มั่นคงต่อความจริงที่ลึกซึ้ง คือธรรมะ
โดย เมตตา  26 ก.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50501

[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม 2 - หน้า 375

๘. ปริหานิสูตร

ว่าด้วยพิจารณาเห็นธรรม ๔

[๑๕๘] พระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายมา ฯลฯ แสดงธรรมว่าอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นภิกษุก็ตาม ภิกษุณีก็ตาม พิจารณาเห็นธรรม ๔ ประการมีอยู่ในตน ผู้นั้นพึงสันนิษฐานได้ว่าตนเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะการที่มีธรรม ๔ ประการอยู่ในตนนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นความเสื่อม ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ ความมีราคะหนาแน่น ๑ ความมีโทสะหนาแน่น ๑ ความมีโมหะหนาแน่น ๑ ไม่มีปัญญาจักษุก้าวไปในฐานะและอฐานะอันลึก ๑ ผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นภิกษุก็ตาม ภิกษุณีก็ตาม พิจารณาเห็นธรรม ๔ ประการนี้มีอยู่ในตน พึงสันนิษฐานได้ว่าตนเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะการที่มีธรรม ๔ ประการ นี้อยู่ในตนนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นความเสื่อม

อาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นภิกษุก็ตาม ภิกษุณีก็ตาม พิจารณาเห็นธรรม ๔ ประการนี้มีอยู่ในตน พึงสันนิษฐานได้ว่าตนไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะการที่มีธรรม ๔ ประการนั้นอยู่ในตนนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นความไม่เสื่อม ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ ความมีราคะเบาบาง ๑ ความมีโทสะเบาบาง ๑ ความมีโมหะเบาบาง ๑ มีปัญญาจักษุก้าวไปในฐานะและอฐานะอันลึก ๑ ผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นภิกษุก็ตาม ภิกษุณีก็ตาม พิจารณาเห็นธรรม ๔ ประการที่มีอยู่ในตน พึงสันนิษฐานได้ว่าตนไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะการที่มีธรรม ๔ ประการ นี้อยู่ในตนนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นความไม่เสื่อม.

จบปริหานิสูตรที่ ๘


อ.วิชัย: จากพระสูตรนี้ ปริหานิสูตร ก็เป็นความกรุณาของท่านพระสารีบุตรเถระที่จะแสดงให้เห็นถึงว่า ในชีวิตประจำวันของเรายังเป็นผู้ที่มั่นคงในการเจริญกุศล หรือเป็นผู้ที่เสื่อมจากอกุศลธรรมครับ อย่างการที่จะรู้ว่าตนเป็นผู้ที่ยังมากไปด้วยราคะ โทสะ หรือโมหะอยู่ หรือว่าหนาแน่น ไพบูลย์ หรือว่าจะใช้คำไหนก็แสดงถึงความมากมายของอกุศลธรรมครับ พิจารณาหรือสันนิษฐานได้ว่าเป็นผู้ที่เสื่อมจากกุศลธรรมครับ

การที่จะเข้าใจความเป็นอกุศลที่มีในชีวิตประจำวันครับ การที่จะรู้ว่า มีความหนาแน่นหรือเปล่า หรือไม่มีความหนาแน่นครับ ก็เป็นสิ่งที่ยากเพราะว่า เหมือนกับเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับอกุศลโดยที่ไม่รู้เลยว่า เป็นผู้ที่ยังมากไปด้วยอกุศลอยู่หรือเปล่าครับ อย่างขณะนี้ก็ดูเหมือนชีวิตปรกติธรรมดา มีการฟังธรรมสนทนาธรรม และก็มีความพอใจแม้แต่เรื่องการรับประทานอาหาร การที่จะดูหนังดูละครอะไรอย่างนี้ครับ ก็ดูเหมือนกับการที่จะพิจารณาในความเป็นอกุศลในชีวิตประจำวันว่า มากหรือไม่มาก จะรู้อย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: ไม่ใช่ว่าจะรู้กุศลอกุศล รู้ว่า เป็นธรรมะหรือยัง?

