การออกจากกิเลสด้วยมรรคโดยเพียงการเห็นลักษณะเดียวนั้นย่อมไม่มี [ธรรมสังคณี]
โดย nowbeyond  14 เม.ย. 2551
หัวข้อหมายเลข 8230

[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 620

ก็พระโยคาวจรอาศัยธรรมใดธรรมหนึ่ง ในบรรดาลักษณะมีความไม่เที่ยงเป็นต้น ก็สมควรเห็นลักษณะทั้ง ๒ นอกนี้อีกทีเดียว ธรรมดาการออกจากกิเลสด้วยมรรคโดยเพียงการเห็นลักษณะเดียวนั้นย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น ภิกษุตั้งมั่นแล้วโดยความไม่เที่ยง ย่อมออกไปแม้จาก (กิเลส) โดยความเป็นของไม่เที่ยง แม้โดยความเป็นทุกข์อย่างเดียวหามิได้ ย่อมออกไปจาก (กิเลส) โดยความเป็นอนัตตาด้วยนั่นแหละ แม้ในความตั้งมั่นอยู่โดยความเป็นทุกข์ ก็นัยนี้แหละ. ด้วยประการฉะนี้

การยึดถือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอารมณ์ตั้งแต่ต้นจงยกไว้ ก็วิปัสสนาที่เป็นวุฏฐานคามินีพิจารณาธรรมใดๆ ย่อมออกไปดำรงอยู่ในฐานที่ควรบรรลุด้วยสามารถแห่งธรรมนั้นๆ แล้วให้ชื่อมรรคของตน. ในบรรดาลักษณะเหล่านั้น เมื่อพระโยคาวจรออกจากอนิจจลักษณะมรรคก็เป็นอนิมิตตะ เมื่อออกจากทุกขลักษณะ มรรคก็เป็นอัปปณิหิตะ เมื่อออกจากอนัตตลักษณะ มรรคก็เป็นสุญญตะ ดังนี้ ทรงนำนิมิตตมรรคมาแสดงโดยปริยายแห่งพระสูตรด้วยประการฉะนี้.



ความคิดเห็น 1    โดย suwit02  วันที่ 16 เม.ย. 2551
สาธุ

ความคิดเห็น 2    โดย opanayigo  วันที่ 12 ก.ค. 2551

อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ หมายถึงอะไรค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย study  วันที่ 13 ก.ค. 2551

อนิมิตตะและอัปปณิหิตะ เป็นชื่อของพระนิพพาน อนิมิตตะ หมายถึงไม่มีนิมิต คือไม่มีสังขาร อัปปณิหิตะ หมายถึง ไม่มีที่ตั้งคือสังขารทั้งปวง


ความคิดเห็น 4    โดย pichet  วันที่ 3 ก.ค. 2558

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย orawan.c  วันที่ 10 มิ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 4 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