ข้าวยากหมากแพง
โดย pirmsombat  11 เม.ย. 2551
หัวข้อหมายเลข 8137

ข้าวยากหมากแพง

ชาวโลกกำลังจะประสบกับการขาดแคลนอาหารกันถ้วนหน้า เพราะภาวะโลกร้อนที่กำลังเพี่มความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ผลิตผลการเกษตรทุกอย่างทั่วโลกลดลงมากอย่างรวดเร็ว เชื้อโรคต่างๆ มากมายหลายพันธุ์ แพร่กระจายได้มากอย่างรวดเร็วยากต่อการควบคุมดูแลและการรักษาโรคต่างๆ ดินฟ้าอากาศวิปริตปรวนแปร ทำลายความเป็นอยู่ที่เป็นปกติสุขของสัตว์โลกทั้งหลาย ภัยธรรมชาติมากมายรุนแรงเกิดทั่วไป ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโลกสูงขี้นมากรวดเร็วอย่างไม่มีวันหยุดยั้งและไม่มีท่าทีว่าจะลดลง ข้าวที่มากกว่าครึ่งของพลโลกใช้บริโภคเกิดขาดแคลน ไม่เพียงพอกับความต้องการ ผลิตผลของข้าวโพด และถั่วเหลือง ลดลง ทำให้ราคาของอาหารสัตว์เพี่มขึ้น ทำให้อาหารจำพวกเนื้อสัตว์มีราคาสูงขึ้น จนคนยากจนบางประเทศ ไม่สามารถซื้อได้และปุ๋ยชึ่งใช้ถั่วเหลืองในการผลิต ก็มีราคาแพงขึ้นมากอย่างรวดเร็วด้วยเพราะขาดแคลนถั่วเหลือง ราคาข้าวสาลีโลกสูงขึ้นกว่า๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะผลิตผลลดลง ประชากรโลกเพี่มขึ้น คนยากจนก็เพี่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นความยากจนแร้นแค้นกำลังจะมาเยือนพวกเราทั้งหลาย

หลายประเทศเข้าสู่ภาวะ ข้าวยากหมากแพงบางประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะ ข้าวยากหมากแพง ผู้ด้อยโอกาสจะได้รับผลกระทบก่อนเพื่อน ตัวอย่างเช่น ผม เป็นต้น ความลำบากยากจนอาจจะเกิดกับผม ถ้ายากจนสิ้นทรัพย์เพราะล่วงสู่วัยชรา เป็นผู้ไร้ความสามารถจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร

แต่ธรรมที่ได้ศึกษาอบรมมา โดยการศึกษากับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มานานหลายสิบปี ทำให้รู้ว่าทุกอย่าง ทุกขณะเป็นผลของกรรม ทุกขณะที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลี่น รู้สี่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรมทั้งสิ้น จะเห็นได้จริงๆ ว่าทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจ บังคับบัญชาต้องเข้าใจว่าทุกขณะที่เห็น ได้ยิน รู้สี่งที่กระทบสัมผัส เป็นวิบากทั้งหมด แต่สี่งที่ควรสะสมต่อไป ควรจะเป็นปัญญา

การที่มีลาภ ยศ สุข สรรเสริญ หรือ มีรูป มีเสียง......โผฏฐัพพะที่น่าพอใจเป็นที่ยินดี ทำให้เกิดการแสวงหาไม่มีวันพอ ไม่เหมือนกับการที่ปัญญาเกิด และเห็นโทษของความยินดีในรูป เสียง....สัมผัส แล้วมีความยินดีในพระธรรม ในการที่จะอบรมเจริญปัญญา ดังข้อความในพระไตรปิฏก มหากัจจายนเกรคาถา ว่า

ชื่อว่า "ผู้มีปัญญา ถึงจะสิ้นทรัพย์ก็ยังเป็นอยู่ได้ คือถึงทรัพย์จะหมดสิ้นไป แต่ก็ยังมีปัญญา สันโดษ ยินดีด้วยปัจจัยตามมี ตามได้ เลี้ยงชีวิตด้วยการงานที่ปราศจากโทษอย่างเดียวนี้ชื่อว่า ชีวิตของบุคคล ผู้มีปัญญา"

ถ้าไม่มีปัญญา ถึงจะมีทรัพย์มากเท่าไรก็ไม่พอแต่สำหรับผู้ที่มีปัญญา ถึงจะสิ้นทรัพย์ก็ยังเป็นอยู่ได้ คือเป็นผู้ที่สันโดษ ตามมีตามได้ หรือยินดีด้วยสี่งที่ได้และที่มีอยู่และไม่ทำอกุศลกรรม ศึกษาและปฎิบัติธรรมตามกำลังความสามารถและปัญญาของตน



ความคิดเห็น 2    โดย wannee.s  วันที่ 11 เม.ย. 2551

ปัญญาตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย pornpaon  วันที่ 11 เม.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

ยินดีที่ได้เห็นคุณหมอกลับมาโพสต์กระทู้ดีๆ อีกครั้ง


ความคิดเห็น 4    โดย แล้วเจอกัน  วันที่ 11 เม.ย. 2551

เมื่อเข้าใจความจริงของสภาพธรรมมากขึ้น แม้ขั้นการฟัง ก็เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นและเกิดกุศลจิตมากขึ้น พร้อมๆ กับความเข้าใจความจริงของสภาพธรรม กาย วาจาก็จะเป็นไปในทางที่ไม่ดีน้อยลง เพราะเข้าใจว่าเป็นผลของกรรมมากขึ้น กาย วาจาก็เป็นไปในทางกุศลมากขึ้น มีเมตตากัน เห็นใจและเข้าใจ เพราะทุกอย่างก็เป็นธรรมไม่ว่าเหตุการณ์ใดในโลกเกิดขึ้นก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง

