[คำที่ ๗๓๔] พาลนิมิตฺต
โดย Sudhipong.U  18 ก.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 50958

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “พาลนิมิตฺต

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

พาลลกฺขณ อ่านตามภาษาบาลีว่า พา - ละ - นิ - มิด - ตะ มาจากคำว่า พาล (ผู้ไม่รู้ความจริง, ผู้โง่เขลา, คนพาล) กับคำว่า นิมิตฺต (เครื่องหมาย, สิ่งที่บ่งบอกให้รู้ได้) รวมกันเป็น พาลนิมิตฺต แปลว่า เครื่องหมายของคนพาล, สิ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนพาล เป็นอีก ๑ คำที่ แสดงถึงความเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศลธรรม เพราะมีอกุศลธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเป็นไป มีความไม่ละอายต่อบาป และความไม่เกรงกลัวต่อบาป เป็นต้น ซึ่งทำให้ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ เป็นไปในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร ด้วยอำนาจของอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป จึงเป็นเหตุให้หมายรู้ได้ว่า ความประพฤติอย่างนี้ เป็นความประพฤติของคนพาล ซึ่งเมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรม เท่านั้น

ข้อความในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต จินตสูตร แสดงความเป็นจริงของความประพฤติที่เป็นนิมิตคนพาลหรือเครื่องหมายที่บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนพาล ดังนี้

คนพาลในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้คิดชั่วโดยปกติ พูดชั่วโดยปกติ และทำการชั่วโดยปกติ ก็ถ้าคนพาลจักไม่เป็นผู้คิดชั่วโดยปกติ พูดชั่วโดยปกติ และทำการชั่วโดยปกติแล้วไซร้ คนฉลาดทั้งหลายจะพึงรู้จักเขาได้อย่างไรว่า อสัตบุรุษผู้นี้เป็นคนพาล ก็เพราะเหตุที่คนพาลย่อมเป็นผู้คิดชั่วโดยปกติ พูดชั่วโดยปกติ และทำการชั่วโดยปกตินั่นแล คนฉลาดทั้งหลาย จึงรู้จักเขาได้ว่า อสัตบุรุษผู้นี้ เป็นคนพาล”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงถึงสิ่งที่มีจริง เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงและมีจริงในชีวิตประจำวัน เพราะมีแต่ธรรมเท่านั้น ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แม้แต่ในเรื่องของความเป็นคนพาล ก็ทรงแสดงไว้ เป็นเครื่องเตือนที่ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ จะได้รู้จักตัวเองว่า ยังไม่พ้นจากความเป็นพาล เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้น เพราะมีธรรมฝ่ายไม่ดีเกิดขึ้นเป็นไป จึงเรียกว่า คนพาล ทำให้ไม่รู้ความจริง ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเป็นปุถุชน ก็ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจของอกุศลธรรม อกุศลจิตจึงเกิดขึ้นมากในชีวิตประจำวัน คนพาลก็มีหลากหลายตามความเป็นไปของสภาพธรรมฝ่ายที่ไม่ดี เช่น คนพาลที่หยาบปรากฏชัด คือ คนที่ทำบาปกรรม ทำทุจริตกรรมประการต่างๆ มีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด เป็นต้น พาลที่ละเอียดกว่านั้น แม้ไม่ได้ทำอกุศลกรรมประการต่างๆ แต่ก็ยังไม่พ้นจากความเป็นคนพาล เพราะยังมีอกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป แม้ไม่ได้ล่วงเป็นทุจริตกรรมก็ตาม ซึ่งจะต้องพิจารณาไปแต่ละขณะจิตจริงๆ กล่าวคือ ขณะที่จิตไม่ดี คืออกุศลจิตเกิดขึ้น มีความติดข้องต้องการยินดีพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือมีความโกรธ ความไม่พอใจเกิดขึ้น เป็นต้น ก็ชื่อว่าเป็นคนพาล เป็นคนไม่ดีแล้วในขณะนั้น เพราะเป็นอกุศล บางคนก็บอกว่า เกิดมาแล้วไม่ได้ทำผิดอะไร สบายอยู่แล้วก็สบายต่อไป ก็เป็นคนพาลอีกเหมือนกัน เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงเลย และความเป็นพาลที่มีโทษมาก อันตรายมากกว่าอย่างอื่น คือความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ประพฤติปฏิบัติผิดและสอนในสิ่งผิดๆ กระจายความเห็นผิดก่อโทษให้กับชนหมู่มาก ทำให้ชนทั้งหลายออกจากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำลายทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ของผู้อื่น และทำลายพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ซึ่งเป็นโทษที่ยิ่งกว่าโทษใดๆ

แต่เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ความเป็นคนพาล พฤติกรรมของคนพาล เครื่องหมายที่บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนพาล ก็คือ เมื่อคิด ก็คิดไม่ดี เมื่อพูด ก็พูดไม่ดี เมื่อทำ ก็ทำไม่ดี ด้วยอำนาจของอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นครอบงำจิตใจในขณะนั้น

จะเห็นได้จริงๆ ว่าเรื่องของ อกุศลธรรมทั้งหลายเป็นเรื่องของคนพาล ไม่ใช่เป็นของบัณฑิต อกุศลธรรมเหล่านั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป แต่ไม่สูญหายไปไหนจะสะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป ซึ่งสามารถจะเป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำทุจริตกรรมประการต่างๆ ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ เป็นไปเพื่อความเดือดร้อนแก่ชนหมู่มากได้ เพราะฉะนั้นแต่ละบุคคลสามารถเข้าใจธรรมได้ เพราะการทรงแสดงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่ออนุเคราะห์ผู้ไม่รู้ เช่น ขณะโกรธ ขณะนั้นมีความไม่รู้อย่างแน่นอน ไม่เห็นโทษของความโกรธแน่ๆ จึงโกรธ ถึงแม้โกรธแล้ว ขณะนั้นก็ไม่รู้อีกว่าจะไปเกิด ณ ที่ไหน จากความโกรธนั้น ถ้าเป็นความโกรธที่มีกำลังจนถึงประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่น เพราะอกุศลธรรมทั้งหลายให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นผู้รู้เหตุรู้ผลจริงๆ ย่อมคำนึงถึงผลของสิ่งที่เกิดจากความประพฤติเป็นไปในโลกนี้ ถ้าความประพฤติเป็นไปในโลกนี้เป็นอกุศลมากๆ โลกหน้าเป็นอย่างไร ก็รู้ได้เลย โดยอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น พาลกับบัณฑิตก็ต่างกันที่ว่า คนพาลไม่ได้คิดถึงอกุศลที่เกิดขึ้นว่าจะเป็นเหตุไปสู่ภพภูมิไหน แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็สามารถมีปัญญาเป็นบัณฑิตเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ยังจะต้องติดตามไปอีก นี้คือประโยชน์จากการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง บุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากพระธรรม ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอย่างนี้เพราะพระธรรมไม่ได้สาธารณะกับทุกคน เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต คือ ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งเป็นการฟังการศึกษาในสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป เพราะทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเท่านั้น

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 18 ก.ย. 2568

โอกาสที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต คือ ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งเป็นการฟังการศึกษาในสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป เพราะทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเท่านั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