เรียนถาม
เมื่อเกิดความเจ็บปวดทางร่างกาย อาทิ โดนมีดบาด เป็นทุกข์กาย เมื่อนั้น ความทุกข์ใจย่อมเกิดขึ้นด้วย แต่แยกไม่ออกใช่หรือไม่คะ การที่เราหน้านิ่ว คิ้วขมวด และบ่นว่าเจ็บแผล จะเป็นโทมนัสเวทนา หรืออย่างไรคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เวทนา คือ สภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรมที่เป็นเจตสิก เวทนา ความรู้สึก มี ๕ อย่าง ดังนี้ ความรู้สึกสุขกาย หรือ สุขเวทนา
ความรู้สึกสุขใจ คือ โสมนัสเวทนา
ความรู้สึกเฉยๆ หรือ อทุกขมสุขเวทนา
ความรู้สึกทุกข์กาย หรือ ทุขเวทนา และ
ความรู้สึกโทมนัสเวทนา เป็นความไม่สบายของจิต
ขณะที่เกิดความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม ขณะที่เจ็บปวด เป็น ทุกขกายวิญญาณ ที่เป็นวิบาก คือ เป็นผลของกรรม มีความรู้สึกที่เป็นเวทนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นทุกขเวทนา และเมื่อทุกข์กาย ที่เป็น ปัญจวิญญาณดับไป จิตอื่นๆ ก็เกิดต่อถึงชวนจิต อกุศล คือ โทสมูลจิต เกิดขึ้น ไม่ชอบ และมีเวทนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยในขณะที่เป็นจิตที่เป็นโทสะ คือ โทมนัสเวทนา เป็นควมไม่สบายของจิต และเมื่อถึงทางใจ ก็เกิดความรู้สึกทุกข์ใจที่เป็นโทมนัสเวทนาเกิดขึ้นต่ออย่างรวดเร็วได้อีก
ที่กล่าวว่าแยกไม่ออก เพราะว่า สภาพธรรมนั้นเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วมากๆ สุดประมาณ ดังนั้น จึงปรากฏเหมือนว่า ทุกข์กายแล้วก็ทุกข์ใจทันที แต่ในความเป็นจริง ทุกข์กาย ที่เป็ทุกขเวทนา ขณะที่เจ็บปวด ก็เป็นขณะหนึ่งที่เป็นทุกขกายวิญญาณเกิดขึ้น เป็นผลของกรรม แต่เพราะความเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของจิต ทำให้ชวนจิตเกิดอกุศล คือ โทสมูลจิต ความรู้สึกโทมนัสเวทนาเกิดขึ้นร่วมด้วย ในขณะนั้น แต่เป็นจิตคนละขณะ แต่เพราะการเกิดดับอย่างรวดเร็วจึงแยกไม่ออกครับ
ที่สำคัญ ตัวเรา แยกไม่ออกแน่นอน แต่ต้องเป็นปัญญาระดับสูง ที่เจริญสติปัฏฐานอย่างชำนาญแล้ว จึงจะสามารถแยกออกว่า ขณะใดเป็นทุกขกายวิญณาณ ที่เป็นทุกข์กาย หรือ เจ็บปวด และขณะที่เป็นโทมนัสเวทนา ปัญญาระดับสูงเท่านั้นที่แยกออกได้
ส่วนคำถามที่ว่า
การที่เราหน้านิ่ว คิ้วขมวด และบ่นว่าเจ็บแผล จะเป็นโทมนัสเวทนา หรืออย่างไรคะ
จิตเกิดดับอย่างรดวเร็ว ขณะที่เจ็บปวด เป็นทุกขเวทนา ยังไม่ทุกข์ใจ เป็นเพียงผลของกรรม แต่หลังจากนั้นเป็นอกุศลจิตได้อย่างรวดเร็ว เกิดโทสมูลจิต ไม่ชอบใจ ไม่พอใจมีโทมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วยแล้ว โดยไม่รู้ตัว เพียงวาระแรกๆ ก็เกิดความขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ และมีความรู้สึกโทมนัสเวทนาเกิดขึ้นแล้วโดยไม่รู้ตัวเลย ยังไม่ถึงกับการแสดงออกถึงหน้านิ่ว คิ้วขมวด โทมนัสเวทนาเกิดแล้ว และจิตวาระหลังๆ ผ่านไปนานแล้ว ย่อมเกิดหน้านิ้วขมวดได้ เพราะอกุศลจิตมีโทสะเป็นปัจจัย เกิดความรู้สึกโทมนัสเวทนา จึงหน้านิ่ว คิ้วขมวด ครับ เพราะไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ขุ่นใจในขณะนั้นครับ
ดังนั้น โทนัสเวทนาเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลเท่านั้น คือ โทสมูลจิต ครับ และขณะที่บ่น แสดงว่าไม่พอใจในขณะนั้น ก็เป็นโทสมูลจิต มีโทมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วยครับ ขณะใดที่เป็นโทสะ ไม่พอใจ ขุ่นใจแม้เพียเล็กน้อย ความรู้สึกเป็นโทมนัสเวทนาแล้วครับ ในขณะนั้น
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ทุกข์กาย ไม่จำเป็นต้องมีทุกข์ใจตามมาค่ะ
อย่างเราโดนมีดบาด ก็ระลึกรู้ลักษณะทุกขเวทนานั้นไป
ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อว่า เราเจ็บๆ
การที่หน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วบ่นว่าเจ็บแผล เป็นโทสนัสเวทนา
