ณ กาลครั้งหนึ่ง...พัทยา ตอนที่ ๒
โดย มศพ.  11 พ.ย. 2558
หัวข้อหมายเลข 27200

ณ กาลครั้งหนึ่ง ... พัทยา ตอนที่ ๒

@ ความจริงแล้วคนดีไม่มี มีแต่ความดีที่ได้สะสมมา
@ เจตสิกที่ไม่ดีมีเท่าไหร่ รู้จักหรือยัง ขณะนี้มีหรือเปล่า?

@ ความไม่รู้เป็นพื้นของอกุศลทั้งหลาย
@ สติเกิด ไม่มีเราไปฝึก แต่เกิดตามเหตุปัจจัย
@ แม้สติก็ไม่ใช่เรา แล้วฝึกอะไร?
@ ฟังพระพุทธพจน์ต้องไม่เผิน ควรพิจารณาจนเข้าใจจริงๆ
@ สิ่งที่มีค่าในชีวิตนี้ที่ติดตามไปคือกุศลกรรม แต่อกุศลกรรมซึ่งไม่ดีก็ติดตามไปด้วย
@ การไปฝึกไปปฏิบัติไม่มีทางเป็นไปด้วยความเข้าใจ เป็นตัวเราที่ไปฝึกจะทำให้ได้
@ ปัญญาเท่านั้นที่เข้าใจ รู้ความเป็นไปของความจริงทีละเล็กทีละน้อย
@ เมื่อไม่รู้เท่าทันโลภะ จึงไปฝึกไปทำอะไรที่ผิดปกติ
@ ขณะนี้แข็งมีอยู่. แล้วความเข้าใจอยู่ตรงไหน?
@ เพราะต้องฟังแล้วคิด จึงทรงแสดงถึงปัญญาขั้นสุตมยญาณ
@ โลภะมาอย่างแยบคาย ไม่มีทางเท่าทันได้ นอกจากมีปัญญาที่เริ่มจะรู้ความจริง
@ ศึกษาพระสูตรไม่ดี ย่อมเป็นมิจฉาทิฏฐิ
@ เมื่อธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ความเพียรละกิเลสที่ถูกต้องจึงไม่มีตัวตน ที่กล่าวว่าในพระไตรปิฎกไม่มีถ้อยคำนี้ เนื่องจากผู้นั้นขาดการพิจารณาโดยละเอียดรอบคอบจึงเข้าใจผิดเรื่องอนัตตา
@ ฟังแล้วดูเหมือนจะรู้ เพราะโลภะต้องการให้เป็นเช่นนั้น
@ ปัญญาเท่านั้นที่ดับอนุสัยกิเลสได้ เพราะโลภะเกิดแล้วดับแล้ว. แล้วอะไรจะดับโลภะได้ ที่ดับต้องดับที่อนุสัยอันนอนเนื่องอยู่ด้วยปัญญา
@ ผู้มีปัญญาอาจดูไม่รู้ เหมือนดังประทีปที่ถูกครอบไว้ มีเพียงพระญาณของพระพุทธองค์ที่ทรงทราบ. และทรงแสดงความจริงเพียงเล็กน้อย ผู้นั้นย่อมประจักษ์แจ้งความจริง นี้คือผู้มีปัญญาในสมัยพุทธกาล
@ อกุศลเกิดขึ้น จะมีประโยชน์หากได้เข้าใจ


@ โลภะ ตัณหา นันทะ ต่างคือความติดข้องที่เป็นไปตามอาการที่เกิด
@ ภาวนา คือ จากไม่มีทำให้มี ที่มีอยู่แล้วทำให้มีเพิ่มขึ้น
@ ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม คือ ไม่เว้นแม้แต่การฟังพระธรรมก็ต้องไม่ประมาทเลย
@ ทรงแสดงถึงโอฆะห้วงน้ำใหญ่แห่งความเห็นผิด เพราะขยับทำสิ่งใดด้วยความเป็นตัวตนนิดเดียวก็จมลงไปอีกแล้ว
@ ที่ว่าเป็นเรานั้นเนื่องมาจากจำไว้ แต่ธรรมะทั้งหลายนั้นเกิดดับไปแล้ว
@ ที่พูดว่ามีเพียง จิต เจตสิก รูป ต้องรู้ด้วยว่าตอนนี้อยู่ไหน?
@ โกรธเกิดแล้วดับแล้ว จะมีเราไปทำอะไรได้
@ ปัญญาเจริญขึ้นก็มีบารมี ๑๐ เกื้อกูลเป็นปัจจัย
@ ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ความต่างที่ว่า กำลังคิดไม่ใช่เรา
@ จากที่จำได้ว่าไม่มีเรา นึกขึ้นมาได้ ก็เป็นปัญญาขั้นฟัง
@ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ บ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มขึ้น มากขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ว่าไม่มีเรา
@ ต้นไม้ใหญ่รากลึก ยังเอนเอียงไปได้ ความเข้าใจก็เช่นกัน จากไม่รู้อย่างหนาแน่นมั่นคง ก็เป็นค่อยๆ รู้ขึ้นเข้าใจขึ้นว่าไม่มีเรา
@ จิตนั้นรู้แจ้งในอารมณ์ จึงสามารถรู้ถึงความละเอียดและความแตกต่างของอารมณ์ที่ปรากฏได้ เช่น รู้ได้ถึงเพชรแท้ เพชรเทียม ต่างกัน ทั้งๆ ที่เหมือนกันมาก


