การเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นสติที่ระลึกลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นของจริง จะปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เดี๋ยวนี้สีที่กำลังปรากฏเป็นของจริงในขณะที่กำลังเห็น เสียงเป็นของจริงที่กำลังปรากฏในขณะที่ได้ยิน ถ้ากลิ่นปรากฏ กลิ่นที่กำลังปรากฏเป็นของจริงที่กำลังปรากฏ รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ที่กำลังคิดนึก สภาพที่คิดนึกก็เป็นของจริงที่กำลังคิด กำลังนึก กำลังสุข กำลังทุกข์ในขณะนั้น เป็นอารมณ์ปัจจุบัน กำลังปรากฏให้รู้ได้
รับฟัง ...
อารมณ์ปัจจุบัน
โลภมูลจิตนั้นเป็นอารมณ์ปัจจุบันหรือไม่ เพราะการเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นสติที่ระลึกลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏที่เป็นของจริง จะปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ สีที่กำลังปรากฏเป็นของจริงในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เสียงเป็นของจริงที่กำลังปรากฏในขณะที่ได้ยินเดี๋ยวนี้ ถ้ากลิ่นปรากฏ กลิ่นที่กำลังปรากฏเป็นของจริงที่กำลังปรากฏ รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ที่กำลังคิดนึก สภาพที่คิดนึกก็เป็นของจริงที่กำลังคิด กำลังนึก กำลังสุข กำลังทุกข์ในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานก็ทราบว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้น สติระลึกตรงลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ลักษณะของกลิ่นที่ปรากฏเป็นสภาพธรรมที่เป็นของจริงชนิดหนึ่งที่จะปรากฏเฉพาะทางจมูก ผู้ที่เจริญสติระลึกตรงลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงสภาพของกลิ่นที่กำลังปรากฏ หรือว่าเป็นสภาพของนามธรรมที่กำลังรู้กลิ่นในขณะนั้น สภาพที่รู้กลิ่นจะมีได้ก็เพราะมีกลิ่นเป็นปัจจัย สภาพที่รู้กลิ่นจึงเกิดขึ้นรู้กลิ่นในขณะนั้นได้
นี่ก็เป็นนามธรรมรูปธรรมแต่ละทาง นามธรรมใดที่กำลังปรากฏ รูปธรรมใดที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็ตาม เป็นอารมณ์ปัจจุบัน เป็นสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่ากำลังปรากฏเป็นปัจจุบัน สติจึงสามารถระลึกรู้ลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ซึ่งเป็นลักษณะของนามธรรมนั้นๆ รูปธรรมนั้นๆ ในขณะนั้นได้
เพราะฉะนั้น จะสงสัยไหมว่าโลภมูลจิตเป็นอารมณ์ปัจจุบันหรือไม่ โลภมูลจิตเกิดดับสืบต่อกันปรากฏให้รู้ได้ สติสามารถระลึกรู้ลักษณะของโลภมูลจิต หรือว่าการเห็น ลักษณะของการเห็นเป็นนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเห็นเท่านั้น ไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘ สติเกิดร่วมกับจักขุวิญญาณที่เห็นไม่ได้ แต่สติสามารถจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมที่กำลังเห็นในขณะนี้ว่าเป็นนามธรรม
อารมณ์ปัจจุบัน หมายความถึงสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ได้
เพราะฉะนั้น การเห็นก็เป็นปัจจุบันอารมณ์ เป็นปัจจุบันธรรมสำหรับสติที่จะระลึกรู้
พระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์ มีข้อความเรื่องธรรมเป็นปัจจุบัน ข้อความในสังคณีปกรณ์มีว่า
ธรรมเป็นปัจจุบัน เป็นไฉน
ธรรมเหล่าใดซึ่งเกิดแล้ว เป็นแล้ว เกิดขึ้นพร้อมแล้ว บังเกิดแล้ว บังเกิด เฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นพร้อมแล้ว ตั้งขึ้นแล้ว ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว เกิดขึ้นเฉพาะแล้ว สงเคราะห์ด้วยส่วนที่เกิดขึ้นเฉพาะแล้ว คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นปัจจุบัน
