อินเดีย - พุทธคยา 2-6 กุมภาพันธ์ 2561
โดย Guest  22 ก.พ. 2561
หัวข้อหมายเลข 29507

สุดแสนวิเศษพุทธคยา อินเดีย (2-6 กุมภาพันธ์ 2561)

บรรยากาศสุดแสนวิเศษที่พุทธคยา เป็นคำที่ท่าน อ.สุจินต์ได้เอ่ยปากกล่าวคำนี้ ในวันแรก (2 กุมภาพันธ์ 2561) ที่ท่านได้ไปกราบนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ บริเวณ เจดีย์พุทธคยา เพราะ บรรยากาศที่งดงาม ดอกไม้ประดับสวยมาก (มีงานประจำปี 1 - 3 กุมภาพันธ์) และ สถานที่อันประเสริฐ สถานที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ นำมาซึ่งความปีติ เลื่อมใสอย่างยิ่ง เมื่อกระผมและท่านอื่นๆ ได้ยินคำนี้ จากท่านอาจารย์สุจินต์ นำมาซึ่งความปลื้มปีติ ที่ไม่มีสถานที่ไหน จะประเสริฐและนำมาซึ่งความปีติปราโมทย์ได้เท่าสถานที่นี้ พร้อมๆ กับผู้มีปัญญา เข้าใจพระธรรม

การเดินทางมาพุทธคยาครั้งนี้ เป็นการเชิญเป็นการส่วนตัวของคุณเล็ก สุรภา ภวนานันท์ ที่คิดว่า การเชิญท่านอาจารย์มาพักผ่อนในสถานที่ใด ที่จะดีที่สุด และประเสริฐสุด นำมาซึ่งความปีติของท่านอาจารย์และสหายธรรม ก็คงไม่มีที่ใดที่จะดีไปกว่าสังเวชนียสถาน อันเป็นสถานที่ที่ควรไป เพื่อน้อมระลึกถึงพระคุณได้ประเสริฐยิ่ง ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตร สังเวชนียสถาน คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานและสถานที่แสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า เพราะการพักผ่อนที่แท้จริง คือ กุศลจิตเกิด ขณะพักผ่อนจากอกุศลธรรม ชั่วขณะจิตนั้น

ด้วยความประจวบเหมาะ ตามเหตุปัจจัยของธรรมที่จะต้องเป็นไป สายการบินที่บินตรงพุทธคยา อย่างเดียว ได้ส่งตั๋วให้ในจำนวนจำกัดไม่เกินห้าสิบที่ ว่างเฉพาะ วันที่ 2 - 6 กุมภาพันธ์ 2561 เท่านั้น กระผมและพี่เล็กสุรภา จึงคิดว่าเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งที่จะเชิญเป็นการส่วนตัว เฉพาะที่พุทธคยาเท่านั้น เป็นเวลา 5 วัน ด้วยไม่ต้องเดินทางเยอะ นั่งรถเยอะ ที่จะทำให้เหนื่อยมาก แบบไปสังเวชนียสถานหลายๆ ที่ และ พุทธคยา มี โรงแรมและสถานที่สะดวก พักที่เดียว ตื่นสบายๆ ไม่เร่งรีบ อันเป็นการพักผ่อนร่างกายของท่านอาจารย์ด้วย และ เป็นโอกาสเจริญมหากุศล ในสถานที่อันประเสริฐยิ่งนั่นเอง

สหายธรรม ทั้ง 48 ท่าน รวมท่านอาจารย์สุจินต์ จึงพร้อมใจกันร่วมกันเดินทางไปเฉพาะพุทธคยา

วันแรกของการเดินทาง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 พวกเราพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่เช้าตรู่ โปรแกรมวันนี้กระผมตั้งใจว่า คงให้ท่านอาจารย์พักผ่อน ไม่มีสนทนา พักที่โรงแรมสบายๆ ตามโปรแกรม แต่ทุกอย่างก็เป็นอนัตตา จนเป็นเหตุให้เกิด คำกล่าวของท่านอาจารย์ที่ว่า บรรยากาศสุดแสนวิเศษพุทธคยาในค่ำวันนี้

ช่วยกันเช็คอิน ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะรู้ว่ากำลังจะเดินทางไปสถานที่อันประเสริฐ ทำให้ข้าพเจ้าได้นึกถึงธรรม ในบทนึง ที่ได้อ่านเรื่อง ม้าทรง ชื่อ ม้ากัณฑกะ ที่เป็นม้าทรงเมื่อคราวที่พระโพธิสัตว์จะออกมหาภิเนษกรมณ์ (บวช) เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เวลาเที่ยงคืน นายฉันนะ ได้เข้าไปที่โรงม้า และ ได้ผูกเครื่องนั่งที่หลังม้ากัณฑกะ ม้ากัณฑะคิดว่า การผูกที่นั่งครั้งนี้ ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ กระชับอย่างยิ่ง ชะรอยวันนี้พระลูกเจ้าจะออกมหาภิเนษกรมณ์ (บวช) เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าเป็นแน่ คิดดังนี้ก็เกิดความปีติอย่างยิ่ง ร้องเสียงของตนดั่งทั่วทั้งเมือง แต่ด้วยอานุภาพของเทวดา ก็ปกปิดสียงนั้นไว้ การเดินทางไปครั้งนี้ของสหายธรรม รู้สึกถึงความปีติที่มี ว่าจะได้ไปสถานที่ประเสริฐ ที่คิดว่าจะไม่ได้ไป แต่ก็ได้ไปอีกครั้งอย่างอัศจรรย์กับผู้มีปัญญา มีพระคุณ

เช็คอินกันเรียบร้อย เตรียมเจอเหตุการณ์ Incredible india สโลแกนของประเทศอินเดีย ไม่มีอะไรเหลือเชื่อ ถ้าเข้าใจถูกว่าเป็นธรรม เป็นปกติ เป็นไป คณะของเราออกเดินทางเวลา 06.50 น. ถึงพุทธคยา 07.50 น.เวลาที่อินเดียพุทธคยา ครับ เวลาของเขาช้ากว่าประเทศไทย ชั่วโมงครึ่ง อากาศที่ช่วงเราไปก็กำลังดี เย็นสบาย เช้าๆ ก็ 13 องศา กลางวันแดดแรงๆ ก็ 27 องศา สบายๆ จริงๆ อุตุ อากาศ ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้จิตเป็นไปด้วย ดั่งเช่น ชาวกุรุ ที่อบรมสติปัฏฐานได้ดี ก็ด้วยเหตุหลายประการ เพราะสะสมปัญญามามากและเมืองกุรุ มีอากาศ คือ อุตุ ดี ก็เป็นปัจจัยให้เกิดจิตที่ดี ประกอบกับการสะสมปัญญามาด้วยครับ

เมื่อเดินทางถึงโรงแรมที่พุทธคยา เราพักโรงแรมใหม่ ชื่อ Oaks Hotel Bodhgaya เป็นโรงแรมเปิดใหม่ ห่างจากสนามบิน 10 นาที และ ห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ 10 นาที ในการนั่งรถไป