ขออนุโมทนาด้วยครับ


ความคิดเห็น 5    โดย มาณพน้อย  วันที่ 11 เม.ย. 2551


ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอด้วยนะครับ

"ถ้าหากอบรมธรรมฝ่ายดีเพิ่มขึ้น เราก็สามารถลดคลายทางฝ่ายอกุศลลงได้"


ความคิดเห็น 6    โดย pornchai.s  วันที่ 11 เม.ย. 2551

จิตซึ่งรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นวิบากจิตเป็นผลของกรรม

จิตซึ่งรู้สิ่งที่ปรากฏทางหู....เป็นผลของกรรม

จิตซึ่งรู้สิ่งที่ปรากฏทางจมูก...เป็นผลของกรรม

จิตซึ่งรู้สิ่งที่ปรากฏทางลิ้น...เป็นผลของกรรม

จิตซึ่งรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย (เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว) ก็เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมเหมือนทางตา....ทางลิ้น

กุศลวิบากจิต (รู้สิ่งที่น่าพอใจ) เป็นผลมาจากกุศลกรรม

อกุศลวิบากจิต (รู้สิ่งที่ไม่น่าพอใจ) เป็นผลมาจากอกุศลกรรม

บัณฑิตผู้มีปัญญา และมั่นคงในธรรม แม้จะได้รับทุกเวทนาทางกายมากมายเท่าไร ก็ไม่ล่วงศีล มิต้องกล่าวถึง ทางตา หู จมูก ลิ้น

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ คุณหมอเพิ่มสมบัติ และเพื่อนสมาชิกทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 7    โดย narong.p  วันที่ 12 เม.ย. 2551

ขออนุโมทนาครับ

สภาพธรรมที่ ได้เห็น ได้ยิน กระทบสัมผัส นั้นเป็นผลของกรรมก็จริงถูกต้องครับ แต่ต้องไม่ลืมจริงๆ ว่า ไม่ใช่เรา ที่รับผลของกรรมนั้น เพราะเป็นเพียงสภาพนามธรรมที่เป็นชาติวิบากเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

ภาวะข้าวยากหมากแพง เป็นเพียงเรื่องราวที่เป็นเพียงความคิดนึก เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มีจริง มีเมื่อคิด สิ่งที่มีจริงก็เพียงเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ จึงต้องอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อละคลายความมีตัวตนครับ


ความคิดเห็น 8    โดย pirmsombat  วันที่ 12 เม.ย. 2551

ขอบคุณ และขออนุโมทนา ทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 9    โดย ajarnkruo  วันที่ 12 เม.ย. 2551

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอครับ...


ความคิดเห็น 10    โดย suwit02  วันที่ 12 เม.ย. 2551
สาธุ

ความคิดเห็น 11    โดย shumporn.t  วันที่ 14 เม.ย. 2551

ผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เป็นผู้ที่สันโดษ และ ไม่ทำอกุศลกรรม

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย dron  วันที่ 14 เม.ย. 2551

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 15 เม.ย. 2551

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย kanchana.c  วันที่ 27 เม.ย. 2551

อาจารย์เพิ่มสมบัติให้เรียนคุณหมอสงบว่า เขียนดีมาก ขออนุโมทนา อันที่จริง คุณหมอสงบน่าจะดีใจที่เมืองไทยจะได้เป็นมหาอำนาจทางการเกษตรโดยไม่คาดฝัน ถ้าเรากินข้าวกันน้อยลง และส่งขายมากๆ แต่ก็เห็นความเป็นไตรลักษณ์ ที่ประเทศเกษตรกรรมที่เคยเป็นลูกไล่ประเทศอุตสาหกรรมว่าด้อยพัฒนา จะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจแทนประเทศอุตสาหกรรม ในยุคที่คุณหมอสงบเปลี่ยนชื่อกับอาจารย์เพิ่มสมบัตินี่เอง นี่แสดงถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จริงๆ พวกเราจึงควรตั้งอยู่ในอัปปมาทธรรม ความไม่ประมาทนะครับ

อาจารย์เพิ่มสมบัติ


ความคิดเห็น 15    โดย น้าฝน  วันที่ 27 เม.ย. 2551

"ผู้มีปัญญา ถึงจะสิ้นทรัพย์ก็ยังเป็นอยู่ได้ คือถึงทรัพย์จะหมดสิ้นไป แต่ก็ยังมีปัญญา สันโดษ ยินดีด้วยปัจจัยตามมี ตามได้ เลี้ยงชีวิตด้วยการงานที่ปราศจากโทษอยู่นี้ชื่อว่า ชีวิตของบุคคล ผู้มีปัญญา"

กราบอนุโมทนานะคะ


ความคิดเห็น 16    โดย namarupa  วันที่ 27 เม.ย. 2551

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอค่ะ...


ความคิดเห็น 17    โดย เจริญในธรรม  วันที่ 28 เม.ย. 2551
ขออนุโมทนา

ความคิดเห็น 18    โดย pirmsombat  วันที่ 28 เม.ย. 2551

ตอบความคิดเห็นที่ 14

ท่านอาจารย์เพี่มสมบัติ ที่รักและนับถือ

ผมขอบคุณ อาจารย์เพี่มสมบัติ มากในทุกๆ สี่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์ทั้งสอง เมื่อไรเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันอีก คงมีวันนั้นนะครับขอแอดเดรสของอาจารย์เพี่มสมบัติ ด้วยนะครับหมอสงบ