@ ลองนึกดูว่า พระพุทธองค์ก่อนทรงปรินิพพานโดยจะจากไปไม่กลับมาแล้ว จะทรงตรัสคำสุดท้าย. ที่มีความสำคัญเพียงใด "ดูกรภิกษุทั้งหลายเราขอเตือนพวกเธอว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"
@ เมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง จะทราบได้ทันทีว่า ธรรมที่กล่าวนั้นเป็นคำใคร. และควรฟังคำใคร?
@ พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่จริง คือ ที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้
@ ขณะที่รู้สึกเบาสบาย ย่อมไม่ใช่โลภะ เพราะไม่ได้ติดข้อง
@ ปัญญาห่างไกลจากโลภะมากเพราะรู้ความจริงจึงไม่ติดข้อง แต่เบาสบาย
@ เมื่อกล่าวว่ามีโลกของบัญญัติ. รู้ความหมายของบัญญัติจริงๆ หรือเปล่าว่า บัญญัติมาจากไหน คืออะไร ต้องชัดเจน
@ บัญญัติเป็นเพียงอาการที่ปรากฏของปรมัตถธรรม บัญญัติจึงไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง โลกของบัญญัติจึงไม่มี เป็นเพียงอารมณ์ของความคิดเท่านั้น
@ ที่สภาพธรรมเกิดดับอย่างรวดเร็วสุดประมาณนั้น ก็เพราะไม่ปรากฏการเกิดดับให้เห็นได้เลย
@ สภาพธรรมเกิดดับอยู่ก็ไม่รู้. แสดงให้เห็นได้ว่าความไม่รู้มีมากแค่ไหน
@ สภาพธรรมเกิดดับอย่างรวดเร็ว ปรากฏให้เห็นได้จากนิมิตที่สืบต่อกันนั้น จนเป็นอาการที่ปรากฏมีรูปร่างสัณฐานต่างๆ จึงเป็นบัญญัติที่เป็นอารมณ์ของจิตได้ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีคำพูดใดๆ
@ จะรู้ความติดข้อง ก็ดูจากชอบสิ่งใด ชอบสีใด ชอบดูอะไร ชอบอาหารแบบไหน ที่เลือกนั้น ก็ด้วยความติดข้องนั้นอง
@ เจ็บป่วยทางกาย คนละเรื่องกับเจ็บปวดทางใจ
@ ปัญญาต้องประจักษ์แจ้งทุกคำที่ทรงแสดง จึงจะออกจากทุกข์ได้
@ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นจากความเป็นอัตตาได้เลย แม้แต่การได้มาฟังพระธรรม
@ กว่าจะเป็นปกติ ไม่ทำอะไรผิด ก็นานแสนนาน เพราะโลภะคอยแทรกอยู่ทุกขณะ
@ ฟังแล้วก็คิดว่าจะไม่ทำอะไรเพราะกลัวโลภะนั้น ที่จะไม่ทำอะไรเลย มี ๒ อย่าง คือ เป็นเราที่ไม่ทำอะไรเลย กับ ไม่ทำอะไรด้วยความเป็นเรา มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นที่ทำ
@ ทุกขอริยสัจจะนั้น คือ ความเกิดดับที่พระอรหันต์ท่านประจักษ์แจ้ง
@ ความเป็นเรามีเยอะมากจนยากที่จะเข้าใจทุกขอริยสัจจะได้
@ ปัญญาเห็นทุกขอริยสัจจะ. เราเห็นไม่ได้
@ สภาพธรรมที่ปรากฏนั้นตั้งขึ้นพร้อมนิมิต แล้วสัญญาจดจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานแสนนาน
@ สังเกตหรือเปล่าว่าที่ทำอะไรอยู่นี่ก็เพื่อสุขเวทนา เพื่อความรู้สึกที่เป็นสุข สร้างบ้านสวยๆ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาหารการกินทั้งหลาย เพราะเวทนาทั้งนั้น


@ ความพอใจในความเป็นเราก็เป็นเวทนาเช่นกัน
@ ศึกษาธรรมแล้วคิดเอง ผิดทั้งหมด
@ จะตั้งตนด้วยศีลอะไรจึงจะมีปัญญา ไม่มีทางเพราะคิดเอาอง
@ เพราะไม่รู้จักพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์ จึงเห็นผิดเพราะผิวเผิน

ขออนุโมทนา



ความคิดเห็น 1    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 11 พ.ย. 2558

สาธุ กราบขอบพระคุณ ทุกคำเป็นกำลังใจที่จะต่อสู้กับความไม่รู้ไปอีกนานแสนนานค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย siraya  วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย Guest  วันที่ 11 พ.ย. 2558

น้อมกราบ และขออนุโมทนาในพระสัทธรรมอย่างสูงครับ


ความคิดเห็น 4    โดย khampan.a  วันที่ 11 พ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย apiwit  วันที่ 11 พ.ย. 2558

น้อมกราบพระอรหันต์ตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น,กราบท่านอาจารย์สุจินต์ผู้เผยแพร่พระสัทธรรม และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 6    โดย pulit  วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย Wisaka  วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย Boonyavee  วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย j.jim  วันที่ 12 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย orawan.c  วันที่ 15 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 24 ก.พ. 2559

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 10 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย Jarunee.A  วันที่ 13 ส.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