
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 1 - หน้าที่ 245
ก็ตัณหานั้นแหละ ชื่อว่าเป็นสมุทร (ทะเล) เพราะอรรถว่า ไม่รู้จักเต็ม.
ตัณหานั้น ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปในอายตนะ ๑๒ ทั้งภายในและภายนอก เพราะเหตุนั้น ตัณหานั้นจึงชื่อว่าหมุนไปได้ ๑๒ ด้าน.
ก็ตัณหานั้น ท่านเรียกว่า บาดาล เพราะอรรถว่า ไม่ตั้งมั่น.
ฤาษีข้ามแล้ว ข้ามขึ้นแล้ว ย่อมก้าวล่วงซึ่งบาดาล (ตัณหา) นั้นซึ่งมีรากเดียว ฯลฯ
จบอรรถกถาเอกมูลสูตรที่ ๔
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 1 - หน้า 145
๙. จตุจักกสูตร
[๗๔] เทวดากล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก สรีระมีจักร ๔ มีทวาร ๙ เต็มด้วยของไม่สะอาด ประกอบด้วยโลภะ ย่อมเป็นดังว่าเปือกตม ความออกไป (จากทุกข์) จักมีได้อย่างไร.
[๗๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ตัดความผูกโกรธด้วย กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดด้วย ความปรารถนาและความโลภอันลามกด้วย ถอนตัณหาอันมีอวิชชาเป็นมูลเสียแล้วอย่างนี้ ความออกไป (จากทุกข์) จึงจักมีได้.
อ.อรรณพ: กราบเท้าท่านอาจารย์อย่างยิ่งที่ท่านอาจารย์ ประกาศความจริงของสิ่งที่มีจริง คืออริยสัจจ์ อยู่ตลอด ซึ่งเมื่อครู่ท่านอาจารย์ก็ประกาศ อริยสัจจ์ที่ ๒ ซึ่งก็มาแนบเนียนอยู่ตลอด แล้วก็เป็นคำที่เตือนให้เห็นถึงว่า ถ้าไม่รู้จักโลภะก็ถูกโลภะพาไป ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ว่า รีบไปไม่รู้ ไม่รู้อีกๆ ๆ เห็นเลยว่าโลภะนี่ก็รีบไปไม่รู้
แต่เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงหนทางที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งว่า ขณะที่กำลังเป็นไปในความลึกซึ้งของธรรมะที่ค่อยๆ เป็นไปในการที่จะไตร่ตรองในความลึกซึ้งของธรรมะ นี่แหละ!! คือหนทาง
กราบท่านอาจารย์ครับต้องอาศัยท่านอาจารย์เกื้อกูลเพิ่มเติมว่า โลภะก็มีความเป็นปรกติเป็นความเป็นไปของโลภะที่อยากรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างเช่น เราอาจจะตอนแรกอาจจะสนใจคำว่า ฐานะ กับอฐานะอันลึกซึ้ง เหมือนเราอยากจะให้ท่านอาจารย์ได้กล่าวฐานะกับอฐานะอันลึกซึ้งนั้นคืออะไร แต่ถึงแม้ท่านอาจารย์ยังไม่ได้ไปกล่าวเช่นนั้น ก็เป็นการกล่าวโดยนัยยะ แต่โลภะพอฟังเรื่องฐานะกับอฐานะก็อยากที่จะรู้ออกมาเป็นเรื่องๆ ๆ ๆ แม้กระทั่งฟังเรื่องใด แทนที่จะอาศัยคำนั้น ที่ท่านอาจารย์กล่าวตั้งแต่ตันไพเราะที่สุดเลยว่า คำที่ทำให้ความไม่จริงจางลง แทนที่อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่อาศัยที่จะบ่มปัญญาซึ่งเป็นหนทางที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ แต่โลภะก็มาพาไป พาให้รีบให้ร้อนไแอยู่เรื่อยๆ เช่นนี้ครับ แล้วการที่จะรู้เล่ห์เหลี่ยมของโลภะนี่ก็ยากจริงๆ ก็ตกเป็นทาสของโลภะอยู่เสมอๆ เช่นนี้ครับก็เลยเห็นความลุ่มลึกของโลภะครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: จนกว่าจะรู้ว่า นี่.. อริยสัจจธรรมที่ ๒
อ.อรรณพ: นี่ครับท่านอาจารย์ตัวจริงๆ เลย ผมฟังแล้วด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดง ตัณหา เป็นอริยสัจจ์ที่ ๒ เจตสิกเดียวแท้ๆ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ทำไมเจตสิกเดียวแท้ๆ เป็นอริยสัจจ์หนึ่งเลย ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะไม่รู้ จึงติดข้องต้องการสิ่งที่หมดแล้ว
อ.อรรณพ: ติดข้องต้องการสิ่งที่หมดแล้วด้วยความไม่รู้
ท่านอาจารย์: แค่นี้ ลึกซึ้งไหม?
