ไอคิว - อีคิว ศาสดาเอกของโลก
โดย dets25226  21 ก.พ. 2555
หัวข้อหมายเลข 20596

ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

วันนี้ขอสนทนาเรื่องอัจฉริยภาพครับ ได้มีโอกาสอ่านหนังสือ ของหนูดีครับ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง กล่าวถึงอัจฉริยภาพหลายด้าน ซึ่งคนเราสามารถมีอัจฉริยภาพหลายด้านได้ในคนเดียว และสมองของคนที่เรียกว่า อัจฉริยะ ก็เหมือนๆ กับคนธรรมดานี่เองก็อดคิดไม่ได้ถึงพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงพระคุณเป็นอันมาก ยากจะพรรณนาได้ ว่า

๑. ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านใดบ้าง เหตุแห่งอัจฉริยภาพของพระองค์นั้น ขึ้นอยู่กับสมองหรือไม่

๒. ถ้าจะให้วัดไอคิว - อีคิวของพระองค์ เทียบกับอัจฉริยบุคคล แนวหน้าของโลก จะเปรียบได้กับอะไรได้บ้างครับ

เรื่องนี้ ผมยังไม่เข้าใจแจ่มชัด เนื่องจากเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ ซึ่งมีความคล้ายกันอยู่ แต่พุทธศาสตร์ ดูเหมือนจะไปไกลกว่า หากถามผิดพลาดประการใด

ขอโปรดกรุณาด้วยนะครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 21 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่น เราก็จะต้องเข้าใจ ความคิดของชาวโลก ในเรื่องการบัญญัติ ถึง ความฉลาดว่า ชาวโลกบัญญัติ ความฉลาดว่าอย่างไร ชาวโลก บัญญัติว่า ความฉลาด มี ๒ อย่างคือ ไอคิว และ อีคิว

ไอคิว คือ ความฉลาดทางสติปัญญา เช่น การเรียนหนังสือเก่ง การเรียนรู้อะไรได้เร็ว เป็นต้น ซึ่งไอคิวสูง ต่ำเพราะพันธุกรรมและการเลี้ยงดู

อีคิว คือ ความฉลาดทางอารมณ์ คือ ความสามารถที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคม รู้จักผิดชอบ ชั่วดี เป็นต้น ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ทางสังคม

จะเห็นนะครับว่า ปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส ก็คิดทฤษฎี ตามความคิดที่พอคิดได้ ซึ่งสำคัญว่า ความฉลาดนั้นเกิดจากสมอง และเกิดจากการถ่ายทอดมาจากพ่อ แม่ที่เป็นยีนส์ เป็นต้น

ซึ่งความฉลาดทางโลก ที่ชาวโลกสมมติกันนั้น ไม่ใช่เกิดจากการยีนส์ ที่ถ่ายทอดมาจากพ่อ แม่ ไม่ได้เกิดจากสมอง เพราะ สมองเป็นเพียงรูปธรรม คือ เป็นสิ่งที่ประชุมรวมกันของรูป หลายๆ กลุ่ม รูปไม่รู้อะไร จึงไม่ได้ทำให้เกิดความฉลาดได้ แต่ความฉลาดทางโลกที่มีความชำนาญในด้านต่างๆ นั้น เกิดจากการเป็นผู้ที่เคยสะสม การกระทำเหล่านั้นในอดีตชาติมาแล้ว บ่อยๆ นับชาติไม่ถ้วน การสะสม ในการชำนาญไม่ได้หายไปไหน

เพราะจิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม ก็ยังสะสมให้เป็นผู้ชำนาญในเรื่องนั้น เพราะได้ทำบ่อยๆ ทำให้ฉลาดที่จะคิด เพราะมีการฝึก ตรึกคิดบ่อยๆ นั่นเอง ส่วนผู้ฉลาดน้อยก็โดยนัยตรงกันข้าม เพราะไม่ได้สะสมความชำนาญในเรื่องนั้นครับ จึงไม่เกี่ยวกับยีนส์ของพ่อ แม่ เลย ครับ และความฉลาดในทางเหตุผล ที่เป็นอีคิว รู้จักดี ชั่ว ก็ไม่พ้นจากเรื่องของจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น สืบต่อกันอีกเช่นกัน เพราะ เคยสะสมความคิดถูกที่เป็นกุศล สะสมปัญญาที่เป็นปัญญา ความเห็นถูกตามความเป็นจริง ทำให้คิดถูกตามความเป็นจริง จึงทำให้มีความฉลาดที่จะรู้ว่าอะไร ควรไม่ควรกระทำทั้งทาง วาจาและใจ ในการอยู่ร่วมกับสังคม

