Thai-Hindi 17 September 2022
โดย prinwut  17 ก.ย. 2565
หัวข้อหมายเลข 43986

Thai-Hindi 17 September 2022


- ก่อนเห็นมีอะไร ต้องมีจิตแน่ๆ ใช่ไหม

- ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ต้องสามารถเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ถูกไหม

- เพราะฉะนั้นต้องฟังดีๆ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าจิตเห็นไม่เกิด ก่อนนั้นมีอะไร มีจิตแน่นอนแต่จิตอะไร

- ต้องไม่ลืม การศึกษาธรรมคือ ศึกษาที่เป็นธรรมเดี๋ยวนี้ กำลังมีธรรมและไม่เคยรู้มาก่อนเพราะฉะนั้นศึกษาธรรมไม่ใช่ไปศึกษาเรื่องชื่อ แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งซึ่งเป็นธรรมจริงๆ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้

- เพราะฉะนั้นก่อนจิตเห็น มีจิตใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นก่อนจิตเห็น ต้องมีจิตอะไร (อาวัชชนจิต) ปรากฏรึเปล่า (ไม่ปรากฏ) แต่รู้ว่ามีได้อย่างไร (จากการศึกษา) นี่กำลังศึกษาธรรมรึเปล่า (ไม่)

- เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่ทรงแสดง จะรู้จักจิตไหม

- พูดเรื่องจิตมากมาย คิดเรื่องจิตมากมายแต่รู้จักจิตเดี๋ยวนี้รึเปล่า

- เพราะฉะนั้นต้องฟังดีๆ ถึงจะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทำให้ที่ไม่เคยรู้มาเลยในสังสารวัฏฏ์ ได้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้

- แม้แต่คำเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ฟังร้อยครั้งพันคร้ังก็ยังไม่รู้จักสิ่งนั้น

- จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเข้าใจธรรมซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ต้องฟังและไตร่ตรองจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น

- คุณอาช่าบอกว่า เดี๋ยวนี้มีจิต แต่จิตคืออะไร (สภาพรู้) พูดได้ เรียกได้ แต่คุ้นเคยกับธาตุที่เกิดขึ้นรู้รึเปล่า (ไม่)

- เพราะฉะนั้นฟังเรื่องจิต พูดเรื่องจิต คิดเรื่องจิต แต่กว่าจะคุ้นเคยกับสภาพที่เป็นจิต อีกนานเท่าไหร่

- จิตเป็นสภาพรู้ ๑ ใช่ไหม เดี๋ยวนี้เห็นเป็นสภาพรู้ กำลังเห็นสิ่งที่มีที่ปรากฏให้รู้ เป็นจิตใช่ไหม

- ตอบได้ว่าเป็นจิต ตอบได้ว่าเป็นธาตุรู้ เพียงแค่ตอบ ตอบถูกแต่เป็นคำตอบ ไม่ใช่การรู้จักจิตเดี๋ยวนี้ นี่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ประมาณไม่ได้เลยเพราะเหตุว่า จากความไม่รู้ จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี

- ทุกคนตอบได้ ก่อนจิตเห็นมีจิตที่เกิดก่อน รู้สิ่งที่กระทบตาแต่ไม่เห็น

- ใครถึงจิตนั้นบ้าง ในเมื่อจิตเห็นกำลังเห็นก็ยังไม่คิดถึงจิตนั้นเลย

- ถ้าไม่มีตาจะเห็นไหม อะไรเป็นสิ่งที่กระทบตาได้ เห็นไหมความละเอียด อะไรเป็นสิ่งที่กระทบได้ สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้กระทบได้แต่ว่าสิ่งที่กระทบตาไม่สามารถจะรู้อะไรได้

- การเรียกชื่อจิตไม่ยาก การจำชื่อจิตไม่ยาก แต่การจะรู้จริงๆ ว่าจิตเป็นสิ่งที่กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเดี๋ยวนี้ ยากกว่า

- เดี๋ยวนี้จิตกำลังเห็น เรียกชื่อได้ สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ เรียกชื่อได้แต่ไม่รู้ความจริงของทั้ง ๒ อย่าง

- ความจริงของทั้ง ๒ อย่างคืออะไร (เป็นสิ่งที่มีจริง) ทั้ง ๒ อย่างเหมือนกันรึเปล่า เป็นอะไร (สภาพรู้กับสภาพที่ไม่รู้)

