้วยอำนาจกิเลสต่างๆ เพราะฉะนั้น พึงทราบความสัมพันธ์ ความว่า พระโยคาวจรย่อมกวัดแกว่งในปัสสัทธิและในสุข.

บทว่า อุเปกฺขาวชฺชนาย เจว (อาวัชชนูเบกขา) จากความนึกถึงอุเบกขา คือจิตย่อมกวัดแกว่งจากความนึกถึง (อาวัชชนะ) คืออุเบกขา อธิบายว่า ย่อมกวัดแกว่งจากความวางเฉยในการนึกถึง (อาวัชชนูเบกขา) แต่ในวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวไว้ว่า อุเปกฺขาวชฺชนายญฺจ (ในการนึกถึงอุเบกขา).

บทว่า อุเปกฺขาย จ (ความวางเฉย หรืออุเบกขา) คือจิตย่อมกวัดแกว่งในเพราะความวางเฉยมีประการดังกล่าวแล้ว อธิบายว่า ย่อมกวัดแกว่งด้วยความพอใจ.

อนึ่ง ในบทนี้ เพราะท่านชี้แจงถึงอุเบกขา ๒ อย่าง จึงกล่าวอรรถโดยประการทั้งสองในฐานะที่ท่านกล่าวแล้วว่า อุเปกฺขา อุปฺปชฺชติ (อุเบกขาย่อมเกิด) มีคำอธิบายว่า อนุปัสสนาอย่างหนึ่งๆ เพราะความปรากฏแห่งความวางเฉยด้วยการนึกถึงแห่งอนุปัสสนาหนึ่งๆ ในอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น ท่านกล่าวว่า เจริญบ่อยๆ ว่า อนิจฺจํ อนิจฺจํ ทุกฺขํ ทุกฺขํ อนตฺตา อนตฺตา.

อนึ่ง เพราะพระโยคาวจรเป็นผู้ฉลาด เป็นบัณฑิต เปรื่องปราชญ์สมบูรณ์ด้วยความรู้ เมื่อโอภาสเป็นต้นเกิดขึ้น ย่อมกำหนด ย่อมสอบสวน (พิจารณา) โอภาสนั้น ด้วยปัญญาว่า โอภาสนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็โอภาสนั้นแลเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นสิ่งปรุงแต่ง (มีปัจจัยปรุงแต่ง) อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความ


ความคิดเห็น 32    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 480

เสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายราคะเป็นธรรมดา มีการดับกิเลสเป็นธรรมดา ด้วยประการดังนี้.

อีกอย่างหนึ่ง พระโยคาวจรนั้นมีความดำริอย่างนี้ว่า หากโอภาสพึงเป็นตัวตน พึงควรที่จะถือเอาว่า เป็นตัวตน แต่โอภาสนี้ มิใช่ตัวตน ยังถือกันว่า เป็นตัวตน เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรเมื่อเห็นว่า โอภาสนี้มิใช่ตัวตน เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ จึงถอนทิฏฐิเสียได้ หากว่า โอภาสพึงเป็นสภาพเที่ยง พึงควรเพื่อถือเอาว่า เป็นสภาพเที่ยง แต่โอภาสนี้เป็นสภาพไม่เที่ยง ยังถือกันว่า เป็นสภาพเที่ยง เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนี้เมื่อเห็นว่า เป็นสภาพไม่เที่ยง เพราะมีแล้วไม่มี ย่อมถอนมานะเสีย หากว่า โอภาสพึงเป็นความสุข พึงควรถือเอาว่า เป็นความสุข แต่โอภาสนี้เป็นความทุกข์ ยังถือเอาว่า เป็นความสุข เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนี้เมื่อเห็นว่า เป็นความทุกข์ เพราะเกิดขึ้นสิ้นไปและบีบคั้น ย่อมถอนความพอใจ (ย่อมครอบงำนิกันติเสียได้) ดุจในโอภาส ฉันใด แม้ในบทที่เหลือ (วิปัสสนูปกิเลสที่เหลือ) ก็ฉันนั้น.