วันนี้เรามาไฟลต์เช้าก็อยากให้ทุกท่านและท่านอาจารย์พักผ่อน ก็ไม่ได้มีโปรแกรมสนทนาธรรมอะไร สบายๆ เพราะ ยังมีเวลาอีกหลายวันที่จะอยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดของผู้มีปัญญา ที่เหนือความคิดของผู้ปัญญาน้อยอย่างกระผมอย่างมาก ด้วยที่ท่านอาจารย์สุจินต์เคารพในพระรัตนตรัยอย่างยิ่งและมาในสถานที่ประเสริฐยิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ จึงได้แจ้งกับกระผมว่า ให้มีสนทนาธรรมตอนบ่ายๆ และ เราจะไปนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์กันตอนเย็นวันนี้เลย

ฟังแล้ว รู้สึกถึงความศรัทธาอย่างยิ่ง แบบอย่างของการเห็นคุณของพระรัตนตรัยของท่านอาจารย์สุจินต์ แบบอย่างที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง และ ช่วงบ่าย ก็ได้มีการสนทนาธรรม ชั้นบนสุดของโรงแรม Oaks Hotel Bodhagaya ซึ่งการเดินทางไปอินเดียครั้งนี้ แม้จะเพียง 5 วัน แต่เป็นการไปอินเดียที่มีการสนทนาธรรมมากที่สุด สาระดีอย่างยิ่ง และเป็นการไปอินเดียในส่วนของกระผมที่ประทับใจ ปีติมากที่สุด เพราะได้ฟังพระธรรมเต็มที่และได้ไปบูชา เดินต้นพระศรีมหาโพธิ์ บ่อยมากกับผู้มีปัญญาเข้าใจพระธรรม ทำให้กระผมรู้สึกถึงความจริงได้ว่า การไปอินเดีย สังเวชนียสถานทั้ง 4 ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นการพยายามไปให้ครบทั้ง 4 แห่ง ในชีวิตหนึ่ง หรือ ไปเก็บใบโพธิ์ที่ร่วงหล่น ไปนั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ ด้วยความไม่รู้อะไร แต่ การบูชาที่แท้จริง คือ ด้วยความเข้าใจพระธรรม ที่เกิดจากการฟัง การแสดงธรรม ในสถานที่อันประเสริฐ คือ สังเวชนียสถาน เพราะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เพื่อรู้ความจริงและแสดงธรรมให้คนอื่นเข้าใจความจริง เกิดปัญญา และ ดับกิเลสได้ นี่คือ จุดประสงค์ที่แท้จริงของพระองค์ ไม่ใช่การจะได้บุญ อยากได้บุญและกระทำสิ่งผิดๆ เพราะฉะนั้น ณ พุทธคยา จึงเป็นสถานที่ที่มีผู้บรรลุธรรมมากมาย ตามรอยบาทพระศาดสดา ด้วยการเข้าใจความจริง

นี้เองที่ตรงกับ คำปรารภท่านอาจารย์ที่ได้ปรารภก่อนที่จะเริ่มสนทนาในวันนี้ได้กล่าวกับกระผมว่า เรามาสถานที่อันประเสริฐยิ่งนี้ ก็ควรอย่างยิ่งที่จะบูชาด้วยความเข้าใจพระธรรมเป็นสำคัญ ไม่ใช่การไปสวดคำที่ไม่รู้จัก ไปนั่งสมาธิโดยไม่รู้อะไร

หลังทานอาหารกลางวันที่โรงแรมก็พักผ่อนกัน บ่ายสามก็มาสนทนาธรรม กระผมติดตั้งเครื่องเรียบร้อย ด้วยระบบการถ่ายทำ ทั้งภาพและเสียง เพื่อประโยชน์กับผู้อื่นสำหรับผู้ที่ไม่ได้มาด้วยที่จะได้มีโอกาสได้ฟัง การสนทนาธรรมและภาพกิจกรรมต่างๆ ครั้งนี้ อันนำมาซึ่งกุศล ปีติปราโมทย์สำหรับผู้ที่สะสมกุศลจิตมาดี

ขอถอดเทปการสนทนาธรรม ประกอบกับภาพกิจกรรม และ วีดีโอยูทูปในการสนทนาธรรมแต่ละวัน เป็นเวลา 4 ครั้ง อันเป็นการสนทนาธรรมที่ดียิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวพระธรรมเป็นการบูชาที่ประเสริฐ ซึ่งครั้งนี้ท่านอาจารย์กล่าวพระธรรมแต่ละวัน ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง และ ยาวติดต่อกันไป เป็นชั่วโมง นำมาซึ่งความปีติในการฟัง ฟังติดต่อกันไป อย่างไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนที่จะกล่าวได้ยาวนานอย่างยิ่งเช่นนี้ อันเป็นการบูชาสูงสุดต่อพระรัตนตรัย

ท่านอาจารย์ การทำความดีแม้เล็กน้อย เป็นการเสียสละแล้วในขณะนั้น แม้เพียงคิดที่จะไม่ว่าคนอื่นด้วยจิตที่ไม่ดี ก็เสียสละแล้ว จนค่อยๆ ทำความดีไปทีละน้อย ค่อยๆ เสียสละ จนอบรมปัญญาก็เสียสละที่ประเสริฐ คือ สละความเป็นเรา

วีดีโอการสนทนาธรรมวันแแรก 2 ก.พ. 2561 เชิญคลิกฟังที่ยูทูป ที่ด้านล้างนี้

หลังจากการสนทนาธรรมแล้ว ห้าโมงเย็น ท่าน อ.สุจินต์ ก็นำคณะเดินทางไปพุทธยา ตั้งแต่วันแรก ซึ่งช่วงเวลานั้นทางสมาคมมหาโพธิพุทธคยา ได้จัดงานเฉลิมฉลองประจำปี ตั้งแต่วันที่ 1 - 3 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่เราไปกันพอดี จึงได้มีการจัดประดับดอกไม้ บริเวณรอบๆ พุทธคยาและต้นพระศรีมหาโพธิ์ รวมทั้งสถานที่ที่เราจะไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุอัครสาวกสวยงามอย่างยิ่ง โดยชาวเวียดนามผู้มีศรัทธาเป็นผู้จัด

ท่านอาจารย์ เดินเข้าไปในพุทธคยา ค่อยๆ เข้าไป ด้านหน้าพระเจดีย์มีการจัดดอกไม้เป็นซุ้มสวยงามมาก และ เดินลงบันได ถึงหน้าพระพุทธเมตตา ท่านอ.สุจินต์ ก็ได้กล่าวกับกระผมและสหายธรรมว่า บรรยากาศสุดแสนวิเศษมากๆ ค่ะ ตั้งแต่เคยมาอินเดีย ครั้งนี้บรรยากาศสุดแสนวิเศษมากๆ ทั้งการประดับตกแต่ง สถานที่และผู้คน นำมาซึ่งความปีติกับกระผมและสหายธรรมที่อยู่ตรงนั้นและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ท่าน อ.สุจินต์ และ คณะ ก็ได้เดินประทักษิณ รอบต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ทรงตรัสรู้ 3 รอบ ในบรรยากาศที่สุดแสนวิเศษ

