ทำทานเพื่อละความตระหนี่หรือจะรอรับอานิสงส์กันแน่
โดย ลุงหมาน  26 ส.ค. 2554
หัวข้อหมายเลข 19581

การทำทานก็เพื่อละความตระหนี่ ที่มีอยู่กับตนให้เบาบางตามหลักพระอภิธรรม

แต่พอพูดถึงการทำบุญอย่างนี้ มีอานิสงส์อย่างนี้ เช่นทำบุญสร้างศาลาต่อไปจะได้

วิมานที่สวยงาม เป็นต้น ทุกคนก็เลยทำบุญเพื่อเอาผล ไม่ใช่เพื่อจะละมัจฉริยะ จน

กลายเป็นประเพณีการทำบุญเพื่อจะเอาผลบุญ บางที่ทำบุญก็อธิฐานเสียจนเป็นนาน

สองนาน ผมได้แต่คาดคเนเอาว่าก็คงหนีไม่พ้นเพื่อเอาผลบุญนั่นเอง หรือไม่ก็คงเอา

ผลบุญที่ทำนั่นแหละเพื่อที่จะฝากไปให้ญาติอันเป็นที่รักของตน ถ้าเป็นอย่างที่ว่านี้แทน

ที่ความตระหนี่จะลด กับเพิ่มมัจฉริยะให้มากขึ้นใช่ไหมครับ ผมมาลองคิดอีกทีเหมือนว่า

เกิดมาชาตินี้การทำบุญก็เท่ากับโยนสิ่งของไปข้างหน้า แล้วพอถึงชาติหน้าก็ไปเก็บเอา

พอถึงชาติหน้าไปเก็บเอาก็โยนต่อไปอีก ก็คงต้องโยนกันไม่รู้จบสิ้น ช่วยวิเคราะห์ความ

คิดให้ด้วยครับว่าผิดถูกอย่างไร เพื่อเปลี่ยนแนวความคิดเสียใหม่ ให้ถูกต้อง

ขอขอบคุณมากครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 26 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กุศลเป็นสภพาธรรมที่ดีงาม กุศลแบ่งเป็นใหญ่ๆ อีก 2 อย่าง คือ กุศลที่เป็นฝ่ายมิจฉา

ปฏิปทา คือ กุศลที่เป็นทางผิด กุศลที่เป็นไปในฝ่ายเกิดนำมาซึ่งความเกิด วนเวียนใน

สังสารวัฏฏ์ และกุศลฝ่าย สัมมาปฏิปทา คือ กุศลทีเป็นไปในแนวทางที่ถูก อันเป็นไป

เพื่อการดับกิเลส ดับการเกิดในสังสารวัฏฏ์ครับ

ดังนั้น กุศลใดที่หวังเพื่อให้ได้ซึ่งรูปเสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นไปเพื่อนำ

มาซึ่งความเิกิดในภพภูมิที่ดี หวังเพื่อให้ได้สิ่งที่ดี แม้สภาพธรรมนั้นจะเป็นกุศล แต่กุศล

นั้นไม่เป็นไปเพื่ออกจากวัฏฏะ แต่ยิ่งจะนำมาซึ่งการเกิด วนเวียนไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เป็น

กุศลทีเห็นโทษของกิเลส จึงเจริญกุศล เป็นกุศลที่ไม่เห็นโทษของการเกิดด้วยปัญญา

จึงทำกุศลเพื่อการได้เกิดในภพภูมิที่ดี ให้ได้สิ่งที่ดี เมื่อเป็นกุศลที่นำมาซึ่งการเกิด ไม่

ใช่การดับ ก็เป็นกุศลที่เป็นทางที่ผิด เรียกว่า มิจฉาปฏิปทาครับ

ดังนั้นตามตัวอย่างที่ท่าผู้ถามได้ยกมา ในเรื่องการทำบุญ หวังผลบุญ อธิษฐานขอสิ่ง

ต่างๆ เมื่อทำบุญ บุญ หรือ กุศลนั้นย่อมเป็นมิจฉาปฏิปทา คือ เป็นกุศลที่เป็นทางผิด

เพราะนำไปสู่การเกิด การไม่สิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์ ก็ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายไม่มีที่สิ้น

สุดครับ เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระองค์ตรัสรู้ความจริง ด้วยพระปัญญา ทรงแสดง

หนทางดับกิเลส หนทางดับการเกิด หนทางสิ่นสุดสังสารวัฏฏ์ ด้วยกุศลที่เป็นไปใน

การดับกิเลส คือ อกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา อันเป็นการเห็นโทษของกิเลสตามความ

เป็นจริง ดังนั้น กุศลใดที่ผู้มีปัญญาเห็นโทษของกิเลส มีความตระนี่ เป็นต้น จึงให้ทาน

ทำบุญเพราะเห็นโทษของกิเลส คือ ความตระหนี่จึงให้ อันมุ่งหมายเพื่อดับกิเลส กุศล

นั้นเป็น สัมมาปฏิปทาครับ และกุศลที่ประกอบปัญญา ทีเป็นการเจริญสติปัฏฐาน คือ

การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรมไใช่เรา อันเป็นการเจริญ