อ.อรรณพ: ลึกซึ้งจนต้องหยุดไตร่ตรองครับ
ท่านอาจารย์: ทบทวนอีกก็ได้ ต้องการ
อ.อรรณพ: โลภะ ความต้องการตลอด แล้วท่านอาจารย์กล่าวว่า เพราะไม่รู้จึงมีความติดข้องในสิ่งที่ไม่มี
ท่านอาจารย์:
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 1 - หน้าที่ 245
ก็ตัณหานั้นแหละ ชื่อว่าเป็นสมุทร (ทะเล) เพราะอรรถว่า ไม่รู้จักเต็ม.
ตัณหานั้น ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปในอายตนะ ๑๒ ทั้งภายในและภายนอก เพราะเหตุนั้น ตัณหานั้นจึงชื่อว่าหมุนไปได้ ๑๒ ด้าน.
ก็ตัณหานั้น ท่านเรียกว่า บาดาล เพราะอรรถว่า ไม่ตั้งมั่น.
ฤาษีข้ามแล้ว ข้ามขึ้นแล้ว ย่อมก้าวล่วงซึ่งบาดาล (ตัณหา) นั้นซึ่งมีรากเดียว ฯลฯ
จบอรรถกถาเอกมูลสูตรที่ ๔
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 1 - หน้า 145
๙. จตุจักกสูตร
[๗๔] เทวดากล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก สรีระมีจักร ๔ มีทวาร ๙ เต็มด้วยของไม่สะอาด ประกอบด้วยโลภะ ย่อมเป็นดังว่าเปือกตม ความออกไป (จากทุกข์) จักมีได้อย่างไร.
[๗๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ตัดความผูกโกรธด้วย กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดด้วย ความปรารถนาและความโลภอันลามกด้วย ถอนตัณหาอันมีอวิชชาเป็นมูลเสียแล้วอย่างนี้ ความออกไป (จากทุกข์) จึงจักมีได้.