อ.วิชัย: ยังไม่รู้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะไปรู้กุศล อกุศลได้ไหม? เรียกว่ากุศล อกุศล แต่เป็นเรา ใช่ไหม? แต่ว่า กุศลต้องเป็นกุศล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลย อกุศลก็ต้องเป็นอกุศล มั่นคงต่อความจริงที่ลึกซึ้ง คือธรรมะ

ทั้งหมดที่ฟัง จากการไม่รู้ความจริงว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยที่จะเป็นอย่างนั้นเท่านั้นแล้วดับ จึงจะรู้ว่า กุศล และอกุศลเป็นอย่างไร ใช่ไหม? ไม่ใช่เราเป็นอะไร? เพราะบอกว่าเป็นกุศลไงล่ะ อกุศลไงล่ะ แล้วกุศลเป็นอะไร อกุศลเป็นอะไร ถ้าไม่เกิดมีไหม?

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายที่จะรีบร้อนคว้าไปปฏิบัติ หรือไปพยายามที่จะขัดเกลา หรือพยายามที่จะทำ แต่เป็นหน้าที่ของ ความเข้าใจ ที่ต้องเข้าใจในความเป็นจริงที่ลึกซึ้ง ทีละเล็กทีละน้อยๆ หยั่งลงไปจนกว่าจะหมดความสงสัยในธรรมะ แต่เราจะคิดแต่เฉพาะกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะสนุกสนานอย่างไรในชีวิตเป็นไป เกิดแล้วทั้งนั้นที่ไม่รู้ ก็คือไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

อ.วิชัย: อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่นี้ก็เป็นการเตือนเพราะว่าเคยอ่านพระสูตรนี้ ก็พยายามคิดด้วยความเป็นตัวเราที่หาว่า วันๆ หนึ่งกุศลมาก หรืออกุศลมากครับซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงลักษณะของอกุศลอย่างความติดข้อง ก็เป็นความหวังความต้องการการแสวงหา ก็พอที่จะรู้ได้ว่า ขณะที่มีความต้องการติดข้องแสวงหาก็เป็นลักษณะของโลภะเป็นอกุศลธรรม หรือแม้แต่ขณะที่โกรธ ไม่พอใจ เพราะเป็นลักษณะของโทสะครับ แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้ที่มีความมั่นคงในความเป็นธรรมะของเรา ไม่ว่าเป็นโลภะหรือโทสะก็ตาม ก็ยังคิดด้วยความเป็นเราที่มีโลภะหรือเราที่มีโทสะอยู่ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ความจริงลึกซึ้งที่สุด ไม่มีอะไรนอกจากสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ

อ.วิชัย: ครับ ฟังที่ท่านอาจารย์กล่าวก่อนหน้านั้นเรื่องของปัญญาที่จะรู้ฐานะ หรืออฐานะครับ ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงฐานะที่ไม่ควรก้าวไป แต่ไปด้วยความไม่รู้ครับ อะไรเป็นฐานะที่ไม่ควรก้าวไป แต่ก้าวไปด้วยความไม่รู้ครับ

ท่านอาจารย์: ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี กุศลหรืออกุศล

เพราะฉะนั้น มีสิ่งที่ปรากฏ ติดข้องก็ไม่รู้ ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้นก็ไม่รู้ ก็เพลิดเพลินไปด้วยความติดข้อง ทำให้มีกาย วาจา เป็นไปในทางที่ติดข้องในทางทุจริตที่ปรากฏอยู่ทั่วไป มาจากไหน?

อ.วิชัย: ความไม่รู้ครับ ก็เป็นอกุศลที่มากจริงๆ ที่ไม่รู้ว่า อย่างแม้แต่การกระทำคำพูด แม้แต่ความคิดที่เป็นไปตามอำนาจอกุศล แต่ก็ยังเป็นไปด้วยความไม่รู้ความเป็นจริง อย่างที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่า คิดเรื่องของโลภะ โทสะ หรือโมหะก็ตาม เข้าใจในความเป็นธรรมะหรือเปล่า? ดูเหมือนการตั้งต้นที่จะศึกษาพระธรรม ก็ต้องมั่นคงในความเป็นธรรมะแต่ละอย่างครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะกล่าวว่า ศึกษาธรรมะ ไม่ได้ทำอะไรใช่ไหม?