ท่านอาจารย์ แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะเหมือนฝันไหม ตราบใดที่ไม่รู้ความจริงนะคะ เหมือนเลย เพราะอะไรคะ ฝันว่ายังมีเรา ฝันหรือเปล่า ไม่มีแท้ๆ เลย มีแต่ธรรมที่เกิดและดับไปตลอดเวลา ยังฝันว่ายังมีเรา

เหมือนฝันยังไม่ตื่น ฝันว่าเป็นเรื่องเป็นราว เป็นเก้าอี้ เป็นคนโน้นคนนี้ เรามาที่นี้ เดี๋ยวเราจะไปนมัสการสังเวชนียสถาน

ตอนฝันเราไม่รู้หรอกว่าไม่จริง กำลังฝันแท้ๆ ใครรู้ว่าไม่จริงบ้าง ไม่รู้ใช่ไหมคะ ตื่นเมื่อไหร่ จึงรู้ว่านั่นฝัน

ถ้าเรายังไม่ตื่นในสังสารวัฏฏ์ เราก็ไม่รู้ว่าเหมือนฝัน ไม่มีและก็เป็นเรื่อง เป็นเรื่องราวต่างๆ มืดยิ่งกว่าฝันอีก

ความไม่รู้มหาศาลมาก อย่าคิดว่าจะหมดไปได้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าไม่รู้ถึงขนาดนี้ แต่ก็เป็นอย่างนี้แหละ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ ก็ค่อยๆ รู้ความจริงว่าเหมือนฝัน เพราะ ไม่มี เพราะมีแต่ธรรม

หลังจากจบการเดินประทักษิณในวันแรกทุกคนปีติที่ได้มีโอกาสมาบูชาพระพุทธองค์ทั้งความเข้าใจพระธรรมในคราวสนทนาธรรมและมาเดินประทักษิณ และ ถ่ายรูปความทรงจำกับภาพท่านอ.สุจินต์ที่หน้าซุ้มพระเจดีย์พุทธคยาไว้อย่างดงงาม

เป็นอันจบกิจกรรมในวันแรก พรุ่งนี้ก็มีการสนทนาธรรมตอนสายๆ ซึ่งจัดให้สนทนาสายๆ สบายๆ สิบโมงเช้า เพื่อเป็นการพักผ่อนพร้อมความเข้าใจพระธรรม ครับ

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561

เช้านี้ทุกคนสบายๆ ตื่นสบายๆ สนทนาธรรมเริ่ม 10 โมงเช้า มีเรื่องเล่าน่ารัก แสดงถึงกุศลจิตของผู้ร่วมเดินทาง คุณป้าจี๊ด น้องสาวท่านอาจารย์ ท่านงดงาม เมื่อไปอินเดีย ท่านจะใส่ชุดส่าหรี ที่เป็นชุดประจำชาติของคนอินเดียได้อย่างสวยงามอย่างยิ่ง ตอนเช็คอินกระผมยกกระเป๋า ดูกระเป๋าคุณป้าจี๊ด เอ๋ไป 5 วัน แต่กระเป๋าใบใหญ่จัง จนมาทราบถึงกุศลจิตของคุณป้าจี๊ด ด้วยจิตหวังดี เตรียมชุดส่าหรีหลายๆ ชุด เพื่อให้ทั้งสหายธรรมได้ใส่และบริจาคให้คนอินเดียด้วย ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณป้าจี๊ด จึงเป็นที่มาของการใส่ชุดส่าหรีของหลายๆ ท่าน กุศลนั้นสำเร็จแล้วด้วยจิตของผู้ให้ที่ดี

ท่านอาจารย์ ไม่ลืมนะ ฟังเพื่อเข้าใจ อาจหาญ ร่าเริง โลภะใครห้ามได้ ปัญญาแค่ไหนจะไปห้ามโลภะ แต่ ปัญญารู้จักโลภะจึงละโลภะได้ ในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนะคะ ปัญญาประเสริฐสุด

เพราะโลภะมหาศาลสักเท่าไหร่ก็ตามแต่ ปัญญาดับได้ สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์นะคะ ว่าโลภะก็เกิด ติดข้อง หน้าที่ของโลภะไม่ได้ทำหน้าที่อื่นเลยค่ะ ไม่สละ ติดข้อง เพิ่มพูน เหนียวแน่น หนาแน่นนะคะ

ปัญญาสามารถที่จะเห็นว่าก็แค่เกิดขึ้นแล้วก็ดับ โลภะมีกำลังตั้งแต่อ่อนที่สุดจนถึงมีกำลังมาก แต่ปัญญาก็ดับได้

ก็เริ่มสนทนาตอนสิบโมงเช้าของวันที่ 3 ก.พ.2561 เชิญคลิกรับฟังการสนทนาธรรมได้ที่ภาพยูทูปข้างล่างนี้ครับ

และเมื่อจบสนทนาธรรมแล้ว ช่วงบ่ายๆ ก็ไปเดินสบายๆ ที่พุทธคยา นำโดย ท่านอ.สุจินต์ เช่นเดิมและเดินประทักษิณ นับเป็นบรรยากาศที่สบายๆ ไม่เร่งรีบ ดื่มด่ำกับภาพบรรยากาศ ของผู้คนที่พุทธคยาและก็ได้นมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ เดินประทักษิณอีกครั้งในวันนี้

ท่านอาจารย์ สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์นะคะ ว่าโลภะก็เกิด ติดข้อง หน้าที่ของโลภะไม่ได้ทำหน้าที่อื่นเลยค่ะ ไม่สละ ติดข้อง เพิ่มพูน เหนียวแน่น หนาแน่น

ปัญญาสามารถที่จะเห็นว่าก็แค่เกิดขึ้นแล้วก็ดับ โลภะมีกำลังตั้งแต่อ่อนที่สุดจนถึงมีกำลังมาก แต่ปัญญาก็ดับได้ แต่ต้องเข้าใจ อยู่ดีๆ ไม่เข้าใจจะไปหาวิธีอื่น ไม่มีทาง

เข้าใจก่อนอื่นก็คือว่า เข้าใจว่าเรามีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจ นี่คือเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่า อยากจะรู้นั่น อยากจะรู้นี่ ก็คงเป็นเรา แล้วอยากรู้ไปทำไม ลึกลงไปก็คือเป็นเรา

เข้าใจ แต่ละคำว่า ธรรมทั้งนั้นเลย แค่ธรรมทั้งนั้น ธรรมทั้งหลาย เราจะเรียกไหม เห็นไหม ถ้าเป็นปัญญา ไม่เรียกแน่นอน แล้วแต่ว่ามีเหตุปัจจัยที่จะเกิดเมื่อไหร่

เพราะว่าการเกิดขึ้นของปัญญามีหลายขั้น ขั้นคิดจากที่ได้ฟัง จนกระทั่งไม่ต้องคิดก็เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามลำดับขั้น จึงมีสุตมยปัญญา ภาษาบาลี ปัญญาสำเร็จจากการฟัง