ดังนั้น เป็นเรื่องของการสะสมของจิต เจตสิกมาแล้วในอดีตชาติมานับไม่ถ้วน ซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่สามารถรู้ความจริงเหล่านี้ได้เลย ว่าเป็นเรื่องของจิต เจตสิกที่สะสมมา และเป็นเรื่องในอดีตชาติและเป็นปัญญาที่เป็นความเห็นถูกในพระพุทธศาสนา ครับ


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 21 ก.พ. 2555

ซึ่งปัญญาทางโลก กับ ปัญญาทางธรรมนั้นต่างกันสิ้นเชิง ปัญญาทางโลกก็เป็นเพียงการคิดนึกตรึกได้ถูกต้องตามเหตุผลทางโลก แต่ไม่จำเป็นจะต้องตรงสภาพธรรมที่เป็นจริง ซึ่งอาจขัดแย้งกันก็ได้ ดังนั้นปัญญาทางโลกจึงเป็นการคิดนึกตรึกได้อย่างรวดเร็ว ตรงกับทฤษฎีเรื่องราวของชาวโลกบัญญัติไว้ ดังเช่น วิชาคณิตศาสตร์ที่สามารถคิดได้ถูกต้อง รวดเร็ว ก็เป็นปัญญาทางโลก ที่คิดนึกได้ถูกตามทฤษฎีนั้น แต่จิตที่คิดอยู่ในขณะนั้น เป็นอกุศล มีความต้องการที่เป็นโลภะ จึงไม่ใช่ปัญญาในพระพุทธศาสนา ปัญญที่เป็นสัจจะ ความจริง คือ ความเห็นถูกตามความเป็นจริงที่ตรงตามสภาพธรรม ที่เป็นสัจจะ ที่ไม่ตามสมมติทฤษฎีของชาวโลกที่คิดกัน เช่น ความเข้าใจถูกที่ว่ากรรม ดี ย่อมให้ผลดี ความเข้าใจถูกว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรม ไม่ใช่เรา นี่คือ เป็นปัญญาที่ เป็นเจตสิกที่ดี เป็นกุศลธรรม และเป็นความเห็นถูก ไม่เปลี่ยนลักษณะ ไม่ว่ายุคสมัยไหน ก็เป็นจริงอย่างนั้น คือ กรรมดีก็ต้องให้ผลดี หรือ ความจริงมีแต่เพียงธรรม ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล ต่างจากความฉลาดทางโลกที่ยึดติดกับทฤษฎีที่ตั้งขึ้น ซึ่งทฤษฎีเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยการคิดค้นใหม่ๆ เพราะไม่ใช่สัจจะนั่นเองครับ


ความคิดเห็น 3    โดย paderm  วันที่ 21 ก.พ. 2555

ดังนั้น อีคิว ไอคิวทางโลก ที่เป็นความฉลาดทางโลก จึงไม่ตรงกับสัจจะ และไม่ใช่ความฉลาดจริงที่เป็นปัญญา ครับ

จากคำถามที่ว่า

ก็อดคิดไม่ได้ถึงพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงพระคุณเป็นอันมาก ยากจะพรรณนาได้ ว่า

๑. ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านใดบ้าง เหตุแห่งอัจฉริยภาพของพระองค์นั้น ขึ้นอยู่กับสมองหรือไม่