พระโยคาวจรครั้นพิจารณาอย่างนี้แล้ว ย่อมพิจารณาเห็นโอภาสว่า นั่นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่กวัดแกว่ง ไม่หวั่นไหว ในโอภาสเป็นต้น เพราะฉะนั้น พระสารีบุตรเถระเมื่อแสดงความนั้น จึงกล่าวคาถาว่า อิมานิ ทส านานิ (ฐานะ ๑๐ ประการเหล่านี้).

ในบทเหล่านั้น บทว่า ทส านานิ (ฐานะ ๑๐ ประการ) ได้แก่ ฐานะมีโอภาสเป็นต้น.

บทว่า ปญฺา ยสฺส ปริจฺจิตา (ภิกษุนั้นกำหนดด้วยปัญญา) คือกำหนด ถูกต้อง อบรมบ่อยๆ ด้วยปัญญา พ้นจากอุปกิเลส.

บทว่า ธมฺมุทฺธจฺจกุสโล โหติ (ย่อมเป็นผู้ฉลาดในความฟุ้งซ่านในธรรม) เป็นผู้ฉลาดในความนึกถึงโอภาสเป็นต้น อันเป็นธรรมฟุ้งซ่าน คือพระโยคาวจรเป็นผู้กำหนดฐานะ ๑๐ อย่างด้วยปัญญา เป็นผู้ฉลาดด้วยการแทงตลอดตามความเป็นจริงแห่งธัมมุทธัจจะ มีประการดังกล่าวแล้วใน


ความคิดเห็น 33    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 481

ตอนก่อน.

บทว่า น จ สมฺโมหคจฺฉติ (ย่อมไม่ถึงความหลงใหล) คือไม่ถึงความหลงใหลด้วยการถอนตัณหา มานะและทิฏฐิ เพราะเป็นผู้ฉลาดในธัมมุทธัจจะ.

บัดนี้ พระสารีบุตรเถระครั้นยังวิธีที่กล่าวไว้แล้วในตอนก่อน ให้แจ่มแจ้งโดยปริยายอื่นอีก เมื่อจะแสดงจึงกล่าวคาถามีอาทิว่า วิกมฺปติ เจว กิลิสฺสติ จ (จิตกวัดแกว่งและเศร้าหมอง).

ในบทนั้น พระโยคาวจรมีปัญญาอ่อน ย่อมถึงความฟุ้งซ่านในโอภาสเป็นต้น และถึงความเกิดแห่งกิเลสที่เหลือ.

พระโยคาวจรมีปัญญาปานกลาง ย่อมถึงความฟุ้งซ่าน ไม่ถึงความเกิดแห่งกิเลสที่เหลือ พระโยคาวจรนั้นย่อมเป็นผู้มีมานะจัด (เป็นผู้สำคัญว่า ตนบรรลุ).

พระโยคาวจรมีปัญญาคมกล้า แม้ถึงความฟุ้งซ่าน ก็ยังละมานะจัดนั้น แล้วปรารภวิปัสสนา.

ส่วนพระโยคาวจรผู้มีปัญญาคมกล้ายิ่งนัก จะไม่ถึงความฟุ้งซ่าน และไม่ถึงความเกิดขึ้นแห่งกิเลสที่เหลือ.

บทว่า วิกมฺปติ เจว (ย่อมกวัดแกว่ง) ได้แก่ บรรดาพระโยคาวจรเหล่านั้น พระโยคาวจรผู้มีปัญญาอ่อนย่อมถึงความฟุ้งซ่าน คือธัมมุทธัจจะ.

บทว่า กิลิสฺสติ จ (ย่อมเศร้าหมอง) ย่อมเศร้าหมองด้วยกิเลส คือตัณหา มานะและทิฏฐิ ความว่า ย่อมเดือดร้อน ถูกเบียดเบียน.

บทว่า จวติ จิตฺตภาวนา (จิตเคลื่อนจากจิตตภาวนา) เคลื่อนจากจิตตภาวนา คือวิปัสสนาของพระโยคาวจรนั้นผู้มีปัญญาอ่อน เพราะไม่กำจัดความเป็นปฏิปักษ์จากฐานะในกิเลสทั้งหลาย นั่นเอง อธิบายว่า ตกไป.