อ.อรรณพ: กราบเท้าท่านอาจารย์อย่างยิ่งที่ท่านอาจารย์ ประกาศความจริงของสิ่งที่มีจริง คืออริยสัจจ์ อยู่ตลอด ซึ่งเมื่อครู่ท่านอาจารย์ก็ประกาศ อริยสัจจ์ที่ ๒ ซึ่งก็มาแนบเนียนอยู่ตลอด แล้วก็เป็นคำที่เตือนให้เห็นถึงว่า ถ้าไม่รู้จักโลภะก็ถูกโลภะพาไป ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ว่า รีบไปไม่รู้ ไม่รู้อีกๆ ๆ เห็นเลยว่าโลภะนี่ก็รีบไปไม่รู้
แต่เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงหนทางที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งว่า ขณะที่กำลังเป็นไปในความลึกซึ้งของธรรมะที่ค่อยๆ เป็นไปในการที่จะไตร่ตรองในความลึกซึ้งของธรรมะ นี่แหละ!! คือหนทาง
กราบท่านอาจารย์ครับต้องอาศัยท่านอาจารย์เกื้อกูลเพิ่มเติมว่า โลภะก็มีความเป็นปรกติเป็นความเป็นไปของโลภะที่อยากรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างเช่น เราอาจจะตอนแรกอาจจะสนใจคำว่า ฐานะ กับอฐานะอันลึกซึ้ง เหมือนเราอยากจะให้ท่านอาจารย์ได้กล่าวฐานะกับอฐานะอันลึกซึ้งนั้นคืออะไร แต่ถึงแม้ท่านอาจารย์ยังไม่ได้ไปกล่าวเช่นนั้น ก็เป็นการกล่าวโดยนัยยะ แต่โลภะพอฟังเรื่องฐานะกับอฐานะก็อยากที่จะรู้ออกมาเป็นเรื่องๆ ๆ ๆ แม้กระทั่งฟังเรื่องใด แทนที่จะอาศัยคำนั้น ที่ท่านอาจารย์กล่าวตั้งแต่ตันไพเราะที่สุดเลยว่า คำที่ทำให้ความไม่จริงจางลง แทนที่อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่อาศัยที่จะบ่มปัญญาซึ่งเป็นหนทางที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ แต่โลภะก็มาพาไป พาให้รีบให้ร้อนไแอยู่เรื่อยๆ เช่นนี้ครับ แล้วการที่จะรู้เล่ห์เหลี่ยมของโลภะนี่ก็ยากจริงๆ ก็ตกเป็นทาสของโลภะอยู่เสมอๆ เช่นนี้ครับก็เลยเห็นความลุ่มลึกของโลภะครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: จนกว่าจะรู้ว่า นี่.. อริยสัจจธรรมที่ ๒
อ.อรรณพ: นี่ครับท่านอาจารย์ตัวจริงๆ เลย ผมฟังแล้วด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดง ตัณหา เป็นอริยสัจจ์ที่ ๒ เจตสิกเดียวแท้ๆ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ทำไมเจตสิกเดียวแท้ๆ เป็นอริยสัจจ์หนึ่งเลย ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะไม่รู้ จึงติดข้องต้องการสิ่งที่หมดแล้ว
อ.อรรณพ: ติดข้องต้องการสิ่งที่หมดแล้วด้วยความไม่รู้
ท่านอาจารย์: แค่นี้ ลึกซึ้งไหม?
อ.อรรณพ: ลึกซึ้งจนต้องหยุดไตร่ตรองครับ
ท่านอาจารย์: ทบทวนอีกก็ได้ ต้องการ
อ.อรรณพ: โลภะ ความต้องการตลอด แล้วท่านอาจารย์กล่าวว่า เพราะไม่รู้จึงมีความติดข้องในสิ่งที่ไม่มี แต่ว่า ท่านอาจารย์ครับก็คิดว่ามี
ท่านอาจารย์: เพราะไม่รู้ว่า หมดแล้ว หมดแล้วต้องตรง ก็หมดแล้วจะมีหรือ? เมื่อติดข้องก็เพราะคิดว่า มี ยังอยู่
