กำลังมีสติก็เป็นแต่เพียงนามธรรม
โดย chatchai.k  3 ต.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 48604

การเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพียงความเข้าใจผิดเล็กน้อยที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ ก็ทำให้ไม่สามารถละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคลได้ เพราะว่ายังมีความยึดถือในนามธรรมรูปธรรมแทรกคั่นอยู่ เป็นความต้องการไม่ให้สติไปที่อื่น นั่นเป็นลักษณะของตัวตนหรือเปล่า หรือว่าเป็นความรู้ชัดในสภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม หลงลืมสติก็เป็นแต่เพียงนามธรรม หรือกำลังมีสติก็เป็นแต่เพียงนามธรรม


รับฟัง ...

เพิ่งเริ่มสนใจเจริญสติปัฏฐาน

ท่านผู้ฟังท่านหนึ่งกล่าวว่า ปกติท่านเคยเจริญสมาธิ และเพิ่งเริ่มสนใจในการเจริญสติปัฏฐาน ตอนแรกๆ ท่านฟังแล้วก็ไม่เข้าใจว่า ลักษณะของสติเป็นอย่างไร ขณะใดมีสติ ขณะใดหลงลืมสติ แต่หลังจากที่ท่านได้ฟัง ได้พิจารณาไตร่ตรอง ท่านก็ทราบว่า ขณะที่มีสตินั้น คือ ขณะที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จะเป็นลักษณะของเสียง ของกลิ่น ของอ่อน ของแข็ง ของเย็น ของร้อน ของเห็น ของคิดนึก ของสุข ของทุกข์ ของพอใจ ไม่พอใจ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะต่างๆ กัน เป็นสภาพธรรมแต่ละชนิด แต่เพราะเหตุว่าท่านเคยเจริญสมาธิมาก่อนมาก และนานแล้วด้วย เพราะฉะนั้น ท่านก็มีนโยบายที่จะให้สติเกิดมากๆ ไม่ให้หลงลืมสติไป โดยท่านท่องพุทโธด้วยในขณะที่จะให้รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ เวลาที่สติหลงลืมไป ท่านก็รู้สึกว่า การที่เคยอบรมเจริญอานาปานสติสมาธิแล้วก็ระลึกถึงพุทโธ ทำให้จิตไม่ไปที่อื่น เพราะฉะนั้น ท่านก็ระลึกถึงพุทโธเพื่อไม่ให้สติขาดไป อย่างนี้จะถูกหรือจะผิด

มีความต้องการอะไรบ้างหรือเปล่าในขณะนั้น มีความเป็นตัวตนแทรกอยู่หรือเปล่าในขณะที่ต้องการให้สติรู้อยู่ที่สภาพนามธรรมหรือรูปธรรม ให้จิตระลึกถึงคำว่า พุทโธ เพื่อที่จะไม่ให้สติไปที่อื่น เพราะฉะนั้น มีพุทโธสลับคั่นระหว่างที่สติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม อย่างนี้จะผิดหรือจะถูก

ขณะที่กำลังต้องการให้สติไม่ไปที่อื่น ขณะนั้นเป็นอะไร ตัวตน หรือไม่ใช่ตัวตน มีความต้องการที่จะไม่ให้สติไปที่อื่น ไม่ใช่ว่า ขณะใดที่สติเกิดขึ้นก็รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และเวลาที่หลงลืมไป ภายหลังสติก็รู้ว่าเป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่มีเยื่อใย หลงลืมไปก็หลงลืมไป เวลาที่สติเกิดขึ้นใหม่ก็รู้นามรู้รูปที่ปรากฏต่อไป เป็นสติขณะนั้นที่กำลังรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ไม่มีตัวตนที่ไปจัดการคอยดึงไว้ คอยประคองไว้ หรือคอยให้ระลึกถึงพุทโธ

เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพียงความเข้าใจผิดเล็กน้อยที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ ก็ทำให้ไม่สามารถละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคลได้ เพราะว่ายังมีความยึดถือในนามธรรมรูปธรรมแทรกคั่นอยู่ เป็นความต้องการไม่ให้สติไปที่อื่น นั่นเป็นลักษณะของตัวตนหรือเปล่า หรือว่าเป็นความรู้ชัดในสภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม หลงลืมสติก็เป็นแต่เพียงนามธรรม หรือกำลังมีสติก็เป็นแต่เพียงนามธรรม

นี่เป็นเรื่องละเอียด ถ้าท่านผู้ฟังไม่สังเกต ไม่สำเหนียก ไม่พิจารณาความต่างกัน ท่านก็จะไม่ทราบว่า ในขณะนั้นเป็นไปด้วยความต้องการ เป็นไปด้วยความเห็นผิด

ท่านผู้ใดเคยอบรมสมาธิจนกระทั่งมีความชำนาญแคล่วคล่อง แต่ไม่ได้ต้องการที่จะให้จิตเป็นสมาธิ เวลาที่จิตน้อมไปสู่สมาธิ สติก็ตามระลึกรู้ว่า ขณะนั้นเป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง แล้วก็ทิ้ง แล้วก็ละ ไม่ห่วงใย ไม่เยื่อใย ไม่กังวล มีนามอื่น มีรูปอื่นที่เกิดปรากฏที่สติระลึกต่อไป ไม่ใช่เป็นความจดจ้องต้องการ หรือมีเยื่อใยที่จะให้จิตเป็นสมาธิไม่ไปที่อื่น เพื่อที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม นี่ผิดกันแล้วใช่ไหมระหว่างผู้ที่มีปกติเจริญสติที่เคยอบรมสมาธิ และจิตมักจะน้อมไปสู่สมาธิ แต่กระนั้นสติก็ยังระลึกได้ว่า ลักษณะของจิตที่สงบนั้นก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง แล้วก็หมดไป ไม่เยื่อใย และพิจารณานามอื่นรูปอื่นต่อไป ซึ่งลักษณะของจิตใจผิดกันกับผู้ที่ต้องการผูกสติไว้ด้วยสมาธิ

เพราะฉะนั้น การที่จะละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้หมดสิ้นจริงๆ จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดและแยบคาย ซึ่งผู้ที่เจริญ สติปัฏฐานจะต้องสังเกต สำเหนียกอยู่เสมอว่า ขณะนั้นมีความรู้สึกว่าเป็นตัวตน มีความต้องการ มีความจดจ้อง ซึ่งแสดงลักษณะว่ายังไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ยังรู้สภาพธรรมยังไม่ทั่ว เมื่อรู้ยังไม่ทั่วและยังไม่ใช่ความรู้จริง จึงตัดเยื่อใยไม่ขาดที่ต้องการที่จะผูกสติไว้ [ตอนที่ 231]