โมหวิจเฉทนี เรื่องกุศลจิตดวงแรก มีข้อความว่า
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเรียกศรัทธาว่า โอกัปปนา ความปลงใจเชื่อ และเรียกสติว่า อปิลาปนา ความไม่เลือนลอย เรียกเอกัคคตาว่า อโลฐิติ ความมั่นคงแห่งจิต เพราะว่าเกิดกับกุศลจิต เรียกปัญญาว่า ปริโยคาหนา ความรอบคอบ
ส่วนในฝ่ายอกุศล ธรรม ๓ อย่าง คือ ตัณหา ทิฏฐิ อวิชชา ย่อมหยั่งลงสู่อารมณ์ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเรียกธรรมทั้ง ๓ นั้นแลว่า โอฆะ
หยั่งลงสู่อารมณ์เหมือนกันแต่ต่างกันที่ ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล ก็ด้วยตัณหา ทิฏฐิ อวิชชา ซึ่งหยั่งลงสู่อารมณ์โดยเป็นโอฆะ เป็นห้วงน้ำใหญ่ ซึ่งทุกคนถูกพัดไหลไปอยู่ตลอดเวลาตามอารมณ์ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เอกัคคตาในฝ่ายอกุศลไม่เรียกว่า โอคาหนา ความหยั่งลง
เพราะว่ายังเป็นธรรมประกอบด้วยอุทธัจจะ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่สงบ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าเอกัคคตาเจตสิกจะชื่อว่าสมาธิ แต่ก็ไม่ใช่สัมมาสมาธิ และ ไม่เป็นสภาพธรรมที่จะเจริญถึงขั้นรูปฌาน อรูปฌาน หรือโลกุตตรกุศลได้ เพราะว่า ในขณะนั้นเกิดร่วมกับอุทธัจจเจตสิก และลักษณะของสติตรงกันข้ามกับอวิชชา เพราะว่าอวิชชาเป็นสภาพที่เลื่อนลอย แต่ว่าสติเป็นสภาพที่ไม่หลงลืม ไม่เลื่อนลอย
ศรัทธาตรงกันข้ามกับโลภะ เพราะว่าโลภะยอมสละให้ทุกอย่างด้วยความพอใจ ด้วยความรัก แต่ว่าศรัทธา บริจาคจริง แต่เป็นการสละออก ไม่ใช่เพื่อการติดหรือ การยึด ส่วนปัญญาก็ตรงกันข้ามกับมิจฉาทิฏฐิ
@ ธรรมที่ชื่อว่า สติ