ขอถามและอยากได้รายละเอียดเกี่ยวกับ “หสิตุปบาท” และพระอรหันต์มีการยิ้มปากกว้างๆ
เห็นฟันหลายซี่หรือหัวเราะหรือไม่
อีกเรื่องคือผู้เป็นพระโสดาบันจะเดินอย่างมากก็เร็วๆ แต่ไม่มีการวิ่งนั้นได้แสดงไว้ที่ไหน
ขอขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
หสิตุปบาท คือ จิตที่ทำให้เกิดการยิ้มแย้ม ของพระอรหันต์ หมายถึง อเหตุกกิริยาจิต ที่เป็นมโนวิญญาณธาตุทำกิจชวนะ ซึ่งเป็นจิตที่ทำให้พระอรหันต์เกิดอาการแย้มยิ้มเมื่อได้รับอารมณ์ เช่น เมื่อเห็นสถานที่น่ารื่นรมย์ ควรแก่การหลีกเร้น หรือเมื่อได้ยินเสียงของผู้ที่กล่าวผรุสวาจาต่อกัน พระอรหันต์ก็เกิดอาการแย้มยิ้ม เพราะทราบว่าตนพ้นจากเหตุที่ทำให้ไปสู่อบายแล้ว หรือ เห็นเปรตก็เกิดอาการยิ้มแย้ม เพราะรู้ว่าตัวท่านพ้นจากอบายแล้วครับ
หสิตุปาทจิตของพระอรหันต์ที่ยิ้มแย้ม จะไม่ถึงกับการหัวเราะแบบปุถุชนครับ เพียงยิ้ม แย้มเห็นฟันเล็กน้อยเท่านั้นครับ
หสนจิต เป็นจิตที่ทำให้เกิดอาการหัวเราะหรือยิ้มแย้มร่าเริง มี ๑๓ ดวง คือ
โลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ๔ ดวง
มหากุศลที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ๔ ดวง
มหากิริยาที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ๔ ดวง
และ หสิตุปปาทจิตซึ่งเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาอีก ๑ ดวง
การยิ้มแย้มหัวเราะ มี ๖ ประเภท คือ
๑. สิตะ เป็นการยิ้มหรือแย้มไม่เห็นไรฟันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. หสิตะ เป็นการยิ้มพอเห็นไรฟันของพระอรหันตสาวก พระอนาคามี
พระสกทาคามี พระโสดาบัน และปุถุชน
๓. วิหสิตะ เป็นการหัวเราะมีเสียงเบาๆ เกิดกับพระอริยบุคคลเบื้องต้น ๓
และปุถุชน
๔. อติหสิตะ เป็นการหัวเราะมีเสียงดัง เกิดกับพระสกทาคามี พระโสดาบัน และปุถุชน
๕. อุปหสิตะ เป็นการหัวเราะจนกายไหว เกิดกับปุถุชนเท่านั้น
๖. อวหสิตะ เป็นการหัวจนน้ำตาไหล เกิดกับปุถุชนเท่านั้น
พระอรหันต์ แย้มยิ้มด้วยจิต ๕ ดวง คือ ...
โสมนัสมหากิริยาจิต ๔ ดวง และ หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง
พระอริยบุคคลเบื้องต้น ๓ ยิ้มหัวเราะด้วยจริง ๖ ดวง คือ ...
โสมนัสโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๒ ดวง และ โสมนัสมหากุศลจิต ๔ ดวง
ปุถุชน ยิ้มและหัวเราะด้วยจิต ๘ ดวง คือ ...