หมายความว่าฟังไม่ใช่ได้ยิน ต้องไตร่ตรอง แต่ว่าบังคับได้ไหม ไม่ได้

บางคนกิเลสก็พาไป อ่านใหญ่เลย ฟังใหญ่เลย ไตร่ตรองใหญ่เลย เพราะอยากรู้ อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

กิเลสนี่ค่ะ เล่ห์เหลี่ยม กลวิธีมากมายมหาศาล และก็อยู่มา จนกระทั่ง ภาษาบาลี มีคำว่า ตัณหาทาโส ทุกคนเป็นทาสของตัณหา

เป็นทาสที่ยินยอม ยอมเป็นทาสไปเรื่อยๆ ใครอยากหมดบ้าง เห็นไหม ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดี ใครอยากหมดบ้าง ยังยอมเป็นทาสต่อไปอีก

อิทธิพลของโลภะเพราะว่าเขาตามใจทุกอย่าง อยากจะสงบเหรอ ทำฌานนะคะ ไปเกิดในรูปพรหม รูปพรหมยังใกล้ชิดกับรูป เสียง กลิ่น รส ก็ไปหาความสงบ ที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ เป็นอรูปฌาน ทำให้เกิดเป็นอรูปพรหม แต่ไม้พ้นจากโลภะ ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ นะคะ ก็ถูกล่อลวงไปด้วยโลภะประการต่างๆ เพราะฉะนั้นเป็นปกติ

เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม และแล้วแต่ว่าปัญญาจะเข้าใจธรรมไหน เลือกไม่ได้เลย เลือกไม่ได้แสดงความเข้าใจในความเป็นอนัตตา

บางคนก็คิดแหม เสียดายเวลา อย่างนั้น เสียดายก็เป็นธรรม ไม่ใช่เราก็ไม่รู้ ก็เป็นตัวตนไปตลอดเลย เพราะฉะนั้นในบรรดาอกุศลทั้งหมดนะคะ สิ่งที่จะดับก่อนกิเลสอื่นทั้งหมด คือ ความเห็นผิด ความเข้าใจผิดว่าเป็นเรา

เมื่อจบการเดินสบายๆ ชมบรรยากาศรอบใหญ่ 1 รอบแล้ว ก็ลงกันมาที่บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ เพื่อเดินประทักษิณ 3 รอบ และ ระหว่างที่เดินนั้น ก็ได้พบสหายธรรมที่มากับกลุ่มอื่น โดยไม่รู้จักกันมาก่อน ที่ศรัทธาในท่านอ.สุจินต์ เพราะเคยฟังพระธรรมมา ก็ได้เกิดภาพประทับใจเมื่อเดินประทักษิณจบ

ท่านอาจารย์ ณ สถานที่นี้ ในสมัยพุทธกาล มีผู้หญิงคนหนึ่ง มีเจ้านายที่ดุร้าย เฆี่ยนตีเขาสารพัด จนเขาทนไม่ไหว ต้องโกนศีรษะหมดเลย นางจะได้ไม่จับผมเขา ดึงไว้แล้วก็ตี ใช่ไหม

แต่พ้นกรรมได้ไหม ยังสามารถที่จะเอาเชือกมารัดศีรษะ ที่ศีรษะตรงนี้ค่ะ เพื่อที่จะดึง แล้วก็ตี เฆี่ยนตีเขาต่อไป ไม่สิ้นสุด

สำหรับเขา รัชชุมาลา หมายความถึงเชือกที่ประดับศีรษะ เพราะเหตุว่าอยู่บนศีรษะ แต่ว่าไม่ใช่ดอกไม้ค่ะ เป็นเชือกสำหรับดึงไปถูกทำร้าย

แล้วจะทนไหวไหม คิดดู ใครบ้างคะที่นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วเป็นอย่างนั้นในชาตินี้ ไม่มี แต่ถ้ามีก็มีได้ ใครจะรู้ แต่ละหนึ่ง จะสุข จะทุกข์ จะมากจะน้อย ต่างกันหมดตามเหตุตามปัจจัย หนึ่งคนแต่ละหนึ่งขณะ ไม่ซ้ำกันเลย

แล้วแต่ละหนึ่งคนจะซ้ำกันได้ยังไง ในเมื่อปัจจัยไม่เฉพาะชาตินี้ ทุกขณะจิตที่ดับไป โลภะ โทสะ โมหะ

กุศลอะไรต่างๆ ที่ทำ สะสมสืบต่ออยู่ในจิต ทำให้แต่ละคนที่เกิดมามีอัธยาศัยต่างๆ กัน มีความชอบในสิ่งต่างๆ กัน เพียงแค่ถามว่าชอบสีอะไร คำตอบจะเป็นสีเดียวกันไหม แต่ละสี แม้แต่สิ่งที่ปรากฏ เพียงแค่สีสันวรรณะ

แล้วยิ่งกว่านั้นค่ะ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ไม่รู้มากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นหญิงคนนั้นทนไม่ได้ ให้เขาตอบ ต่อไป เราจะบอกเขาว่าไม่เป็นไรหรอก แล้วยังไงก็ต้องตาย แต่ยังไม่ถึงที่ ก็ยังไม่ตาย ก็ทนต่อไป

ก็ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเขาคิดจะฆ่าตัวตาย ที่พุทธคยา ไปที่ต้นไม้ เตรียมพร้อมที่จะแขวนคอตาย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ว่า เขากำลังจะสิ้นชีวิต แต่ถ้าได้ฟังธรรม เขาจะเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นเราเลือกไม่ได้เลยนะคะ จะเป็นใครที่ไหนก็ขอให้สะสมสิ่งที่ประเสริฐในสังสารวัฎฎ์

ระหว่างที่พวกเราเดินประทักษิณ ก็มีเสียงจากใครคนหนึ่ง กล่าวว่า ท่าน อ.สุจินต์ ตอนนั้นเราเดินรอบที่สองอยู่ หลังจากจบการเดินประทักษิณ ท่าน อ.สุจินต์ก็กล่าวกับกระผมว่า เราควรที่จะไปพบเขานะคะ และท่าน อ.สุจินต์ ก็เข้าไปสหายธรรมท่านนั้น เกิดภาพประทับใจของการรู้คุณที่ได้มีโอกาสฟังธรรมจากท่านอาจารย์ที่แสดงตามพระธรรมของพระพุทธเจ้า

ก้มกราบ เพราะความรู้คุณ ดีใจที่ได้พบกับผู้กล่าวธรรมให้ตนได้เข้าใจ

พหุการสูตร

ว่าด้วยผู้มีอุปการะมาก ๓ จำพวก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้ เป็นผู้มีอุปการะมากแก่บุคคล (ศิษย์) บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้คือใคร คือ บุคคล (ศิษย์) อาศัยบุคคล (อาจารย์) ใด

จึงได้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะบุคคล (อาจารย์) นี้ เป็นผู้มีอุปการะมากแก่บุคคล (ศิษย์) นี้