ต้องเกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ไม่ใช่ยังไม่เกิด
ข้อ ๖๘๕ มีข้อความว่า
ธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต เป็นไฉน
ธรรม คือ จิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภอดีตธรรมเกิดขึ้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต
เคยคิดถึงเรื่องเก่าๆ เมื่อวานนี้ก็ได้ เดือนก่อนก็ได้ ปีก่อนก็ได้ คิดถึงสิ่งที่ล่วงเลยมาแล้วก็ชื่อว่า ขณะนั้นเป็นธรรมที่มีอารมณ์เป็นอดีต
ข้อความต่อไปมีว่า
ธรรมมีอารมณ์เป็นอนาคต เป็นไฉน
ธรรม คือ จิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภอนาคตธรรมเกิดขึ้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นอนาคต
ธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน เป็นไฉน
ธรรม คือ จิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภปัจจุบันธรรมเกิดขึ้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์ปัจจุบัน
ธรรมเป็นภายใน เป็นไฉน
ธรรมเหล่าใดเป็นภายใน เป็นเฉพาะตน เกิดแก่ตน เป็นของเฉพาะแต่ละบุคคล เป็นอุปาทินนะของสัตว์นั้นๆ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นภายใน
ธรรมเป็นภายนอก เป็นไฉน
ธรรมเหล่าใดเป็นภายนอก เป็นเฉพาะตน เกิดแก่ตน เป็นของเฉพาะแต่ละบุคคล เป็นอุปาทินนะของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นนั้นๆ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นภายนอก
ข้อ ๖๘๘ มีว่า
ธรรมที่เห็นได้ และกระทบได้ เป็นไฉน
รูปายตนะ (สิ่งที่ปรากฏทางตา) สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นได้ และกระทบได้
กระทบกับจักขุปสาทะ แล้วก็เห็น คือ ปรากฏทางตาได้
ข้อความต่อไปมีว่า
ธรรมที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ เป็นไฉน
จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้
จักขายตนะ คือ จักขุปสาท เห็นไม่ได้ แต่กระทบสีได้
โสตายตนะ คือ โสตปสาท เห็นไม่ได้ แต่กระทบเสียงได้
ฆานายตนะ คือ ฆานปสาท เห็นไม่ได้ แต่กระทบกลิ่นได้
ชิวหายตนะ คือ ชิวหาปสาท เห็นไม่ได้ แต่กระทบรสได้
กายายตนะ คือ กายปสาท ซึมซาบอยู่ทั่วทั้งตัว มองไม่เห็น ถ้าเห็นก็เห็นสี ไม่ใช่เห็นกายายตนะ เพราะฉะนั้น กายายตนะเป็นรูปที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบกับเย็น ร้อน อ่อน แข็งได้
สัททายตนะ คือ เสียง เป็นรูปที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบกับโสตปสาทได้
คันธายตนะ คือ กลิ่น เป็นรูปที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบกับฆานปสาทได้
รสายตนะ คือ รส เป็นรูปที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบกับชิวหาปสาทได้
โผฏฐัพพายตนะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เป็นรูปที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ คือ กระทบกับกายปสาทได้
ข้อความต่อไปมีว่า
ธรรมที่เห็นไม่ได้ และกระทบไม่ได้ เป็นไฉน
เห็นไม่ได้ และกระทบไม่ได้ด้วย
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ คือ นามขันธ์ทั้งหมด เห็นไม่ได้ และกระทบไม่ได้
รูปที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ และอสังขตธาตุ คือ นิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้ และกระทบไม่ได้
เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ แต่รู้ได้ ซึ่งท่านจะเทียบเคียงกับความจริงได้ พิสูจน์ได้ [ตอนที่ 138]