โสมนัสโลภมูลจิต ๔ ดวง และ โสมนัสมหากุศลจิต ๔ ดวง
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 14
... ทรงกระทำความแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ ทรงแย้มพระโอษฐ์. พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงพระสรวล เหมือนอย่างพวกมนุษย์ชาวโลกีย์ ย่อมตีท้องหัวเราะว่า ที่ไหน ที่ไหน ดังนี้. ส่วนการยิ้มแย้มของพระพุทธเจ้าทั้งหลายปรากฏเพียงอาการยินดีร่าเริงเท่านั้น. อนึ่ง การหัวเราะนั้น มีได้ด้วยจิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัส ๑๓ ดวง. ในบรรดาจิตเหล่านั้น มหาชนชาวโลกย่อมหัวเราะด้วยจิต ๘ ดวง คือ โดยอกุศลจิต ๔ ดวง โดยกามาวจรกุศลจิต ๔ ดวง.พระเสกขบุคคลย่อมหัวเราะด้วยจิต ๖ ดวง นำจิตที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิฝ่ายอกุศลออก ๒ ดวง. พระขีณาสพย่อมยิ้มแย้มด้วยจิต ๕ ดวง คือ ด้วยกิริยาจิตที่เป็นสเหตุกะ ๔ ดวง ด้วยกิริยาจิตที่เป็นอเหตุกะ ๑ ดวง. แม้ในจิตเหล่านั้นเมื่ออารมณ์มีกำลังมาปรากฏ ย่อมยิ้มแย้มด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยญาณ ๒ ดวง. เมื่ออารมณ์ทุรพลมาปรากฏ ย่อมยิ้มแย้มด้วยจิต ๓ ดวง คือ ด้วยทุเหตุกจิต ๒ดวง ด้วยอเหตุกะ ๑ ดวง.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ส่วนประเด็นที่ถามว่า
อีกเรื่องคือผู้เป็นพระโสดาบันจะเดินอย่างมากก็เร็วๆ แต่ไม่มีการวิ่งนั้นได้แสดงไว้ที่ไหน
ยังไม่พบที่มาในเรื่องนี้ครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น เหตุที่ท่านไม่มีการหัวเราะเสียงดัง หรือยิ้มอ้าปากกว้างเหมือนปุถุชน เพราะท่านละกิเลสได้หมดแล้ว เมื่อพระอรหันต์ท่านดีใจ เพียงแย้มเห็นไรฟันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หสิตุปาท (มาจากคำว่า หสิต [การแย้มยิ้ม] + อุปาท [การเกิดขึ้น]) หมายถึง จิตที่ทำให้เกิดการแย้มยิ้ม เป็นจิตที่มีเฉพาะในพระอรหันต์เท่านั้น เป็นจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุใดๆ ทั้งสิ้น และเป็นจิตชาติกิริยา
ปกติของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีกิริยาจิตเพียง ๒ ประเภท เท่านั้น คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต และ มโนทวาราวัชชนจิต ส่วนผู้ที่เป็นพระอรหันต์ มีกิริยาจิตมากกว่านี้ และ หนึ่งในนั้น ก็คือ หสิตุปาทจิต (จิตแย้มยิ้มของพระอรหันต์) สำหรับพระอรหันต์ ท่านแย้มยิ้ม ด้วยจิต ๕ ดวง คือ มหากิริยา (ที่เป็นสเหตุกกิริยา) ๔ ดวง อันประกอบด้วยโสมนัสเวทนา และ อีก ๑ ดวง เป็นอเหตุกกิริยา คือ หสิตุปาทจิตนั่นเอง ดังนั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์จะไม่มีหสิตุปาทจิตเลย ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์สามารถแย้มยิ้มได้ด้วยจิตหลายประเภท กล่าวคือด้วยโลภมูลจิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา และ มหากุศลที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ผู้ที่ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมจะมีความเข้าใจว่า การที่จะมีปัญญาเพิ่มขึ้น เจริญขึ้นเรื่อยๆ นั้นต้องอาศัยการฟัง การศึกษาการสนทนา การสอบถาม การพิจารณาการใคร่ครวญ ค่อยๆ ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เท่านั้น ปัญญาจึงจะเจริญขึ้นได้ ซึ่งเป็นการสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ สิ่งที่สะสมไว้ย่อมไม่หายไปไหนแต่สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ, ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจฟังด้วยดี ไม่เข้าไปอาศัยผู้เป็นพหูสูต ไม่สนทนาไม่สอบถาม ไม่พิจารณาในเหตุในผล ย่อมไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญได้เลย กล่าวคือไม่ได้ปัญญา นั่นเอง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอขอบพระคุณค่ะ ขอบถามเพิ่มอีกนิดนะคะว่า มีการแสดงไว้บ้างหรือเปล่าเกี่ยวกับการ