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านผู้รู้คุณและมีศรัทธา และ กราบเท้าบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ ผู้เปี่ยมเมตตาอย่างยิ่งต่อศิษย์ เพียงหวังให้แต่ละท่านได้เข้าใจพระธรรม นับว่าวันนี้ก็เป็นที่ปลื้มปิติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสบูชาพระรัตนตรัยและเกิดภาพประทับใจ ด้วยรู้ว่า ผู้ที่เข้าใจพระธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีอยู่และผู้รู้คุณก็มีอยู่ การมาพุทธคยาครั้งนี้ จึงมีค่าเป็นอย่างยิ่ง

4 กุมภาพันธ์ 2561

ซาบซึ้งพุทธคยา มหาโพธิสมาคม

วันนี้ เรามีโปรแกรมพิเศษตอนบ่าย นั่นคือ การได้มีโอกาสนมัสการพระสารีริกธาตุและพระธาตุอัครสาวกทั้งสอง (ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะ) ที่ สมาคมมหาโพธิพุทธคยา ส่วนเช้า ก็มีสนทนาธรรมเช่นเดิม ซึ่งเนื้อหาสาระดีมากๆ เช่นกัน และ ก็มีสหายธรรมจากกลุ่มอื่น ได้ตามมาฟังที่โรงแรม Oaks Hotel Bodhgya ด้วย ก็นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ท่านอาจารย์ ถ้ายังคงติดข้องอยู่ ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปในสังสารวัฎฎ์

ศีลสังวร ความประพฤติเป็นไปจากอกุศล สังวรบ้างไหมวันนี้ อกุศลเมื่อวานนี้มีไหมคะ ทางกาย ทางวาจา

วันนี้สังวรที่จะไม่เป็นอกุศลอย่างเมื่อวานนี้หรือเปล่า แค่นี้ แค่จะเพียงระวังสังวรกาย วาจา ซึ่งรู้ว่าไม่ดีแต่สะสมมา

บางคนก็รู้ตัวเองเหมือนกันนะคะว่าไม่ดี ไม่ดี แต่ไม่รู้จะแก้ไขยังไง แต่ต้องด้วยปัญญาที่เข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ใช่เรา

ต้องตั้งต้นในการที่จะรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา ความเป็นตัวตนก็จะแฝงอยู่เรื่อยไป ถ้าแฝงอยู่เรื่อยไป ก็คือว่าแก้ไม่ได้ เพราะเป็นเรา

แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ค่อยๆ ละคลาย จะเดือดร้อนอะไรกับธรรม ก็แค่ธรรม เป็นธรรม อดีดก็ผ่านไปหมดเลยค่ะ ก็หมดแล้ว

และไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ ชาติก่อนๆ ก็หมดไป ชาติก่อนสิ่งที่ยังไม่หมดก็สำคัญเหลือเกิน ชาตินี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็สำคัญเหลือเกิน แต่พอถึงชาติหน้าไม่เหลือความสำคัญใดๆ แล้วทำไมไม่ลืมซะตั้งแต่ชาตินี้ จำไว้ทำไมคะ

แต่ก็ไม่จำก็ไม่ได้เพราะเป็นธรรม เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นเราศึกษาธรรม คือตรงนี้แหล่ะ เป็นธรรมทุกอย่าง เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ตรงนี้แหล่ะ แต่ละหนึ่งขณะตั้งแต่เกิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็ต่อไป

วีดีโอ ยูทูปสนทนาธรรมและนมัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุอัครสาวก 4 ก.พ.2561 คลิกฟังที่ภาพข้างล่างนี้

หลังจบการสนทนาธรรมแล้ว ช่วงบ่าย ก็ได้ไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุอัครสาวกที่สมาคมมหาโพธิ์ ยังความปลื้มปีติอีกครั้ง

ท่านพระสีวลีเถระ เลขาธิการสมาคมมหาโพธิ์ แห่งประเทศอินเดีย (Venerable Pelwatte Seewalee Thero, Secretary General of the Maha Bodhi Society of India) ท่านเป็นผู้ดูแลสมาคมมหาโพธิ์ทั้งหมด ที่จะดูแลสังเวชนียสถานทั้ง 4 และ ยังสนใจพระธรรมที่ท่านอาจารย์แสดง และได้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ในหลายโอกาส

ครั้งนี้ท่านพระสิวลีก็เดินทางมาที่พุทธคยา และได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยในเวลาที่เหมาะสม และ ท่านก็ให้โอกาสคณะเราได้นมัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุอัครสาวก

ขอนำภาพอันน้อมนำมาซึ่งมหากุศลเกิดปีติ เลื่อมใสในบุคคลผู้ควรเลื่อมใส คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระอัครสาวกผู้เลิศทั้งสอง น้อมเศียรเกล้า ระลึกถึงพระคุณตามกำลังปัญญาของแต่ละคน วันทาลง ก้มกราบพระศาสดา

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนจุนที สัตว์ที่ไม่มีเท้าก็ดี มี ๒ เท้าก็ดี มี ๔ เท้าก็ดี มีเท้ามากก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ก็ดี มีประมาณเท่าใด

พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสัตว์เหล่านั้น ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ ก็วิบากอันเลิศย่อมมีแก่บุคคลที่เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ 405

ผู้ใดพึงบูชาพระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ยังดำรงพระชนม์อยู่ก็ดี พึงบูชาพระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดผักกาดของพระพุทธเจ้า แม้นิพพานแล้วก็ดี.

เมื่อจิตอันเลื่อมใสของผู้นั้นเสมอกัน บุญก็มีผลมากเสมอกัน เพราะฉะนั้น ท่านจงทำสถูปบูชาพระธาตุของพระชินเจ้าเถิด.

ธาตุปูชกเถราปทานที่ ๗ (๒๔๗)

ว่าด้วยผลแห่งการบำรุงพระธาตุ

เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้สูงสุดกว่านระ เสด็จนิพพานแล้ว เราได้พระธาตุองค์หนึ่งของพระผู้มีพระภาคเจ้าจอมสัตว์ ผู้คงที่.

เราเก็บพระธาตุของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์นั้นไว้บูชาตลอด ๕ ปี ดังพระองค์ผู้สูงสุดกว่านระยังดำรงอยู่.

ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ เราได้บูชาพระธาตุใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลเพราะบำรุงพระธาตุ.คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้ ทราบว่า ท่านพระธาตุปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล

จบ ธาตุปูชกเถราปทาน

สิ่งที่เลิศ คือ อายุ วรรณะ เกียรติยศสุขและกำลัง ย่อมเจริญ แก่บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมที่เลิศ เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ

คือ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลชั้นเยี่ยม เลื่อมใสในพระธรรมที่เลิศ อันปราศจากราคะ เป็นที่เข้าไปสงบเป็นสุข

เลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้เลิศ เป็นนาบุญชั้นเยี่ยม ให้ทานในสิ่งที่เลิศปราชญ์ผู้ถือมั่นธรรมที่เลิศ ให้สิ่งที่เลิศเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ย่อมถึงสถานที่เลิศบันเทิงใจอยู่.