- นี่เป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเริ่มเข้าใจจริงๆ

- การหวังดีที่จะให้คนอื่นเข้าใจธรรมไม่ใช่เป็นชื่อต่างๆ ของธรรมแต่ต้องเป็นความเข้าใจที่มั่นคงตั้งแต่ต้น

- ทั้ง ๒-๓ คนที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ เห็นประโยชน์อย่างนี้จริงๆ รึเปล่า

- ธรรมเป็นเรื่องละเอียด ไม่ใช่รีบร้อน ต้องรู้จริงๆ ว่าเขาต้องการอะไร สงสัยอะไร

- เปิดโอกาสคนใหม่ ถ้าสงสัยอะไรให้ถามเพราะจะเป็นการตั้งต้นสำหรับทุกคน

- เราไม่ต้องบอกเขาเลย ให้เขาเป็นคนคิดและฟัง เขาจะรู้ว่า ยากแค่ไหน

- การสนทนาธรรมเป็นเรื่องสบายๆ จากการที่ไม่รู้เลย ได้ยินคำอะไรก็ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ คิดว่าจริงรึเปล่า

- คนใหม่ไม่เคยได้ยินคำว่า โสดาบัน ไม่รู้ว่าเป็นอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถึงคนที่เคยได้ยินบ้างแต่เขาไม่เข้าใจ เรารู้อย่างนี้จึงค่อยๆ ให้เขาเห็นความลึกซึ้งซึ่งจะต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ แม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องเป็นอย่างนั้นในตอนต้น

- เวลาที่มีคนไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสเรื่องธรรมดาๆ เขาไม่เห็นความลึกซึ้งถ้าเขาไม่ได้ฟัง

- เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรมเพื่อให้เข้าใจความจริง ไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่นเลย ไม่ใช่ให้อยากรู้เยอะๆ ไม่ใช่ให้รู้ว่า คำนั้นหมายความว่าอะไร ไม่ใช่ให้รู้ว่า เมื่อไหร่ปัญญาระดับนั้นจะเกิดได้

- เพราะฉะนั้นเขาต้องเข้าใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ธรรมดาแต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

- ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องทำอะไร อยู่ที่นี่ก็สนทนากันถึงสิ่งที่กำลังมีเพื่อจะได้รู้ความจริง

- เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังมี ตรงนี้ เขาอยากรู้อะไร (คิด)

- คุณมธุกำลังคิด คุณอาช่ากำลังคิด คิดเหมือนกันไหม (ไม่) ทำไมไม่เหมือน

- ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องจิตเลยสักคำ ยังไม่ได้พูด ไปเอาชื่อมาตอบทำไม

- เพราะฉะนั้นเขา “เลือก” ที่จะคิดอย่างที่คุณอาช่าคิดได้ไหม เพราะฉะนั้นบังคับไม่ได้ใช่ไหม

- ความคิดมีจริงๆ รึเปล่า บังคับความคิดได้ไหม บังคับไม่ให้คิดเกิดได้ไหม แล้วทำไมมีคิด (เกิดขึ้นเอง)

- เกิดขึ้นเอง ใครคิดเอง เพราะฉะนั้นคิดมีจริงใช่ไหม บังคับไม่ให้คิดเกิดไม่ได้ใช่ไหมเพราะฉะนั้นต้องมีเหตุที่ทำให้คิดเกิดใช่ไหม ถ้าหมดเหตุที่จะให้คิด คิดเกิดได้ไหม คิดมีจริง คิดเป็นของใคร เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นแต่ละ ๑ คิดเป็นคิด จำเป็นจำ ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ถามคนใหม่ว่า จริงไหม

- ความคิดเมื่อกี้นี้หมดรึยัง ให้คิดเมื่อกี้นี้กลับมาเกิดคิดอย่างนั้นได้ไหม

หมายความว่า สิ่งที่เกิดแล้วหมดไปไม่กลับมาอีกใช่ไหม เขาบังคับให้อะไรเกิดขึ้นได้ไหม เพราะอะไร เพราะฉะนั้นคิดเป็นคิด ไม่ใช่เขาคิดใช่ไหม

- เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เขาใช่ไหม เพราะฉะนั้นเข้าใจไหมว่า ทุกอย่างไม่ใช่เขา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่เป็นแต่ละ ๑ ที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น

- เขาเห็นคุณอาช่าไหม เห็นคุณอาช่าหรือ (ไม่ใช่) แล้วเห็นอะไร

- มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไหม เปลี่ยนสิ่งที่ถูกเห็นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นคุณอาช่ารึเปล่า ทำไมไม่เข้าใจในเมื่อเห็นต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