เกิดจากโทสมูลจิต ที่เอาตัวตนมารองรับ
ทุกข์กาย เป็นผลของอกุศลกรรม ส่วนทุกข์ใจ เป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องอกุศล ตราบใดที่ยังมีร่างกาย ก็ต้องมีทุกข์ทางกายเป็นของธรรมดา แม้แต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ยังมีทุกข์กาย แต่ท่านไม่มีทางทุกข์ใจ เพราะท่านดับกิเลสหมดแล้ว ส่วนปุถุชน ยังมีทุกข์ใจ เพราะยังมีกิเลสอยู่ แม้ไม่ทุกข์กาย ก็ยังมีทุกข์ใจเกิดได้ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ทางกาย หรือ ทุกข์ใจ (ความไม่สบายใจ) ก็ไม่พ้นไปจากธรรม เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทุกข์ทางกาย เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นผลของอกุศลกรรม เป็นทุกขเวทนาที่เกิดร่วมกับอกุศลวิบากทางกาย ที่เป็นทุกขกายวิญญาณ เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครทำให้เลย ความเจ็บปวด ต้องเป็นเฉพาะทางกายเท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ อกุศลจิตย่อมเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ เมื่อได้รับทุกข์ทางกายแล้ว สภาพจิตที่เกิดต่อนั้น เป็นอกุศลจิตประเภทที่เป็นโทสมูลจิต ซึ่งเวทนาที่เกิดร่วมกับโทสมูลจิต มีเพียงเวทนาเดียวเท่านั้น คือ โทมนัสสเวทนา อันเป็นเวทนาที่ทำให้เกิดความไม่สบายแก่จิต ขณะที่เกิดความไม่ชอบ ไม่พอใจ แม้จะเล็กน้อย ก็เป็นโทสมูลจิต ที่มีโทมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย เสมอ ซึ่งไม่ใช่ในขณะที่เป็นทุกข์ทางกาย ความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้ สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกว่า เป็นธรรมที่มีจริง ทุกขเวทนาที่เกิดทางกาย ก็เป็นธรรมที่มีจริง ความไม่สบายใจ อันเป็นโทมนัสสเวทนา ก็เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เรา และจะได้เข้าใจได้ ก็ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับจริงๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
เรียนถาม
เวทนาเจตสิกที่เกิดกับจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส ที่เรียกว่า วิญญาณจิตนั้น เป็นวิบากจิต แต่เวทนาที่เกิดร่วมด้วย เป็นเวทนาอะไร เป็นอุเบกขาเวทนา เพียงอย่างเดียว หรืออย่างไร แต่ถ้าเป็นกายวิญญาณจิต เวทนาที่เกิดร่วมด้วยต้องมีเพียงสองอย่างคือ สุข หรือทุกข์ เท่านั้น ใช่หรือไม่คะ
เรียนความเห็นที่ 7 ครับ
เวทนาเจตสิก ที่เกิดกับจิตเห็น (จักขุวิญญาณ ๒ ดวง) จิตได้ยิน (โสตวิญญาณ ๒ ดวง) จิตได้กลิ่น (ฆานวิญญาณ ๒ ดวง) จิตลิ้มรส (ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง) ทั้งหมดที่กล่าวมาเกิดกับอุเบกขาเวทนา ครับ
แต่ กายวิญญาณจิต ๒ ดวง ดวงหนึ่งเกิดกับเวทนาที่เป็นสุขเวทนา อีกดวงหนึ่งเกิดกับเวทนาที่เป็นทุกขเวทนา ครับ กายวิญญาณจิต ทั้ง ๒ ดวง ไม่เกิดกับอุเบขาเวทนาเลยครับ ดังนั้นถูกต้องตามที่คุณ วิริยะกล่าวมาแล้ว ครับ
ขออนุโมทนา
เรียนถาม
ขอเรียนถามเพิ่มเติมอีกสักนิดค่ะว่า อาการหน้านิ่ว คิ้วขมวด และพร่ำบ่นถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับจิตโดยตรง ที่ทำให้เกิดอาการเช่นนั้น ใช่หรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องรูปหรือไม่ ที่เป็น กายวิญญัติรูป และวจีวิญญัติรูป
ขอบพระคุณอย่างสูง
เรียนความเห็นที่ 9 ครับ
ขณะที่บ่น ก็เพราะอาศัยจิตและก็มีรูปเข้ามาเกี่ยวข้องในรูปต่างๆ ด้วยครับ จึงบ่นได้รวมทั้ง วจีวิญญัติรูปด้วย ส่วนการแสดงหน้านิ่ว คิ้วขมวด ต้องอาศัยจิต มีโทสมูลจิตเป็นต้น และรูปอื่นๆ เป็นปัจจัยให้แสดงหน้าตาอย่างนั้น แต่ไม่จำเป็นจะต้องมีกายวิญญัติรูปเสมอไป หากต้องการแสดงให้คนอื่นรู้ความหมาย ถึงจะมีกายวิญญัติรูป ครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