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ารู้อย่างนี้นะคะ ศีลสังวร กาย วาจาที่เป็นไปเพราะจิต ซึ่งก่อนฟังไม่ค่อยจะเห็นโทษเลยใช่ไหมคะ

ติเตียนใครก็อาจจะง่ายๆ พูดอะไรก็อาจจะง่ายๆ รู้หรือเปล่าว่าสะสมอยู่ในจิตแต่ละหนึ่งขณะ

คุณธีรพันธ์จะเล่าเรื่องนางเวเทหิกา ครั้งหนึ่งที่ไหนคะ นางเวเทหิกาอยู่ตรงไหนไม่สำคัญ แต่ที่ ณ ดินแดนแห่งนี้นะคะ ก็มีหญิงคนหนึ่ง เป็นหญิงแม่บ้าน ซึ่งทุกคนชื่นชมว่าเป็นคนดี ทั้งกาย ทั้งวาจา

อ.ธีรพันธ์ ก็เป็นที่กล่าวขานกันว่านางเป็นผู้ที่เหมือนกับว่าไม่มีการแสดงออก กิริยาอาการที่ความโกรธแสดงออกมาให้ปรากฏเลย ก็ดูเหมือนเรียบร้อย ดีงาม

อยู่ไปนานๆ เข้านะครับ หญิงรับใช้ก็จะลองพิสูจน์ดูว่าเป็นสมดังคำร่ำลือหรือเปล่าที่ว่านางมีกาย วาจาที่งาม ไม่ได้แสดงออก ที่จะมีเกรี้ยวกราด หรือแสดงอาการที่ไม่ดีออกมา

ก็ลองทำเป็นตื่นสายบ้างนะครับ ทำสิ่งที่ไม่เหมือนกับที่ตัวเองทำแต่ก่อน

คือ กิจการงานของหญิงรับใช้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ทำแบบไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ตื่นสายบ้างอะไรอย่างนี้

นานเข้าๆ แม่เรือนนางเวเทหิกาก็ไม่พอใจแล้วครับ จนแสดงอาการออกมาที่ไม่เหมือนดังแต่ก่อน ที่เขาร่ำลือว่ามีอาการที่เรียบร้อย ไม่เป็นไปอย่างนั้นเลย

กลับมีกายวาจาที่ไม่น่าฟัง ไม่เป็นไปอย่างที่เขาร่ำลือเลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า บุคคลดูแต่ภายนอกดูเหมือนมีกิริยาอาการที่เรียบร้อย

แต่ว่าในภายในนั้น เมื่อยังมีเหตุให้เกิดการประทุษร้ายทางจิตเกิดขึ้น และยิ่งมีกำลังมากขึ้นๆ นะครับ ก็แสดงความโกรธ แสดงอาการให้ปรากฏออกมา ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี

นี่แสดงให้เห็นว่า กิริยาอาการภายนอก ถ้าไม่มีการเหมือนกับประสบเหตุที่ตนเองเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า มีความมั่นคงจริงหรือเปล่าว่ามีกายวาจาที่งดงาม แต่ว่าเวลาประสบอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาขึ้นมา อดทนได้หรือเปล่า

ในที่สุดนางก็อดทนไม่ได้ ท่านอาจารย์ครับ แสดงอาการกิริยาอาการที่ออกมาที่หญิงรับใช้ที่เห็นแล้วก็ไม่ชอบเหมือนกัน ไม่สมดังคำร่ำลือ

ท่านก็เปรียบเหมือนภิกษุที่บวชเข้ามา ถ้ามีกิริยาอาการที่เรียบร้อยก็ต่อเมื่อ ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ยาแก้ไข้ เป็นปกติก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมา

แต่ตราบใดก็ตามที่ได้รับปัจจัยทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ที่อยู่อาศัย ยาแก้ไข้

ถ้าไม่เป็นไปดังที่ตัวเองต้องการ จะแสดงอาการออกมาไม่เหมือนกับภิกษุที่ควรประพฤติเป็นไปที่มีอาการอย่างสมณะ

ก็แสดงอาการออกมาในรูปแบบต่างๆ อาจจะมีการล่วงอาบัติ หรือว่ามีการกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมกับเพศบรรพชิตที่บวชเข้ามา

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้นางเวเทหิกาอยู่ไหน ถ้าไม่รู้ ก็ต้องไม่รู้ ใครบ้างที่นี่ได้ไหม ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยใช่ไหม

แต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ แต่แต่ละหนึ่งในครั้งนั้น เป็นเรื่องราวที่มีในพระไตรปิฎก เป็นการแสดงให้เห็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง

แม้แต่จากการที่คนเราสะสมอกุศลมา ความประพฤติทางกาย ทางวาจา ก็เป็นไปตามอกุศล

แต่ก็ทรงแสดงโทษที่จะให้แม้ระงับกาย วาจา เป็นศีลสังวร ที่จะไม่ประพฤติเป็นไปในทางอกุศล

แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมนะคะ ก็ทำได้ชั่วครั้งชั่วคราว มีท่านผู้หนึ่งค่ะ ท่านก็บอกว่า ท่านแกล้งทำเหมือนพระอรหันต์สัก 5 วัน

ใครจะไปคิดว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านลองทำดู คือ กาย วาจา ของท่านเหมือนจะไม่เดือดร้อนอะไรทั้งสิ้น

แต่ก็ไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่ลวง แต่ว่าไม่ใช่เป็นคนลวง แต่ตัวธรรมต่างหากลวง

โลภะก็ลวงใช่ไหม ทำอาการกิริยาทั้งหลายที่เป็นมายา เพราะการลวงเกิดขึ้นในขณะนั้น

ทุกอย่างที่เป็นอกุศลทั้งหมด หลายรูปแบบ ยากที่จะคิดได้ว่าจะเป็นไปในลักษณะใด

แต่ขณะที่เป็นขณะนั้น ก็ต้องเป็นจิตซึ่งเกิดขึ้นเป็นไป เพราะไม่ได้เข้าใจโทษของอกุศล

ถึงอย่างไรก็ตาม ได้ฟังอย่างนี้ ก็รู้ว่าดับความไม่ดีทางกาย ทางวาจา ไม่ได้แน่ แต่คำเตือนก็ยังสามารถที่จะทำให้เกิดระลึกได้ แม้ในเรื่องของกาย วาจา ที่ไม่สมควร ที่ไม่เหมาะสม

ก็เป็นการจบพิธีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุอัครสาวก ผู้ที่เข้าใจพระธรรม กาย วาจาและใจ ย่อมน้อมไปในบุคคลที่ควรบูชา


5 กุมภาพันธ์ 2561

ขอขมาพระรัตนตรัย

วันนี้ก็สนทนาธรรมเป็นครั้งที่ 4 ของวันที่ 5 ก.พ. 2561 จบการสนทนาธรรมในวันนี้ สามารถดูวีดีโอสนทนาธรรมทางยูทูปได้ คลิกที่ภาพข้างล่างนี้ครับ เนื้อหาสาระดีมากๆ เช่นเคย