- บังคับไม่ให้เห็นเกิดขึ้นเห็นได้ไหม บังคับให้สิ่งที่ถูกเห็นไม่เกิดขึ้นได้ไหม ต้องตรงต่อความจริง ความจริงเปลี่ยนได้ไหม

- เพราะฉะนั้นเห็นเมื่อกี้นี้กับเห็นเดี๋ยวนี้เป็นเห็นเดียวกันรึเปล่า เห็นเมื่อกี้นี้อยู่ไหน เพราะอะไร

- ตรงต่อความเป็นจริง ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย



ความคิดเห็น 1    โดย prinwut  วันที่ 17 ก.ย. 2565

- สิ่งที่เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย เป็นใครหรือเป็นของใครหรือเป็นอะไรได้ไหม นี่เป็นความหมายของคำว่า อนัตตา

- สิ่งที่เกิดเกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลยเป็น สุญญตา เหลือนิดเดียวได้ไหม (ไม่)

นี่คือความมั่นคงในการเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- เริ่มรู้ไหมว่า ใครเป็นผู้ที่กล่าวคำนี้ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วรึยัง เริ่มเห็นคุณใหญ่ยิ่งในสังสารวัฏฏ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารึยัง

- เพราะฉะนั้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุหรือไปนมัสการที่ที่ประทับคืออะไร

- ถ้าไม่เข้าใจคำของพระองค์จะรู้จักพระองค์ไหม

- ถ้าไม่เข้าใจคำของพระองค์ จะรู้ไหมมีค่าเหนือทรัพย์สมบัติใดๆ ในโลกทั้งสิ้น

- ให้มีเงินทองมากมาย มีความสะดวกสบาย มีความไม่เดือดร้อนใจทั้งหมดแต่ไม่เข้าใจคำที่พระองค์ตรัสสักคำ สิ่งใดจะมีค่ากว่ากัน

- เมื่อมีความเข้าใจพระธรรม เห็นค่าสูงสุดของพระธรรม ก็รู้ความประสงค์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย

- ความเข้าใจคุณ การเห็นประโยชน์สูงสุดของทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ผู้ที่ได้เข้าใจไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจด้วย แต่ต้องศึกษาจนกระทั่งเข้าใจความละเอียดลึกซึ้งมิฉะนั้นก็เข้าใจผิด

- การเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผิด ทำให้ทำลายคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด

- เพราะฉะนั้นไม่ใช่ถามเรื่องชื่อ จำชื่อ แต่ต้องเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ปัญจทวาราวัชชนะปรากฏรึเปล่า

- ถ้าไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏ จะรู้อย่างอื่นที่ไม่ปรากฏได้ไหมเพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตายอะไรปรากฏ

- รู้จักรึยัง เพราะฉะนั้นต้องเริ่มเข้าใจความลึกซึ้ง ไม่เห็นคุณอาช่า ไม่เห็นคุณอาคิ่ล ไม่เห็นพระวิหารเชตวัน เห็นอะไร

- สามารถประจักษ์ความจริงนี้ได้ไหม เพราะฉะนั้นนี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงหนทางที่พระองค์ได้ตรัสรู้ เราไม่มีประจักษ์ความจริงนี้ได้เลย

- เพราะฉะนั้นต้องอดทนมากกว่าจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏอย่างนั้นได้ ต้องมีความเพียรที่จะฟัง ค่อยๆ ฟังทีละน้อยจนกระทั่งมั่นคงรึเปล่า รู้ว่าสามารถจะรู้ได้แน่นอนก็เป็นสัจจบารมี ไม่ทำอย่างอื่นเลย แต่จะต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น อีกนานเท่าไหร่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านานเท่าไหร่กว่าจะตรัสรู้

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีรึเปล่า มากกว่าเรามากจนกระทั่งบรรลุสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น

- เพราะฉะนั้นกำลังศึกษาให้เข้าใจคำที่พระองค์ตรัสเพื่อรู้ความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้

- สามารถจะรู้อะไรได้ สามารถจะรู้อะไรได้บ้าง หมายความว่า สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ใช่ไหม

- ต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่าอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ ทางหูเดี๋ยวนี้ ทางจมูกเดี๋ยวนี้ ทางลิ้นเดี๋ยวนี้ ทางกายเดี๋ยวนี้ ทางใจเดี๋ยวนี้ สามารถที่จะรู้ได้ เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป

- ถ้ามีการประจักษ์แจ้งสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้วดับไป อนิจจัง

ทุกขัง เกิดแล้วดับ ไม่เหลืออะไรเลย ไม่ควรจะติดข้องในสิ่งที่ไม่เหลือ

สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น

- เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องละความเป็นเราและเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มิฉะนั้นจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไม เพื่อรู้ความจริงจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งในความเกิดดับเป็นอริยสัจจธรรมที่ ๑

- ถ้าการที่สภาพธรรมเกิดดับไม่ปรากฏอย่างขณะนี้ ก็ทำให้เป็นสภาพธรรมที่ติดข้องในสิ่งที่เกิดขึ้น

- เมื่อไม่ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปก็เป็นอริยสัจจธรรมที่ ๒ ติดข้องในสิ่งที่เกิดดับ

- การเกิดดับของธรรมเร็วสุดที่จะประมาณได้ต่อกันทำให้ปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานต่างๆ

- สภาพธรรมเกิดดับ ทุกอย่างทีละ ๑ เร็วมากต่อกันทำให้ปรากฏเป็นนิมิตต่างๆ

- เดี๋ยวนี้กำลังอยู่ในโลกของนิมิตใช่ไหม เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยน หรือว่า พระองค์ก็อยู่ในโลกของนิมิตด้วย

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอยู่ในโลกของนิมิตเช่นคนอื่น แต่มีปัญญาที่จะเข้าใจถูกในธรรมที่ทำให้เกิดนิมิตแต่ละ ๑

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งธรรมที่ทำให้เกิดนิมิต พระองค์จึงทรงรู้ว่า นี่เป็นท่านพระอานนท์ นั่นเป็นท่านพระมหากัสสัปปะ

- ทุกคนอยู่ในโลกของนิมิต สังสารวัฏฏ์มานาน ไม่รู้ว่าความจริงไม่มีอะไรเหลือเลย ทุกสิ่งที่เกิด ดับไปไม่กลับมาอีก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอบรมบารมีทั้งหมดเพื่อรู้ความจริงของแต่ละ ๑ ที่ปรากฏ

- การประจักษ์แจ้งการรู้ความจริงเกิดขึ้นและดับแต่ไม่มีลืม

- ขณะที่กำลังฟังเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์และทรงแสดงเป็นการเริ่มปลูกฝังความเห็นถูกจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง

- การไม่รู้ความจริงเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์หนาแน่นมากมาย แต่ความเริ่มเข้าใจเพียงเข้าใจเพียงเล็กน้อยไม่เท่ากับการสะสมความไม่รู้ ต้องอาศัยความเข้าใจสิ่งที่มีจากการได้ฟังพระธรรมจนกว่าจะมีปัญญามากกว่านี้เพิ่มขึ้น

- ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรมทุกประการเป็นเวลา ๔๕ พรรษา เพื่อให้ทุกคนเข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้

- เมื่อพระองค์ทรงแสดงพระธรรม คนที่ได้สะสมบารมีมาแล้วสามารถที่จะรู้ความจริงได้เป็นจำนวนมาก

- เพราะฉะนั้นการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่พิจารณาไตร่ตรองให้เข้าใจจริงๆ จะไม่สามารถรู้จักพระองค์ได้เลย

- เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่เริ่มฟังต้องมีความเข้าใจในความลึกซึ้งของธรรมอย่างมั่นคง

- ต้องมีฉันทะ เห็นประโยชน์อย่างยิ่งของการที่จะเข้าใจธรรมและมี วิริยะ ความเพียร และความอดทนที่จะรู้ตรงความจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ได้ เมื่อมีการเห็นประโยชน์ก็จะมีฉันทะ มีความสนใจที่จะเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น

- ทุกอย่างที่มีจริงทุกขณะในทุกโลกสามารถที่จะรู้ความจริงได้เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงนั้น

- ปัญญาที่เห็นประโยชน์ของความจริง เริ่มฝังรากที่จะอบรมให้ปัญญานั้นเจริญขึ้น ความเข้าใจวันนี้เริ่ม “ฝังราก” รึยัง

- ต้องอาศัยบารมีทั้ง ๑๐ ทำนุบำรุงให้ปัญญานั้นเจริญเติบโตขึ้นและสิ่งที่จะทำนุบำรุงและฝังรากให้ปัญญาเจริญขึ้นคือ ความละเอียดอย่างยิ่งในความลึกซึ้งของธรรม