อ.วิชัย: ครับ ฟังเพื่อเข้าใจ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า อะไรเป็นธรรมะ แล้วก็ศึกษาความจริงของธรรมะ นั่นคือการศึกษาธรรมะ จนประจักษ์แจ้งแต่ละธรรมะที่ปรากฏ เพราะปรากฏด้วยแล้วก็ไม่รู้แล้วก็หมดไปไม่ได้ศึกษา แต่เมื่อเริ่มศึกษา ไม่ได้ศึกษาอื่นเลย ศึกษาสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏเดี๋ยวนี้

แต่ยังไม่รู้อะไรเลยทั้งหมดเลยว่า อยู่ไหน พูดถึงอะไร มีแต่เห็น แต่เห็นอยู่ใกล้ที่สุดใช่ไหม? คิดหรือเปล่าว่า ทั้งหมดอยู่ที่กาย ยาววาหนาศอกที่ว่ากัน ไม่พ้นไปได้เลย ถ้าไม่มีตรงนี้จะมีธรรมะไหม? แต่ก็ไม่เคยคิดถึงตรงนี้เลย ไม่เคยใกล้เข้ามาจนถึงขณะจริงๆ ว่า เกิดแล้วตรงไหน แล้วก็ดับแล้วตรงนั้น

อ.วิชัย: ก็เป็นการเตือนแล้วเตือนอีกครับที่จะให้เข้าใจว่า การที่จะรู้ธรรมะ ไม่ต้องไปแสวงหาที่อื่นเลย แต่กำลังมี แต่ว่ายังห่างไกลเพราะความไม่รู้ปกปิดอยู่ครับ

ท่านอาจารย์: นี้เป็นหนทางเดียวนะที่จะให้อกุศลเบาบาง ไม่มีหนทางอื่นเลย เพราะเริ่มรู้เริ่มเข้าใจความจริง เริ่มเข้าใกล้ความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง กว่าจะถึงความจริง ประจักษ์แจ้งในความลึกซึ้ง

เพราะฉะนั้น หนทางนี้เป็นหนทางเดียวที่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ หนทางอื่นไม่มีเลย ต้องเป็นคนที่มั่นคง ขณะนี้ความมั่นคงในความเป็นจริง สัจจบารมี อธิษฐานบารมี วิริยะเกิดแล้วไม่ใช่เรา ความอดทนเพราะมีการเริ่มเข้าใจสภาพธรรมะก็สามารถที่จะเห็นว่า ขณะนั้นไม่ใช่เราทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าอกุศลค่อยๆ เบาบาง ก็เป็นแต่ละบารมีที่จะทำให้อกุศลค่อยๆ ลดน้อยลง ความยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ค่อยๆ ลดน้อยลง ไม่ใช่ว่าด้วยความคิด แต่ด้วยความเข้าใจ ความจริงของสิ่งที่กำลังมี ต่างกันแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ก็คือว่าฟังธรรมะไม่ใช่ไปจำจิตเจตสิกจำนวนเท่าไหร่ ขันธ์ ๕ อายตนะอย่างไรเท่าไหร่ โพธิปักขิยธรรม แต่ไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้อะไร?

เพราะฉะนั้น นั่นไม่ใช่ศึกษาธรรมะ ศึกษาเรื่องราว และชื่อเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าทั้งหมดเป็นขณะนี้เดี๋ยวนี้

เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นอริยสัจจธรรมรอบที่ ๑ รอบรู้จริงๆ เห็น ไม่ได้อยู่ไกลเลย ทุกสิ่งทุกอย่างแสนใกล้ แต่เพราะไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ ก็เลยไกลออกไปเป็นสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องต่างๆ เป็นโลกเป็นอะไรสารพัดอย่าง

อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ก็มีความค่อยๆ เข้าใจขึ้นครับ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 27 ก.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณมากค่ะน้องเมตตา ยินดียิ่งในกุศลทุกประการนะคะ


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 27 ก.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 3    โดย Wisaka  วันที่ 28 ก.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