เมื่อสนทนาธรรมเสร็จแล้ว เวลาบ่ายสามโมงเย็น เราจะไปกล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัยที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์กัน ขอนำภาพอันเป็นไปเพื่อเกิดกุศลจิต ร่วมกันขอขมาพระรันตรัย ดังนี้

คำขอขมาพระรัตนตรัย (กล่าว ณ ต่อหน้าต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา อินเดีย ก.พ. 2561)

บุญใดอันข้าพเจ้า ผู้ไหว้พระรัตนตรัย ได้ประกอบแล้วในทวีปนี้

ด้วยเดชะบุญนั้น ขออันตรายคือความเห็นผิด จงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า

กรรมอันน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินแล้ว ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์

ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ขอพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ได้โปรดอดโทษแก่ข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้า จะได้สำรวมระวังในพระรัตนตรัย ในกาลต่อไป

หลังการขอขมาพระรัตนตรัยเสร็จสิ้นแล้ว ทางคณะ ก็เดินแวะสวนที่ติดกับพุทธคยา ธรรมปกติ เบาสบาย เพราะเป็นปกติ เป็นธรรม อนัตตา

สนทนาประเด็นเรื่อง ขอขมาพระรันตรัย

ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นความชัดเจน ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องอะไร ก็ควรที่จะให้ได้เข้าใจกระจ่างเท่าที่จะเข้าใจได้

เราก็คงคิดถึงว่าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ปรินิพพานแล้ว แล้วเราจะไปขอขมาอะไรอย่างนี้ ก็ดูเหมือนว่า แล้วจะหายหรือ ที่เราได้กระทำ

ไป ขอขมา แต่ว่าตามความเป็นจริง ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้กระทำกรรมแล้วถึงแม้คนอื่นจะยกโทษ แต่กรรมนั้นก็ยังเป็นเหตุ ให้เกิดผล ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม โดยเฉพาะการที่จะกล่าวคำขอโทษ หมายความว่าคนนั้น ต้องรู้สึกตัวจริงๆ ว่าทำสิ่งที่ผิด เพราะว่าไม่ควร

บางคนรู้ตัวว่าผิดขอโทษไม่ได้ไม่ได้เลยค่ะ ทั้งๆ ที่ผิด ก็ไม่ยอมที่จะขอโทษ

นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีกุศลจิต ไม่ละอายในอกุศลที่ได้กระทำแล้วต่อสิ่งที่เป็นพระรัตนตรัยหรือว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ตาม

ดังนั้น ขณะใดก็ตามที่เกิดกุศลจิต นอบน้อมต่อผู้ที่เราขอขมา เป็นการแสดงความเคารพความนอบน้อมนั่นเอง

(คณะเดินประทักษิณ 3 รอบ ต้นพระศรีมหาโพธิ์)

เราจะไม่ขอโทษ คนที่เราเห็นว่าเขาไม่สมควรใช่ไหม บางคนอาจจะเป็นคนที่ร้าย และเป็นอกุศลมากๆ ทำสิ่งที่ไม่ดี

แต่ตามความเป็นจริงๆ "เรื่องของเขาก็คือเรื่องของเขา" เรื่องของเรา ก็คือ เราขอโทษได้ไหม เมื่อกระทำผิด

ถ้าขอโทษได้ ขณะนั้น ก็เป็นกุศลจิต ซึ่งไม่ใช่ความมานะ สำคัญตน แต่สามารถจะเห็นว่า ขณะนั้นน่ะ เป็นสิ่งที่ไม่สมควร จะกระทำ และได้กระทำแล้ว

พร้อมที่จะขอโทษสิ่งที่เราได้ทำ ไม่ว่าเขาเป็นใคร เพราะเราทำผิด

แต่ถ้าเราไม่ได้กระทำผิด ไปขอโทษอะไร เพราะเราไม่ได้กระทำผิด

เวลาที่มีความเข้าใจว่า ได้กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นการล่วงเกิน ในปัจจุบันชาติ หรือชาติก่อนๆ จะรู้ หรือ โดยไม่รู้ หรือโดยประมาท ฟังธรรมโดยไม่เคารพ

แสดงความเคารพพอที่จะมีต่อพระผู้มีพระภาคหรือเปล่า โดยกล่าวคำขอขมา ในเรื่องแม้เพียงเล็กน้อยที่สุดก็ตามแต่

ก็แสดงให้เห็นถึงความเคารพอย่างยิ่งในบุคคล ซึ่งแม้เพียงเล็กน้อย ที่เราได้ไม่ประพฤติตาม ว่ากระทำสิ่งที่ไม่สมควร เราก็สามารถจะกล่าวคำขอขมาได้

เวลาที่เราอยู่ ณ สถานที่ๆ สมควรจะขอขมา ก็เป็นโอกาส ที่จะได้ระลึกถึงสิ่งที่ไม่สมควรกระทำต่อพระรัตนตรัย

แต่ไม่ได้หมายความว่า กรรมที่ได้กระทำแล้วจะหมดไป โดยมีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถที่จะ เว้นยกโทษนั้นไม่ให้เกิดขึ้น

ซึ่งเมื่อมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ต้องเป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้น แต่ก็เป็นการแสดงความเคารพอย่างยิ่ง ต่อบุคคลซึ่งแม้เพียงความผิดเล็กน้อยก็ไม่สมควรที่จะไม่กระทำต่อ นั่นคือ พระรัตนตรัย

เสร็จจากการประทักษิณแล้วก็ไปถวายโคมประทีป ที่สมาคมมหาโพธิ์ พุทธคยา

ท่านอาจารย์ เมื่อวันวิสาขบูชา ณ สถานที่นี้ พุทธคยา พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เกิดแสงสว่างคือ ปัญญา และ กัปนี้มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์

และ เราก็เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 มีแสงสว่างคือปัญญา ความเข้าใจถูก ที่สามารถมีได้ด้วยการฟังพระธรรมของพระองค์

มีค่ามากไหมคะ แสงสว่างคือปัญญา จากที่ไม่เคยรู้ เพราะความไม่รู้ทำให้สัตว์โลกเป็นทุกข์

แต่เพราะรู้ขึ้นก็มีแสงสว่างที่ประเสริฐ ไม่มีสิ่งใดมีค่าในชีวิตนี้ นอกจากปัญญาความเข้าใจพระธรรม

สะสมปัญญาต่อไป เพื่อต่อไปชาติไหนก็จะได้พบพระธรรมอันเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด

อ.ธีรพันธ์ ผ้ากาสาวพัสตร์เป็นผ้าย้อมน้ำฝาด สำหรับผู้บวชเป็นบรรพชิต เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ว่าตนเองเต็มไปด้วยอกุศล และเห็นโทษของการครองเรือน นำมาซึ่งความคับแคบ จึงถือเพศบรรพชิต เป็นเพศที่ปลอดโปร่งจากฆราวาสวิสัย