พระพุทธเจ้าประกอบด้วยพระคุณธรรมหาประมาณมิได้ เลิศประเสริฐสูงสุดกว่าหมู่สัตว์ เพราะพระองค์บำเพ็ญบุญบารมีสูงสุด จนถึงพร้อมก็ทำให้มีพระปัญญาสูงสุด ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญาและคุณธรรมประการต่างๆ ไม่เกี่ยวกับสมองเลย เพราะ สมองเป็นเพียงรูปธรรมที่มาประชุมกัน ไม่รู้อะไร แต่ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ คือ มี จิต เจตสิก ที่ปราศจากกิเลสแล้ว และเมื่อบรรลุคุณธรรมเป็นพระพุทธเจ้า พระปัญญาก็เกิดขึ้นเพราะได้ดับกิเลส และความถึงพร้อมของคุณธรรมถึงที่สุด เกิดจิตที่เป็น โลุตตรมรรค ที่สามารถดับกิเลสหมดสิ้น จิตที่ดับกิเลสหมดแล้ว ย่อมปราศจากกิเลสที่ทำให้ไม่รู้ เพราะมีความไม่รู้ จึงทำให้ไม่เห็นตามความเป็นจริง แต่เมื่อไม่มีกิเลสแล้ว แต่มีปัญญาเกิดขึ้นแทน อัจฉริยภาพของพระองค์จึงเกิดขึ้นด้วยเพราะดับความไม่รู้ และดับกิเลสหมดสิ้น คุณธรรมทุกอย่างถึงพร้อมที่เป็นเรื่องของนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรมที่เป็นสมองเลยครับ

ดังนั้น การที่จะมีปัญญา ฉลาดในความเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ที่ฉลาดทางโลก เพราะผู้ที่คิดถูกตามทฤษฎีชาวโลก ที่โลกยกย่อง แต่ไมได้สะสมนามธรรมที่เป็นความเห็นถูกมา ก็ย่อมคิดผิด เห็นผิดได้ครับ เพราะไม่ได้ละความไม่รู้ และความเห็นผิดเลย ที่เป็นกิเลสที่ทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง ความฉลาดทางโลก จึงไม่สามารถละกิเลสได้ แต่ปัญญาที่เป็นสัจจะความเห็นถูก ที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่สมอง สามารถละกิเลสได้ จึงทำให้เป็นผู้มีปัญญาและคุณธรรมประการต่างๆ ครับ


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 21 ก.พ. 2555

๒. ถ้าจะให้วัดไอคิว - อีคิวของพระองค์ เทียบกับอัจฉริยบุคคล แนวหน้าของโลก จะเปรียบได้กับอะไรได้บ้างครับ


พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลผู้ไม่มีใครเสมอ นอกจากพระพุทธเจ้าด้วยกัน พระพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศประเสริฐที่สุด กว่าหมู่สัตว์ ดังนั้น จึงไม่สามารถไปวัดเปรียบเทียบกับ ปุถุชน ทั่วไปได้เลย เพราะปุถุชนผู้ที่ฉลาดทางโลก แต่ไม่ได้รู้ความจริงที่เป็นสัจจะ มากไปด้วยกิเลส และที่คิด ที่ฉลาดในทางโลกในขณะนั้น ก็ด้วยอกุศลจิตที่เกิดขึ้น ยินดีพอใจ ในเรื่องราวที่คิด และติดข้อง พร้อมๆ กับความไม่รู้ที่เกิดขึ้นในอกุศลจิตที่คิดเรื่องราว ทฤษฎี ก็ไม่รู้ตามความเป็นจริงเลยว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา กลับสำคัญผิด ว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีสิ่งต่างๆ เพราะความสำคัญผิด และความไม่รู้เหล่านี้นี่เอง ที่เป็นกิเลส จึงทำให้พาไปสู่การคิดทฤษฎีต่างๆ มากมาย อันตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เห็นผิดว่ามีสัตว์ บุคคล มีตัวตน มีสิ่งต่างๆ ครับ