เดินหรือกิริยาท่าทางในการเดินของผู้ที่เป็นโสดาบัน เนื่องจากมีการพูดคุยกันในเรื่อง
การปฏิบัติของพระอริยบุคคล และดิฉันก็ติดใจตรงประเด็นที่ว่า (สรุปประมาณว่า) พระ
โสดาบันนั้นเวลาเดินถึงจะรีบเร่งยังไงก็จะไม่วิ่งต่อให้ฝนตกลงมา อย่างมากก็แค่เดินเร็ว
และเนื่องจากดิฉันศึกษาพระสูตรมายังไม่มากนักก็เลยสงสัย เพราะอาจจะมีพระสูตรอื่น
ที่พระโสดาบันมีกิริยานอกเหนือจากที่ได้รับฟังมาค่ะ อยากทราบไว้เป็นความรู้เหมือนกับ
ที่เราทราบว่าพระอรหันต์ท่านยิ้มเพียงเห็นไรฟันตามเหตุผลที่มีในพระสูตรฯ เมื่อมองผู้ที่
ถูกอ้างว่าเป็นอรหันต์หัวเราะเอ์๊อกอ๊าก เราอาจจะชี้จุดนี้ให้ผู้เข้าใจผิดได้นอกเหนือจาก
คุณธรรมของพระอรหันต์ เพราะสมัยนี้ยังมีบางคนมาบอกคนนั้นเป็นอรหันคนนี้เป็น
โสดาบันเราคงไปเถียงหรือบอกอะไรไม่ได้ นอกจากจะยกพระไตรปิฏกมายัน แต่ก็คงแค่
ยกในส่วนที่หามาได้มาอ้างและแค่ในบางจุดสำหรับบางคน เพราะถ้าเราไปบอกว่าพระ
อริยบุคคลขั้นนี้ต้องเป็นผู้มีคุณธรรมแบบนี้ หรือยุคนี้มีแค่ขั้นนี้...เผลอๆ อาจจะผิดพลาด
อย่างมหันต์เพราะเราเองก็ยังศึกษาอยู่เลยแต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนอีกหลายคนหลงผิดค่ะ
ขอถามอีกข้อค่ะพระสูตรที่พระอานนท์เดินตามพระพุทธเจ้า และทราบว่าพระพุทธเจ้ายิ้ม
เลยทูลถามปัญหา ชื่อว่าพระสูตรอะไรคะ (จะนำมาศึกษาประกอบการยิ้ม"สิตะ"ของพระ
พุทธเจ้าค่ะ) ขอขอบพระคุณค่ะ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
จากความคิดเห็นที่ 5 ที่ยกมาครับ เรื่องการเดิน ไม่วิ่ง ซึ่งข้อความแสดงไว้ในพระ
ไตรปิฎกใน คาถาธรรมบท เรื่องนางวิสาขาครับ ซึ่งตอนนั้น ฝนตก นางวิสาขาไม่วิ่ง
แต่ค่อยๆ เดิน ซึ่งนางวิสาขาได้กล่าวว่า ชนที่วิ่ง 4 จพวกย่อมไม่งาม คือ 1. พระราชา
2. ช้างมงคล 3. บรรพชิต 4. สตรี
ชน 4 จำพวกนี้เมื่อวิ่งย่อมไม่งาม แต่ไม่ได้กล่าวถึงพระอริยบุคคลว่าจะวิ่งหรือไม่วิ่ง
ครับ แต่ถ้าเป็นบรรพชิต แม้เป็นปุถุชนก็ไม่ควรวิ่งเพราะไม่งามครับ
ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่หัวเราะครับ ท่านเพียงแย้มยิ้มเท่านั้นครับ
เรียนความเห็นที่ 6 ครับ
ชื่อพระสูตรว่า ฆฏิการสูตร ครับ เมื่อพระพุทธเจ้าแย้มยิ้มเมื่อเห็นสถานที่หนึ่ง พระ
อานนท์เดินตามมาข้างหลังก็รู้ได้ เพราะมีพระรัศมี ออกจากพระเขี้ยวแก้วของพระองค์
รัศมีนั้นวน 3 รอบ พระอานนท์จึงเห็นได้ จึงรู้ว่าพระพุทธเจ้าแย้มยิ้ม แม้พระอานนท์จะ
เดินตามไปข้างหลังก็ตามครับ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 15
อนึ่ง ความแย้มนี้นั้น ถึงมีประมาณเล็กน้อยอย่างนี้ ก็ได้ปรากฏแก่พระเถระ. ถาม
ว่า ปรากฏอย่างไร. ตอบว่า ธรรมดาในกาลเช่นนั้นเกลียวรัศมีมีประมาณเท่าต้นตาล
ใหญ่ รุ่งเรืองแปลบปลาบประดุจสายฟ้ามีช่อตั้ง๑๐๐ จากพระโอษฐ์ ประหนึ่งมหาเมฆที่
จะยังฝนให้ตกในทวิปทั้ง ๔ ตั้งขึ้นจากพระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ กระทำประทักษิณพระเศียร
อันประเสริฐ ๓ รอบ แล้วก็อันตรธานหายไป ณ ปลายพระเขี้ยวแก้วนั่นแล. เพราะ
เหตุนั้นท่านพระอานนท์ถึงจะเดินตามไปข้างพระปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ทราบถึงความแย้มพระโอษฐ์ด้วยสัญญานั้น.
ขอขอบพระคุณอย่างสูงในข้อมูลที่ท่านกรุณานำมาแสดงให้ และขออนุโมทนาในกุศลจิต
ของท่านค่ะ