ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๙
โดย khampan.a  8 พ.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 43087

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๙


~ คำจริง เป็นคำที่ควรกล่าวอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์ของทุกคนที่จะได้รับประโยชน์จากการที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำว่า พระพุทธศาสนา ต้องเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงด้วย ไม่ใช่คิดเอง
~ ทุกคนที่เข้าใจว่านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คงจะรู้ความสำคัญว่าไม่ใช่เพียงกล่าวหรือคิดว่าตนเองนับถือ แต่ต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผลด้วยว่า นับถือ เพราะได้เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วโดยละเอียดอย่างยิ่ง จึงจะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ซึ่งถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็เห็นกันอยู่ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้เข้าใจพระธรรมแล้ว ปัญญาที่ได้เข้าใจพระธรรม จะนำชีวิตไปสู่ในทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้น
~ คำจริง เป็นคำที่แสดงความเป็นเพื่อนที่ดี แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเป็นยอดกัลยาณมิตร ไม่มีใครเป็นมิตรที่ดียิ่งกว่าพระองค์ เพราะฉะนั้น คำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ควรที่จะได้ศึกษาอย่างยิ่ง ให้เข้าใจชัดเจนด้วยความไม่ประมาท เพื่อดำรงรักษาคำของพระองค์ สิ่งใดที่ผิดไปแล้ว ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ว่าผิด ตราบใดที่ปัญญายังไม่เกิด ก็หลงเข้าใจว่าสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูก
~ พระภิกษุ ไม่ใช่บวชเพื่ออาศัยผ้าเหลือง แต่ต้องเพราะเห็นประโยชน์ของการเข้าใจพระธรรม เพื่ออุทิศชีวิตต่อการที่จะศึกษาธรรมและขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง โดยการที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยด้วย
~ พระภิกษุ ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแต่งกาย แต่ว่า จะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง แล้วขัดเกลากิเลส ด้วยการศึกษาพระธรรม เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม ไม่มีอะไรที่จะขัดเกลากิเลสได้เลย เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมแล้วก็ขัดเกลากิเลสตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ นั่นจึงจะเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย
~ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง สำหรับพุทธบริษัทที่จะพร้อมเพรียงกันแล้วก็สนทนา เพื่อให้ได้รับความกระจ่าง เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องเปิดเผย แล้วก็ตรงต่อความเป็นจริง ผิดก็คือผิด ให้ผิดเป็นถูก ไม่ได้ และถูกก็ต้องถูก ใครจะบอกว่าสิ่งที่ถูกเป็นผิด ผู้นั้นก็ไม่ตรง เพราะฉะนั้น สัจจบารมี เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าไม่มีสัจจบารมี ก็หลงผิดเข้าใจว่าสิ่งที่ผิดเป็นถูก
~ ถ้าให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เป็นประโยชน์ไหม? ตัวเองจะเป็นอย่างไร ใครจะรัก จะชัง ไม่สำคัญเลยทั้งสิ้น พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่จะต้องดำรงไว้ เพื่ออนุเคราะห์คนอื่น ตามพระพุทธประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีทำให้เราเข้าใจและคนอื่นที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ด้วย
~ สภาพธรรมที่ดี ใครก็จะเปลี่ยนให้เป็นสภาพธรรมที่เลว ก็ไม่ได้ สภาพธรรมที่ชั่ว ใครก็จะเปลี่ยนให้เป็นสภาพธรรมที่ดี ไม่ได้ โลภะ ความต้องการ ความติดข้อง ไม่เปลี่ยนลักษณะ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล อโลภะสภาพที่สละความติดข้องความต้องการ เป็นกุศล ใครจะเปลี่ยนลักษณะของสภาพอโลภะ ให้เป็นอย่างอื่น ก็เปลี่ยนไม่ได้ จะใช้ชื่อเรียกอะไรก็ตาม แต่ลักษณะของสภาพธรรมนั้น ยังเป็นสภาพธรรมนั้นที่ไม่เปลี่ยน
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ทุกอย่าง ทรงแสดงความจริงทุกอย่างที่มีจริงๆ ทั้งหมดอย่างละเอียดยิ่ง เพื่อให้เห็นว่า ไม่มีใครเลย มีแต่ธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้
~ ไม่ควรจะเห็นว่าอกุศลธรรมแต่ละขณะนั้นเล็กน้อย ไม่เป็นไร แต่ควรที่จะขัดเกลา ระงับ ขจัดอกุศลธรรมเหล่านั้นโดยเห็นโทษเสียก่อน เพราะฉะนั้น ต้องขึ้นอยู่กับปัญญาที่ว่า ท่านเห็นโทษของอกุศลมากน้อยเพียงไร อย่าเพียงแต่เห็นโทษของอกุศลที่ถึงขั้นที่จะล่วงทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา แต่แม้ว่าไม่ใช่อกุศลที่แรงจนถึงกับล่วงทุจริตกรรม ก็ต้องเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรละเว้น ควรขจัดให้เบาบางด้วย
~ แม้ว่ายังไม่พ้นจากการติดการข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบกาย) แต่ก็ยังเป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของการเจริญกุศล เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นประโยชน์ของการเจริญกุศล ก็อบรมเจริญกุศลทุกประการ โดยไม่ประมาทว่า เป็นกุศลเพียงเล็กน้อย และเวลาที่เห็นโทษภัยของอกุศล ก็ไม่ประมาทว่า เป็นโทษภัยของอกุศลเพียงเล็กน้อย
~ การเริ่มเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงในสังสารวัฏฏ์ จะทำให้มีความอดทนและรู้ว่าธรรมลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ปัญญาที่รู้ความลึกซึ้งของธรรม จะทำให้มีบารมีที่จะอดทนและทำความดีเพิ่มขึ้นจนสามารถที่จะเข้าใจความจริงในขณะนี้ได้

~ สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นว่ามีแล้วก็หมดไป ไม่เหลืออีกเลย ควรติดข้องในสิ่งนั้นไหม? ต้องจากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรติดตามไปสักอย่าง ร่างกายที่เข้าใจว่าเป็นของเราก็ติดตามไปไม่ได้ แล้วนี่หรือจะเป็นของเรา เพราะความจริงไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นแล้วก็หมดไปๆ
~ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย ใครทำเห็นในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำได้ยินในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำโกรธให้เกิดขึ้นได้บ้าง ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในขณะนี้ ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ คือ การอบรมจากการมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
~ ความดีง่ายๆ ทำไม่ยาก ก็คือฟังพระธรรม ยากไหม? ฟังดนตรีก็เคยฟัง ฟังอย่างอื่นก็เคยฟัง แต่ความดีที่ไม่ต้องเสียเวลาไปทำให้เหนื่อยยากเลย แค่ฟังแล้วก็เข้าใจ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์หรือไม่ได้สะสมมา ก็เป็นการยาก เพราะฉะนั้น จากคนที่ไม่มีศรัทธาแล้วก็ไม่ฟัง ก็ควรที่จะสะสมศรัทธาที่เห็นประโยชน์ของการฟัง เพื่อที่จะได้ไม่ขาดการฟัง ความดีทำง่ายมาก แค่ฟังแล้วก็สะสม แล้วเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญาด้วย

~ ละคลายอกุศล ด้วยปัญญาที่รู้ความจริงขึ้น เห็นโทษของอกุศล อกุศลไม่ใช่ให้โทษแก่คนอื่น แต่ให้โทษกับตนเอง ตัวใครก็ตัวใคร จิตใครก็จิตใคร อกุศลของใครก็อกุศลของคนนั้น กุศลของใครก็กุศลของคนนั้น เพราะฉะนั้น กำลังเป็นอกุศลให้โทษกับใคร? ให้โทษกับบุคคลนั้น แล้วดีไหมมีโทษเพิ่มขึ้น? ไม่ดี ถ้าปัญญาไม่รู้อย่างนี้ ก็ไม่มีทางขัดเกลาอกุศลได้เลย
~ เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ที่จะละคลายกิเลส เป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปจริงๆ แม้แต่ในขั้นของความเข้าใจ ถ้าฟังพระธรรมอยู่เรื่อยๆ พิจารณาธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากตอนต้นนี้มาก แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่ไม่มีกำหนดรู้ได้ว่า เพิ่มขึ้นมากในตอนไหน แต่จะต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เรื่อยๆ

~ ทุกคนมีทั้งกุศลและอกุศล ถ้ายังไม่เป็นพระอริยบุคคล ก็มีความเป็นปุถุชน หนาด้วยกิเลสเหมือนกัน เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ดับกิเลสใดๆ เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะมีความเข้าใจและก็เห็นใจ และอภัยให้คนที่ขณะนั้นมีปัจจัยที่จะให้อกุศลจิตเกิด และตัวเองก็ไม่เดือดร้อน เพราะเหตุว่าอภัยให้ได้
~ ต้องตายแน่ อาจจะเป็นเดี๋ยวนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ วันไหนๆ ก็ได้ เตรียมตัวตาย ก็คือ เดี๋ยวนี้ทำดี ต้องเดี๋ยวนี้ด้วย เพราะมิฉะนั้นแล้ว ก็จะมีแต่อกุศลเกิดพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้ากุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๘


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย petsin.90  วันที่ 8 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 8 พ.ค. 2565

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 3    โดย Sea  วันที่ 8 พ.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณอ.คำปั่น กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย เข้าใจ  วันที่ 8 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย เจียมจิต สุขอินทร์  วันที่ 9 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 9 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย tim7755tim  วันที่ 9 พ.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น. กราบอนุโมทนากุศลธรรมค่ะท่านอาจารย์


ความคิดเห็น 8    โดย เมตตา  วันที่ 9 พ.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบยินดีในความดีทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 9 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย jaturong  วันที่ 13 พ.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