
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 91 - 92
๙. พาลบัณฑิตสูตร
ว่าด้วยความต่างแห่งพาลและบัณฑิต
[๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนั้น จะแปลกกันอย่างไร จะมีอธิบายอย่างไร จะต่างกันอย่างไร ระหว่างบัณฑิตกับพาล พวกภิกษุกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมของพวกข้าพระองค์มี พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเดิม มี พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้นำ มี พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นที่รวมลง ขอประทานพระวโรกาส เนื้อความแห่งพระภาษิตนี้ แจ่มแจ้งแก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เดียว ภิกษุทั้งหลายได้ฟังจาก พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ว จักทรงจำไว้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับ พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ว.
[๕๙] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาล ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น คนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย เมื่อเข้าถึงกาย ชื่อว่ายังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์.
กายนี้ของบัณฑิตผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น บัณฑิตละได้แล้ว และตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขาไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่าย่อมพ้นจากทุกข์.
อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความต่างกันของบัณฑิตกับคนพาล กล่าวคือ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์.
จบพาลบัณฑิตสูตรที่ ๙
อรรถกถาพาลบัณฑิตสูตรที่ ๙
วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 289
[เพราะประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ ... พยัญชนะ ... ]
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เมื่อทรงแสดงธรรม ย่อมทรงประกาศคือทรงแสดงโดยนัยต่างๆ ซึ่ง ศาสนพรหมจรรย์ และมรรคพรหมจรรย์ อันใด ศาสนพรหมจรรย์และมรรคพรหมจรรย์อันนั้น ชื่อว่า สาตฺถะ เพราะความถึงพร้อมแห่งอรรถ ชื่อว่า สพฺยญฺชนะ เพราะความถึงพร้อมแห่งพยัญชน ะตามสมควร
อ.ณภัทร: ผมขออัญเชิญพระสูตร พาลบัญฑิตสูตร และขอความอนุเคราะห์จากท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจในรายละเอียดเพิ่มเติมครับ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับ พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ว.
[๕๙] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาล ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น คนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย เมื่อเข้าถึงกาย ชื่อว่ายังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์.
กายนี้ของบัณฑิตผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น บัณฑิตละได้แล้ว และตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขาไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่าย่อมพ้นจากทุกข์.
อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความต่างกันของบัณฑิตกับคนพาล กล่าวคือ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์.
ก็เป็นข้อความที่ไพเราะอย่างยิ่งครับว่า ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสให้เห็นความแตกต่างระหว่างคนพาล กับผู้ที่เป็นบัณฑิตโดยต่างกัน โดยการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
เพราะฉะน้ั้น ก็จะกราบเท้าท่านอาจารย์ว่า การประพฤติพรหมจรรย์ของบัณฑิต จะมีความละเอียดอย่างไรที่จะเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การดับกิเลสหมดสิ้นโดยสิ้นเชิงครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่รู้จักกิเลส จะดับกิเลสได้ไหม?
อ.ณภัทร: ไม่สามารถจะดับได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจอย่างละเอียด กิเลสคืออะไร? ถ้าเราไม่รู้เราก็ดับกิเลสไม่ได้
อ.ณภัทร: ครับ กิเลส ก็คืออกุศล ความไม่ดีทั้งหลาย เช่น ความติดข้องต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในชีวิตประจำวันครับ เป็นต้น รวมถึงความขัดเคือง ความไม่พอใจ ความเดือดร้อนใจ รวมไปถึงความไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งเป็นธรรมะที่ไม่ใช่เราครับ
ท่านอาจารย์: ทั้งหมดเพราะไม่รู้ อย่างที่คุณณภัครเพิ่งกล่าวถึงใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ใช่ครับ มีมากมายจริงๆ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องมากขึ้นๆ แทนที่จะลดน้อยลง
อ.ณภัทร: ครับ ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็สะสมมากขึ้นๆ ครับ
ท่านอาจารย์: ไม่มีทางอื่นเลยที่จะละ มีแต่เพิ่มขึ้น จนกว่าจะรู้ว่า เหตุทั้งหมดมาจากความไม่รู้ความจริง ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏทุกขณะ และใครล่ะรู้? เคยได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม เป็นใคร? ต่างกับใครแค่ไหน? แม้แต่คำว่า ตรัสรู้ หมายความว่ารู้ความจริงใช่ไหม? ไม่ใช่ขั้นคิด ขั้นจำ ขั้นไตร่ตรอง แต่ประจักษ์แจ้งความจริงถึงที่สุดตามความเป็นจริงนั้นๆ
ธาตุรู้ มีไหม?
อ.ณภัทร: มีครับ
ท่านอาจารย์: และมี ธาตุรู้ อยู่ตลอดเวลาใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: มืดตลอดเวลาหรือเปล่า?