วิปัสสนา กุศลนี้เป็นกุศลที่เป็นสัมมาปฏิปทา เพราะเป็นทางที่ชอบ อันนำไปสู่การดับ

กิเลสได้หมด ไม่มีการเกิดอีกครับ และกุศลใดทีเจริญด้วยความเห็นถูก โดยน้อมกุศลไป

เพื่อไม่ใช่การได้ รูป เสียง กลิ่น รสที่ดี หรือเพื่อการเกิดในภพภูมิที่ดี แต่น้อมไปเพื่อพระ

นิพพาน ดับกิเลส กุศลนั้นจึงเป็นสัมมาปฏิปทา เป็นไปเพื่อการดับกิเลสจริงๆ ครับ

ผุ้มีปัญญาจึงเห็น โทษของกิเลส จึงเจริญกุศลทุกๆ ประการและน้อมบุญไปเพื่อการดับ

กิเลส น้อมไปในพระนิพพานและอบรมปัญญาโดยการฟังพระธรรม เพื่อถึงการดับกิเลส

อันเป็นกุศลที่เป็นสัมมาปฏิปทาครับ ขออนุโมทนา

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ...ปฏิปทา ๒ [ปฏิปทาสูตร]

ว่าด้วยทำบุญต้องมุ่งนิพพาน

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 26 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น การเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นไปเพื่อหวังผลหรือต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดตอบแทนนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะในขณะนั้นเป็นไปกับด้วยอกุศล เป็นการสะสมโลภะเพิ่มขึ้น ไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ยังเป็นไปในวัฏฏะ แม้จะได้เกิดในวิมานที่ดี อันเป็นผลของกุศลกรรม ก็ยังไม่พ้นไปจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะเข้าใจว่า การเจริญกุศลทุกอย่างทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของทาน ศีล และ ภาวนา ล้วนเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น ที่จะเป็นไปเพื่อเพิ่มกิเลส เพิ่มโลภะ โทสะ โมหะ ให้มากๆ นั้น ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในชีวิตประจำวัน ควรอย่างยิ่งที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ ที่พอจะเป็นไปได้เพราะเหตุว่าถ้ากุศลจิตไม่เกิดแล้ว จิตก็เป็นกุศล ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ซึ่งเป็นโทษกับตนเองโดยส่วนเดียว กุศลธรรมทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องละ เป็นเรื่องที่จะต้องดับให้หมดสิ้น รวมถึงมัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ ความหวงแหน ด้วย ธรรมที่ตรงกันข้ามกับความตระหนี่ คือ การให้ การสละวัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น การให้ เป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับความตระหนี่อย่างสิ้นเชิง ในชาติหนึ่งๆ ถ้าทานกุศล การให้วัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่เกิด เลย ไม่มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แก่ผู้อื่นเลย ก็ไม่สามารถที่จะดำเนินไปถึงการดับกิเลสได้ ดังนั้น ควรที่จะได้พิจารณาว่า การให้ทานในชีวิตประจำวัน ก็เพื่อกำจัดกุศลธรรม คือ ความตระหนี่ของตนเอง เป็นสำคัญ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย วิริยะ  วันที่ 26 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 4    โดย ลุงหมาน  วันที่ 27 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนากับ อ. ทั้งสองท่านที่กรุณาสละเวลาตอบคำถาม เพิ่งเข้าใจครับเรื่อง กุศล

ที่เป็นไปเพื่อ มิจฉาปฏิปทา กับ สัมมาปฏิปทา

การแสดงอานิสง์ของทานต่างไว้นั้นจะดูเหมือนว่าเป็นเหยื่อล่อ หรือดอกไม้มาร

ที่หยิบยื่นให้สัตว์ทั้งหลายต้องไหลหลงไปกับมิจฉาปฏิปทา เสียส่วนมากถ้าเป็นไปอย่าง

นี้ การที่จะพูดว่าทำบุญเพื่อแสวงหานิพพานนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปได้เลย

ไม่เรียนก็ไม่รู้ ไม่ดูก็ไม่เห็น ไม่ฝึกก็ไม่เป็น

ก็ขออนุโมทนากับท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงอีกครั้งครับ


ความคิดเห็น 5    โดย chaiyakit  วันที่ 27 ส.ค. 2554


ความคิดเห็น 6    โดย bettergirl  วันที่ 28 ส.ค. 2554

ขอถามด้วยได้มั้ยคะว่า การทำบุญที่มีจุดประสงค์ ชดเชย/ทดแทน ให้เจ้ากรรมนายเวรและ

ผู้ที่มีพระคุณทั้งหลาย อย่างนี้ถือเป็น มิจฉาปฏิปทา มั้ยคะ


ความคิดเห็น 7    โดย paderm  วันที่ 28 ส.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 6 ครับ

ถ้าทำด้วยปัญญาและความเห็นถูก เป็นไปเพื่อสละกิเลส ก็เป็นสัมมาปฏิปทา ไม่เป็น

มิจฉาปฏิปทา แต่ถ้าทำด้วยความเข้าใจไม่ถูกต้อง เช่น อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ซึ่ง

เจ้ากรรมนายเวรไม่มีครับ ถ้าทำด้วยความไม่เข้าใจถูก ก็เป็นมิจฉาปฏิปทาครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ มีประโยชน์มาก

แผ่ส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรได้ไหม

เจ้ากรรมนายเวรมีจริงหรือไม่

ไม่ควรแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรพร่ำเพรื่อจริงหรือ