บทว่า วิกมฺปติ กิลิสฺสติ (จิตย่อมกวัดแกว่ง เศร้าหมอง) คือพระโยคาวจรผู้มีปัญญาปานกลาง ย่อมกวัดแกว่ง ด้วยความฟุ้งซ่าน ย่อมเศร้าหมองด้วยกิเลส.

บทว่า ภาวนา ปริหายติ (ภาวนาย่อมเสื่อมไป) คือวิปัสสนาย่อมเสื่อม อธิบายว่า เป็นไปไม่ได้ (ย่อมไม่เป็นไป) โดยไม่มีการเริ่มวิปัสสนา เพราะพระโยคาวจรผู้มีปัญญาปานกลางนั้นมีมานะจัด (* สำคัญว่า ตนบรรลุ).

บทว่า วิกมฺปติ น กิลิสฺสติ (จิตย่อมกวัดแกว่ง ไม่เศร้าหมอง) แม้พระโยคาวจรผู้มีปัญญาคมกล้า ก็ย่อมกวัดแกว่ง


ความคิดเห็น 34    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 482

ด้วยความฟุ้งซ่าน แต่ไม่เศร้าหมองด้วยกิเลส.

บทว่า ภาวนา น ปริหายติ (ภาวนาย่อมไม่เสื่อม) คือพระโยคาวจรผู้มีปัญญาคมกล้านั้น เมื่อยังมีความฟุ้งซ่าน วิปัสสนาภาวนาย่อมไม่เสื่อม คือยังเป็นไปได้ เพราะยังมีการละความฟุ้งซ่านแห่งมานะจัดนั้น แล้วเริ่มวิปัสสนา.

บทว่า น จ วิกฺขิปฺปติ จิตฺตํ น กิลิสฺสติ (จิตไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เศร้าหมอง) คือจิตของพระโยคาวจรผู้มีปัญญาคมกล้ายิ่งนัก ย่อมไม่ฟุ้งซ่านด้วยความฟุ้งซ่าน และไม่เศร้าหมองด้วยกิเลสทั้งหลาย.

บทว่า น จวติ จิตฺตภาวนา (จิตย่อมไม่เคลื่อนจากจิตตภาวนา) กล่าวคือไม่เคลื่อนจากจิตตภาวนา คือวิปัสสนาของพระโยคาวจรนั้น อธิบายว่า ตั้งอยู่ในที่เดิม เพราะไม่มีกิเลสอันทำให้ฟุ้งซ่าน.

ด้วยฐานะอันเป็นเหตุหรือเป็นการกระทำ (เป็นกรณะ) ๔ เหล่านี้ ซึ่งท่านกล่าวไว้ในบัดนี้ ในบทมีอาทิว่า อิเมหิ จตูหิ าเนหิ (ด้วยฐานะ ๔ เหล่านี้) พระโยคาวจรจำพวกที่ ๔ เป็นผู้ฉลาด มีปัญญามาก เป็นผู้ปราศจากความเกิดขึ้นแห่งกิเลสอันทำให้ฟุ้งซ่าน ย่อมรู้ฐานะ ๑๐ มีโอภาสเป็นต้น มีใจอันความหดหู่และความฟุ้งซ่านแห่งจิตกั้นไว้โดยประการต่างๆ ว่า พระโยคาวจร ๓ จำพวก มีพระโยคาวจรปัญญาอ่อนเป็นต้น ย่อมมีใจเป็นอย่างนี้และอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น พึงทราบการพรรณนาอรรถโดยการสัมพันธ์ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า สงฺเขโป (ความหดหู่) พึงทราบความที่จิตหดหู่ด้วยสามารถความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ฟุ้งซ่านและกิเลสทั้งหลาย.

บทว่า วิกฺเขโป (ความฟุ้งซ่าน) คือพึงทราบความที่จิตฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งความฟุ้งซ่านดังกล่าวแล้วในฐานะทั้งหลาย ๒ ว่า วิกมฺปติ กิลิสฺสติ (จิตย่อมกวัดแกว่ง เศร้าหมอง) ฉะนี้แล.

จบอรรถกถาธัมมุทธัจจวารนิเทศ

จบอรรถกถายุคนัทธกถา