อ.ณภัทร: จะตอบท่านอาจารย์อย่างไรดี
ท่านอาจารย์: แม้แต่ความมืดซึ่งมองเห็น ยังรู้ไม่ได้เลย และความมืดยิ่งกว่านั้นล่ะ ที่ไม่รู้ความจริงของทุกสิ่ง เพราะทุกสิ่งไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเพราะไม่ได้ตรัสรู้
ความต่างอยู่ที่ตรัสรู้ เป็นผู้ที่รู้ความจริงที่มี ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ความจริงรู้ได้แน่เพราะเป็นความจริง แต่ถ้าไม่เคยไตร่ตรอง ไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ยากที่จะรู้ และไม่สามารถจะรู้ได้เองด้วย จนกว่าจะมีบุคคลผู้ตรัสรู้ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ฟังคำของคนอื่นก็ไม่รู้ความจริง เพราะไม่ได้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เริ่มสนใจ ผู้ตรัสรู้ความจริง สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง จึงทรงเป็นผู้ตรัสรู้ พุทธะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ดับกิเลสทั้งหมด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าไม่มีบุคคลผู้นี้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้เลย
อ.ณภัทร: ครับ เป็นอย่างนั้นเลยครับ ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีหนทางที่จะรู้อย่างที่พระองค์ทรงแสดงได้เลยครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คิดเองได้ไหม? ถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ
อ.ณภัทร: คิดเองไม่ได้แน่นอนครับ ต่อให้จะคิดสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะคิดได้ครับ
ท่านอาจารย์: แต่ พอได้ฟังคำที่ทรงแสดงความจริง ไตร่ตรองทีละเล็กทีละน้อย ถูกหรือผิด? จริงหรือไม่?
อ.ณภัทร: ใช่ครับ ก็ค่อยๆ ไตร่ตรองในคำแต่ละคำของพระองค์ครับ
ท่านอาจารย์: จึงรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิเช่นนั้น ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน!!
อ.ณภัทร: ดังนั้น การที่พระองค์ทรงแสดงว่า ความต่างของผู้ที่เป็นคนพาลที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง กับบัณฑิตเป็นผู้รู้ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ จะมีความละเอียดอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: พรหม คืออะไร? พรหมจรรย์ คืออะไร?
อ.ณภัทร: กราบเรียน อ.คำปั่น ให้ความหมายของพรหม และพรหมจรรย์ครับ
อ.คำปั่น: ข้อความใน อรรถกถา ก็ได้อธิบายไว้ครับ ก็คือ มรรคพรหมจรรย์ ซึ่งความหมายของ พรหมจรรย์ ก็คือความประพฤติที่ประเสริฐ และความประพฤติที่ประเสริฐยิ่ง ก็คือการอบรมเจริญมรรค ก็คือหนทางที่ถูกต้องครับ ตั้งแต่ความเห็นชอบ เป็นต้น ซึ่งจะมี มรรคพรหมจรรย์ ได้ ก็ต้องอาศัย ศาสนพรหมจรรย์ ก็คือคำสอนที่ประเสริฐยิ่ง ซึ่งก็คือพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ ก็กราบท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: จรรย์ จริยา คือความประพฤติ แค่นี้!! เหมือนรู้ แต่ความประพฤติของอะไร? ต้องละเอียดด้วย ของสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นรู้
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะที่เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความเข้าใจความจริง หรือการไม่เข้าใจความจริง ก็ต่างกัน
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ เห็นเกิดขึ้น ประพฤติอย่างไรจึงเป็นพรหมจรรย์? มีเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าเห็นเกิดเพราะมีปัจจัย แล้วก็ดับ อย่างนั้นจะมีหนทางที่จะเป็นพรหมจรรย์ไหม?
จริยา ความประพฤติเป็นไปที่ประเสริฐเพราะหมดจดจากกิเลส ขัดเกลากิเลสจนไม่เหลือ เป็นความประพฤติที่ประเสริฐสุด เพราะว่าสภาพรู้เกิดขึ้นต้องรู้ และประพฤติเป็นไปทางหนึ่งทางใดทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งมากมายมหาศาล เกิดขึ้นดับไปไม่กลับมาอีกเลย สิ่งนั้นที่เกิดแล้วจะกลับมาอีกไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้นเพราะดับไปแล้วไม่กลับมาอีก มีสภาพธรรมะเกิดต่อ ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้นที่เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีก เป็นอย่างนี้มานานเท่าไหร่?
เพราะฉะนั้น เป็นความประพฤติที่เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายอกุศลกิเลสทั้งหมดหรือเปล่า ด้วยความไม่รู้เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มเข้าใจ แล้วค่อยๆ ขัดเกลาความไม่รู้ซึ่งหนาแน่นมากทุกขณะที่มีสิ่งใดปรากฏ จนกว่าจะรู้ความจริงประจักษ์แจ้งความจริงถึงที่สุด เป็นการตรัสรู้ลักษณะที่กำลังเป็นจริงโดยที่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้มาตลอด
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: พรหมจรรย์ หนทาง จริยา ความประพฤติเป็นไปไม่ใช่อย่างอื่นที่ประเสริฐสุด คือได้ค่อยๆ รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ทันจะรู้อะไรเลยถ้าไม่ได้ฟังความจริงจนกระทั่งค่อยๆ ระลึกได้ ระลึกรู้ตามสิ่งที่เป็นจริงที่ได้ฟัง
อ.ณภัทร: ครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่ ..
๙. พาลบัณฑิตสูตร ว่าด้วยความต่างแห่งพาลและบัณฑิต
ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ ... พยัญชนะ.. [วิสุทธิมรรคแปล]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.ณภัทร ด้วยความเคารพค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