- ต้องเริ่มรู้ว่า เราศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจสภาพรู้และสภาพที่ไม่รู้เพราะจริงๆ แล้ว ทั้ง ๒ อย่างเป็นธรรมประเภทใหญ่

- สิ่งที่มีจริงทั้งหมดต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๒ อย่าง สภาพธรรมแต่ละ ๑ เป็นแต่ละ ๑ ไม่เหมือนกันแต่เกิดพร้อมกันได้และเกิดร่วมกันได้แต่ไม่ใช่อย่างเดียวกัน

- จำคุณอาช่าได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้น จำไม่ใช่เห็น แต่ละ ๑ ที่มีจริงที่ปรากฏเป็นแต่ละ ๑ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เรา

- ฟังธรรมทุกคำเพื่อรู้ความจริงแต่ละ ๑ ว่าไม่ใช่เรา ถ้าไม่รู้ความจริงของธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งรวมกันแล้วปรากฏเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นก็จะไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง


ความคิดเห็น 2    โดย prinwut  วันที่ 17 ก.ย. 2565

- เพราะฉะนั้นวันนี้มีอะไรบ้าง (เห็น) เพราะนั้นตลอดชีวิตมีเห็นถ้าตาไม่บอดใช่ไหม เห็นแล้วก็ไม่มีเห็นใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความจริงว่า ทุกอย่างมีแต่หมดแล้ว แสนสั้น แต่ยังไม่รู้

- กำลังโกรธเป็นธรรมรึเปล่า หรือเป็นเราโกรธ เวลาโกรธเกิดขณะนั้นรู้ไหมว่า เป็นธรรม นี่แสดงว่าเป็นคนตรงจนกว่าจะรู้

- เวลาเกิดโกรธ โกรธเกิดแล้วดับรึเปล่า โกรธอะไร ขณะนั้นโกรธอะไร ได้ยินเสียงแล้วโกรธ โกรธเสียงหรือโกรธอะไร ขณะที่คิดเสียงยังมีไหม (ไม่)

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงละเอียดอย่างยิ่งทุกขณะ ต้องมีการได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจก่อนที่จะรู้ว่าเสียงนั้นมีความหมายว่าอะไร

- เพราะฉะนั้นได้ยินเสียงที่ไม่น่าฟัง ไม่ชอบเสียงที่ไม่น่าฟัง ยังไม่รู้ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไรแสดงว่าเราไม่ได้รู้

ความจริงของสภาพธรรมที่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ก่อนได้ยิน ไม่ได้ยิน เป็นจิตอะไรเพื่อให้รู้ความจริงว่า มีสิ่งที่ไม่ปรากฏมาก แม้แต่สิ่งที่ก่อนได้ยินเสียงก็มี

- เวลาได้ยินเสียง ได้ยินเฉพาะเสียง แต่ไม่รู้จักสิ่งที่เกิดกับเสียง

- เวลาได้ยินเกิดขึ้น ไม่ใช่มีแต่ได้ยิน มีสิ่งที่เกิดพร้อมกับได้ยินแต่ไม่ปรากฏด้วย

- มีสิ่งที่มีจริงมากแต่ไม่ปรากฏ

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริงละเอียดอย่างยิ่ง ทรงแสดงความจริงให้รู้ว่า มีสิ่งที่ไม่ปรากฏแต่มี

- สิ่งที่ปรากฏมีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เท่านั้น

- จากไม่มีอะไรเลย ก็มี มีแล้วก็หมดไป ไม่เหลือเลย เสียงเมื่อกี้นี้อยู่ไหน เห็นเมื่อกี้นี้อยู่ไหน ทุกอย่างหมดไปโดยไม่รู้

- ยังจำว่า ยังมีอยู่ ยังชอบเพราะคิดว่ายังมีอยู่ ยังโกรธเพราะคิดว่ายังมีอยู่ ทุกอย่างคิดว่ายังมีอยู่แต่ความจริงไม่เหลือเลย

- ถ้าไม่รู้ความจริงก็เข้าใจว่า มีคุณสุคิน มีคุณอาคิ่ล มีคุณอาช่า มีคุณมธุ

- ถ้าไม่มีธรรมเกิดดับ ก็ไม่มีคุณอาช่า ไม่มีคุณสุคิน ไม่มีคุณอาคิ่ล

- เดี๋ยวนี้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม (ไม่มี) เข้าใจถูกต้อง เริ่มรู้ว่า ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มีความจริง มีพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ ระลึกถึงคำที่พระองค์ตรัสจากที่พระองค์ได้ประจักษ์แจ้ง