นี่ก็ให้เห็นถึงความแตกต่างของคำว่า พุทธ ผู้รู้ กับ ที่ไม่ใช่พุทธ ผู้ไม่รู้แล้วว่าแตกต่างกันหาประมาณไม่ได้ ครับ พระพุทธเจ้าจึงเป็นบุคคลที่เลิศสูงสุดของจักรวาล ของโลก ทั้งหมด เพราะพระคุณธรรมของพระองค์ ด้วยพระปัญญาที่ตรัสรู้ตามความเป็นจริงทั้งหมดในเรื่องราวของชาวโลกที่สมมติกัน และ ความจริงที่เป็นสัจจะทั้งหมด ที่มีแต่เพียงสภาพธรรม เปรียบเหมือนพระองค์ทรงรู้ทุกสิ่ง ดังเช่น ใบไม้ของต้นสาละทั้งต้นที่เปรียบเหมือน ความจริงของชาวโลกที่สมมติและความจริงที่เป็น สัจจะ ที่เป็นจิต เจตสิก รูป และนิพพาน แต่สิ่งที่พระองค์ทรงแสดง เพียงใบไม้กำมือเดียว เพราะสิ่งอื่นความรู้อื่นไม่เป็นไปเพื่อการละ ดับกิเลส แต่สิ่งที่พระองค์ทรงแสดง เป็นประโยชน์ เพราะสามารถทำให้สัตว์โลกเกิดปัญญา ดับกิเลสได้

ดังนั้น พระพุทธเจ้ารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเกิดจากพระปัญญาที่เป็นนามธรรม ที่ไม่ใช่สมอง เกิดขึ้น ด้วยเพราะการบำเพ็ญกุศลประการต่างๆ ถึงพร้อมจนดับกิเลสหมด ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระปัญญา ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย dets25226  วันที่ 21 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

เมื่อได้ฟังคำอธิบายที่อาจารย์ได้กรุณาชี้แจงตามเป็นจริงแล้ว ก็หวนคิดถึงตัวเองสมัยเด็กที่มีอุปนิสัยเป็นอกุศลบางอย่าง ซึ่งเด็กธรรมดาทั่วไปไม่ค่อยมีกัน ถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับผมในตอนนั้น จึงทำให้มั่นใจได้ว่า เกิดจากการสะสมของจิตนั่นเอง

ความรู้ในพระพุทธศาสนานั้น น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คำสอนในพุทธศาสนานั้น เป็นเรื่องที่ต้องเห็นเอง รู้เอง อย่างนี้เองหนอ สาธุๆ ๆ ๆ


ความคิดเห็น 6    โดย khampan.a  วันที่ 21 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ใคร? คือ บุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ไม่มีบุคคลใดที่จะเสมอเหมือนกับพระองค์ ทรงเป็นผู้ตรัสรู้โดยชอบได้โดยพระองค์เอง โดยไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์ ก่อนที่พระองค์จะได้ทรงตรัสรู้ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน มีชีวิตที่เป็นไปเพื่อการสะสมคุณความดีประการต่างๆ จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด ความเฉลียวฉลาด ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงสะสมมา ก็ยากที่ใครจะเสมอเหมือนในความฉลาดความสามารถของพระองค์ ในขณะที่ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ความสามารถเหล่านั้น ความเชี่ยวชาญเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ พระปัญญาที่พระองค์ได้สะสมอบรมมาพร้อมกับกุศลที่เป็นบารมีประการต่างๆ เท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้พระองค์ได้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งจากการเสด็จอุบัติขึ้นในโลกของพระองค์ เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน จากที่สัตว์โลกเป็นผู้มืดมิดไปด้วยอวิชชาและกิเลสประการต่างๆ ก็สามารถได้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พ้นจากความมืดที่เป็นความไม่รู้และกิเลสประการต่างๆ ได้ตามระดับขั้นของปัญญาของแต่ละบุคคล

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก และทรงแสดงพระธรรมเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น ต้องเป็นผู้มีศรัทธา สะสมการฟังพระธรรมมาแล้วในอดีต จึงทำให้มีความสนใจที่จะฟัง ที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นต่อไป แต่ถ้าเป็นบุคคลนอกจากนี้ ที่ไม่มีศรัทธา ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากการอุบัติขึ้นในโลกและจากการแสดงพระธรรมของพระองค์ แม้ขณะนี้พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ พระธรรมยังดำรงอยู่ บุคคลผู้ที่เข้าใจธรรมและแสดงธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ยังมีอยู่ ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาที่จะได้ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 7    โดย เซจาน้อย  วันที่ 21 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย หลานตาจอน  วันที่ 22 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย jaturong  วันที่ 22 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