อ.อรรณพ: เมื่อวานก่อนหลังจากที่สนทนาเสร็จแล้ว ก็มีผู้ที่เขามาจากต่างประเทศมีภรรยามากับสามีกับลูก ผมก็ไม่ได้ฟังตลอด แต่ผมเห็นเลยว่า ไม่มี แต่คิดว่ามีด้วยความไม่รู้ ๑ ด้วยความติดข้อง ๑ และโดยเฉพาะด้วยความเห็นผิด
ท่านอาจารย์ถามว่า เห็นมีจริงๆ ไหม? เขาว่าเห็นขวด ท่านอาจารย์บอกว่าไม่ได้ถามอย่างนั้นไม่ได้ถามว่าเห็นอะไร ถามว่าเห็นมีไหม? เพราะฉะนั้น แค่นี้ก็ยากแล้วครับท่านอาจารย์ที่จะเข้าใจว่าถามอะไร ถามว่าเห็นมีจริงไหม ก็บอกว่าเห็นขวด ทีนี้ก็ไปเรื่องขวดแล้ว แล้วท่านอาจารย์ก็บอกว่าถ้าไม่เอาขวดไว้ตรงนี้ เอาขวดไปไว้ที่อื่น มีไหมขวด? เขาก็บอกว่ามีอยู่ที่อื่น ความยึดว่ามีมันมากมายจริงๆ ครับ ถูกปิดบางล็อกสนิทด้วยโมหะ ลงลิ่มสลักไว้เลย แล้วโลภะก็ยังติดข้องฉาบทาไว้อีก ทิฏฐิก็ยึดถือเอาไว้ จนไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้นของกิเลสเหล่านี้โดยเฉพาะความไม่รู้ความติดข้องแล้วก็ความเห็นผิด เป็นอาสวะ ไหลไปเลยจริงๆ ครับ
เพราะฉะนั้น ก็คิดว่า มีขวด มีคน มีโน่นมีนี่ ยังไรก็คิดว่ามี เป็นอะไรที่ทำลายยากมากเลย ความเห็นว่า มี ครับ ความลึกซึ้งตรงนี้สุดประมาณครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มตันด้วยการเป็นผู้ตรงเท่านั้น ถ้าไม่ตรงตั้งแต่ต้น ไม่มีทางจะรู้ความจริงได้
อ.อรรณพ: เช่น ตรง ว่าอะไร?
ท่านอาจารย์: ตรงว่า เห็นมีไหม?
อ.อรรณพ: เขาก็ไม่สนใจ เขาก็ว่าเห็นขวด
ท่านอาจารย์: ก็ไม่ตรง ก็ตอบไม่ได้ไม่มีทางตอบได้ ก็ไปยึดมั่นว่าเห็นขวด
อ.อรรณพ: ไปยึดมั่นว่า เห็นขวด ต่อให้เราพยายามจะเกื้อกูลเขาว่า ถ้าเอาขวดไปไว้ที่อื่น เขาก็บอกว่าไปไว้ที่อื่นแล้ว ต่อให้เอาขวดไปเผา เขาก็ว่าก็เป็นฝุ่นเป็นผง มันก็ตามไปอยู่อย่างนี้ครับ ยิ่งไม่เห็นฤทธฺ์เดชของการยึดถือมากเลยครับ ผมเองก็ปัญญาก็ไม่พอที่จะไปเกื้อกูลเขา
เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์กล่าวเป็นสิ่งสำคัญว่า ตรงตั้งแต่ต้น ตรงว่าถามอะไร กราบเท้าท่านอาจารย์ครับว่า ทำไมตรงตั้งแต่ต้นถึงไม่ง่ายเลยที่จะตรงตั้งแต่ต้น อะไรที่ทำให้ไม่ตรงตั้งแต่ต้นครับ
ท่านอาจารย์: ก็เพราะไม่ตรงมานานแสนนาน
อ.อรรณพ: เพราะไม่ตรงมานานแสนนาน ถามต่อครับ แล้วทำไมไม่ตรงมานานแสนนานครับ
ท่านอาจารย์: ก็ไม่รู้ความจริง
อ.อรรณพ: เพราะไม่รู้ความจริงมานานแสนนาน จึงไม่ตรงมานานแสนนาน แล้วเมื่อไม่ตรงมานานแสนนานแม้พบบัณฑิต แม้จะได้ยินได้ฟังอยู่ก็ไม่เป็นอันที่จะหยั่งลงในฐานะ และอฐานะอันลึกซึ้งได้ครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ตัณหาย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปในอายตนะ 12 [อรรถกถาเอกมูลสูตร]
ขอเชิญฟังได้ที่..
ตรึกออกจากความติดข้อง
ไม่เห็นความติดข้อง ก็ละโลภะไม่ได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลค่ะ