- ทุกสิ่งทุกอย่างทุกขณะเกิดแล้วหมดไปไม่กลับมาอีกเลย นี่คือ ธรรมที่เกิดดับเป็นสังขารธรรม

- มีอะไรจะถาม จะสนทนาด้วยไหม (สังขารคืออะไร) ดีมากที่ถามทุกอย่างที่ควรจะเข้าใจ

- สังขาร เป็นธรรมที่เกิดเพราะมีปัจจัยหลายๆ ปัจจัยทำให้เกิดขึ้น

- เริ่มเข้าใจจากสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้เกิดรึเปล่า ไม่มีตา เห็นเกิดได้ไหม เพราะฉะนั้นเห็นเป็น “สังขารธรรม" อาศัยตาและสิ่งที่กระทบตาจึงทำให้เห็นเกิดขึ้น

- ถ้าไม่ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ โกรธเกิดได้ไหม

- ถ้าไม่กินจะชอบไหม ถ้าอาหารไม่มีรสจะชอบไหม ถ้าอาหารไม่อร่อยจะชอบไหม นี่เป็นตัวอย่างที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา กล่าวถึงทุกอย่างที่มีจริงโดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวงเพื่อให้มีความเข้าใจว่า ไม่มีเราแต่ธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น

- มีอะไรสงสัยอีกไหม ถ้าเข้าใจจริงๆ ต้องเข้าใจขึ้นทีละน้อย (จะเข้าใจคำว่า สรณะ อย่างไรเมื่อกล่าวว่า มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ) เป็นที่พึ่งให้เข้าใจความจริงซึ่งไม่สามารถจะเข้าใจได้ก่อนนี้

- ถ้ารู้ความจริงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่กำลังมีเดี๋ยวนี้หมดไปแล้วไม่กลับมาอีก จะติดข้องในสิ่งนั้นไหม ยังยินดีไหม

- เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ไม่มีอะไรที่จะดับความติดข้อง เพียงฟังว่า เกิดดับแต่ยังไม่รู้ความเกิดดับจริงๆ เหมือนรู้ว่าไฟร้อนแต่ยังไม่กระทบไฟจริงๆ

- ถ้าเขากำลังถูกไฟไหม้ เขาจะอยากพ้นจากไฟไหม้ไหม แต่ถ้าเขาเห็นไฟไหม้ที่อื่น เขาไม่เดือดร้อน ยังอยากจะมีเขาเป็นตัวเขาแม้จะเห็นไฟไหม้คนอื่น

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ทรงแสดงหนทางให้ประจักษ์แจ้งความจริง เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงความจริงซึ่งเขาไม่มีโอกาสจะรู้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์จะไม่เห็นภัยของสังขารธรรม

- ถ้าเริ่มเห็นความจริง ค่อยๆ รู้จักความจริง เขาจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

- นี่คือ การปลูกฝังรากของปัญญาให้เจริญขึ้น ขอยินดีด้วยในกุศลของทุกท่าน


ความคิดเห็น 3    โดย siraya  วันที่ 17 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย nattawan  วันที่ 17 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย เข้าใจ  วันที่ 18 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย Junya  วันที่ 18 ก.ย. 2565

ขณะฟังคำถามที่ท่านอาจารย์สุจินต์ถามคุณอาช่า และคุณมธุว่า ขณะนี้ 2 คน กำลังคิด คิดเหมือนกันไหม ดิฉันก็พบว่า จิตกำลังคิด คิดเกิดของเขาไปเอง ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งชั่วขณะนั้นว่า อ้าว คิดเป็นคิด คิดมีจริงๆ เขาเกิดเอง ตามเหตุปัจจัยของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เราไม่เกี่ยวกับเขา (คิด) ดูแมือนเขา (คิด) แยกเกิดเอง เราไม่สามารถไปยุ่งอะไรกับเขาได้ คิดเป็นคิด ไม่ใช่ของเรา...ไม่ใชเรา...ไม่เป็นของใคร ควบคุมไม่ได้.....น้อมกราบพระคุณของพระบรมศาสดาด้วยเศียรเกล้า...กราบเท้าบูชาคุณของท่านอาจารย์สุจินต์ความเคารพอย่างสูงยิ่ง


ความคิดเห็น 7    โดย chatchai.k  วันที่ 18 ก.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