ผ้ากาสาวพัสตร์ คือ เครื่องนุ่งห่มยัอมน้ำฝาด ไม่ใช้ผ้าสีต่างๆ ผ้าราคาแพง และมีเครื่องประดับเข้ามาอีก ท่านจะทำสีเศร้าหมอง ไม่เป็นที่ต้องการของใคร คือขัดเกลากิเลสจากเพศคฤหัสถ์ สู่เพศบรรพชิต ซึ่งอยู่ใต้ร่มเงา ร่มเย็น บวชแล้วได้ศึกษา ประพฤติตามพระธรรมวินัยจริงๆ ก็อยู่ใต้ร่มเงา ได้รับความไม่ร้อน มีความเย็น ความอบอุ่น จากการเข้ามาบวช

ท่านอาจารย์ ใครละคะที่อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์

ผู้ฟัง ผู้ที่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านอาจารย์ และต้องเข้าใจด้วย เพราะฉะนั้น การเข้าใจพระธรรมนั่นเหละทำให้ร่มเย็น จะเป็นการอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ได้มั้ย ถ้าไม่เข้าใจธรรม

6 กุมภาพันธ์ 2561 เดินทางกลับ

วันนี้เป็นวัดสุดท้ายที่จะอยู่พุทธคยา ไฟลต์เครื่องบินออก 12.00 น.

และ แขกคนอินเดียขายของก็รู้จริงๆ วันสุดท้าย มาหน้าโรงแรม ปกติเป็นกุศลแล้วก็ปกติเป็นอกุศล เป็นธรรมเช่นเคย ช๊อปก่อนจาก ครับ ใครซื้อคนแรกๆ ราคาสูง ซื้อคนหลังๆ ยิ่งถูกลง ถูกลง ตามมาตรฐานของคนอินเดีย ตั้งราคาไว้ 10 เท่า 5 เท่า 500 เหลือ 100 เดียวได้ ยิ่งเตรียมจะขึ้นรถ ลดกันสุดๆ ครับ สหายธรรมก็ช๊อปต่อไปเรื่อยๆ ขึ้นรถกันแล้ว ก็ช๊อปกันต่อ

ท่านอาจารย์ มองยิ้ม อย่างมีความสุขในรถอีกคัน ที่พวกเราช๊อปปิ้งกันไม่เลิก

คณะเดินทางถึงสนามบินพุทธคยา ก็อำลากันด้วยการถ่ายภาพกับท่านอาจารย์สุจินต์ ซาบซึ้งในพระคุณท่าน

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยสูงสุด อันมีพระคุณหาประมาณมิได้

ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ให้ความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว และ ให้โอกาสพี่เล็ก สุรภาและกระผม ในการเชิญมาส่วนตัวของการมาพุทธคยา อินเดีย ครั้งนี้ นับเป็นการมาอินเดียและนอกสถานที่ที่ประเสริฐ ปีติที่สุดและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นอย่างยิ่ง ในวีดีโอกิจกรรมและการสนทนาธรรมครั้งนี้ ที่ได้เผยแพร่ให้ผู้อื่นที่ไม่ได้มาได้รับฟังกันทั้งภาพและเสียงผ่านทางยูทูปและเฟสบุ๊ค

ขออนุโมทนา พี่เล็ก สุรภา ภวนานันท์ ผู้จัดการเดินทางมาพุทธคยา อินเดีย ครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง และอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณพ่อ คุณแม่ น้องสาว ครอบครัว และ สหายธรรมทุกๆ ท่าน ที่ร่วมการเดินทางในทริปนี้ ทั้งการช่วยเหลือ คนละเล็กละน้อย ทั้งทางกาย วาจาและใจ อันเป็นสภาพจิตที่ดี น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม เสียสละในขณะนั้น เป็นภาพที่ประทับใจในการแสดงออกมาทางกาย วาจา ใจที่เกิดจากความเข้าใจพระธรรม

และขออนุโมทนาสหายธรรมผู้มีจิตศรัทธา ใน ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อันเป็นชีวิตมีค่า และ สาระที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตนี้

ขอกราบท่านอาจารย์สุจินต์อีกครั้ง ที่ยังให้ชีวิตนี้เข้าใจพระธรรม ทำดีและศึกษาพระธรรม



ความคิดเห็น 1    โดย papon  วันที่ 22 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับอาจารย์


ความคิดเห็น 2    โดย ruang_28  วันที่ 22 ก.พ. 2561

สาธุ ร่วมอนุโมทนาบุญ


ความคิดเห็น 3    โดย วิราม  วันที่ 22 ก.พ. 2561

สาธุ ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย ปลากริม  วันที่ 22 ก.พ. 2561

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาด้วยความเคารพยิ่งครับ


ความคิดเห็น 5    โดย peem  วันที่ 22 ก.พ. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย BermCM  วันที่ 23 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย Pattanan  วันที่ 23 ก.พ. 2561

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ คุณวรรณี , อ.ผเดิม , คุณสุรภา ที่ทำให้มีโอกาสได้ร่วมทริปธัมมะทัศนาที่แสนประเสริฐและมีค่ายิ่งครั้งหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ค่ะ

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย จิตและเจตสิก  วันที่ 23 ก.พ. 2561

สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาในกุศลธรรมและกุศลกรรมทั้งหลาย ของท่านอาจารย์สุจินต์ ฯ และคณะที่ร่วมเดินทางไปในดินแดนที่ประเสริฐเห็นปานนั้น ทุกๆ ท่าน ด้วยเทอญ ฯ


ความคิดเห็น 9    โดย แต้ม  วันที่ 24 ก.พ. 2561

ถึงแม้ผมจะไม่มีโอกาสได้ไป สังเวชนียสถาน 4 ผมเห็นแล้วก็รู้สึก ปลื้มปิติไปด้วย และก็คิดว่า คงไม่มีโอกาสได้ไป เพราะต้องใช้เงิน ซึ่งผมยังต้องมีค่าใช้จ่ายในครอบครัว ที่ลูกยังศึกษาอยู่ แต่ก็ไม่ได้คิดเสียใจ หรือเสียโอกาสอะไร ที่ไม่ได้ไป สังเวชนียสถาน 4 เพราะทุกครั้งที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และสนทนาธรรม ก็เกิด ปิติ ยินดีแล้ว จิตใจผ่องใส เห็นพระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงธรรมให้มนุษย์ทุกคนได้เข้าใจ สติปัญญาผมทำหน้าที่ไปตามลำดับ สามารถนำธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม ดังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" และที่สำคัญต้องขอขอบพระคุณวิทยากรทุกท่าน โดย เฉพาะ ท่าน อ.สุจินต์ ที่ได้ให้ความรู้ ความเข้าใจในพระธรรม ซึ่งขอตอบแทนพระคุณด้วยการเผยแพร่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องให้แก่นักเรียนและคนใกล้ชิดให้เข้าใจถูก เห็นถูกครับ


ความคิดเห็น 10    โดย thilda  วันที่ 24 ก.พ. 2561

กราบบูชาคุณและขออนุโมทนาในคุณความดีของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและครอบครัว ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านที่ได้ร่วมเดินทางในทริปที่ประเสริฐยิ่งครั้งนี้ค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย wirat.k  วันที่ 25 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 25 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย chatchai.k  วันที่ 3 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