ขอกล่าวถึง มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ฆฏิการสูตร เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้เห็นว่า แม้พระผู้มีพระภาคเองก็ต้องอาศัยการไม่คบคนพาล และการเสพบัณฑิต ตั้งแต่พระชาติที่เป็นพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตัวท่านเองจะได้รับประโยชน์จากพระธรรมวินัยที่ได้ทรงแสดงไว้ด้วย แม้แต่ในการไม่เสพคนพาล และการคบบัณฑิต
ข้อความในพระสูตรมีว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จแวะออกจากทาง แล้วได้ทรงแย้มพระสรวลในประเทศแห่งหนึ่ง ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดว่า เหตุอะไรหนอ ปัจจัยอะไรที่พระผู้มีพระภาคทรงแย้มพระสรวล พระตถาคตทั้งหลายจะทรงแย้มพระสรวลโดยหาเหตุไม่ได้นั้น ไม่มี ดังนี้ท่านพระอานนท์จึงทำผ้าอุตตราสงฆ์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุอะไรหนอ ปัจจัยอะไรที่พระผู้มีพระภาคทรงแย้มพระสรวล พระตถาคตทั้งหลายจะทรงแย้มพระสรวลโดยหาเหตุมิได้นั้น ไม่มี
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร อานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้วที่ประเทศนี้ ได้มีนิคมชื่อเวภฬิคะ เป็นนิคมมั่งคั่งและเจริญ มีคนมาก มีมนุษย์หนาแน่น พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาศัยเวภฬิคนิคมอยู่
ดูกร อานนท์ ได้ยินว่า ที่นี่เป็นพระอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับนั่งตรัสสอนภิกษุสงฆ์ที่นี่
ถ้าท่านผู้ฟังไปที่ประเทศอินเดีย ท่านก็จะได้พบสถานที่หลายแห่ง และ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากทางครั้งที่เสด็จจาริกไปในโกศล ชนบท ก็ได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า ครั้งนั้น ณ ที่นั้น เป็นอารามของพระผู้มีพระภาค พระนามว่ากัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า กัสสปะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทะเจ้าประทับนั่งตรัสสอนภิกษุสงฆ์ที่นี่
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นถวาย แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้นขอพระผู้มีพระภาคประทับนั่งเถิด เมื่อเป็นเช่นนี้ ภูมิประเทศนี้จักได้เป็นส่วนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ทรงบริโภค ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 187
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ท่านพระอานนท์ปูถวายแล้ว จึงตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า
ดูกร อานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้วในประเทศนี้ มีนิคมชื่อเวภฬิคะ เป็นนิคมมั่งคั่งและเจริญ มีคนมาก มีมนุษย์หนาแน่น ดูกร อานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอาศัยเวภฬิคนิคมอยู่ ได้ยินว่า ที่นี่เป็นพระอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับนั่งตรัสสอนภิกษุสงฆ์ที่นี่ และในเวภฬิคนิคม มีช่างหม้อชื่อฆฏิการะ เป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอุปัฏฐากผู้เลิศ มีมานพชื่อโชติปาละเป็นสหายของช่างหม้อ ชื่อฆฏิการะ เป็นสหายที่รัก
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ เรียกโชติปาลมานพมาว่า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี
เป็นเพื่อนที่ดี ชักชวนสหายให้ไปเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และในครั้งนั้น โชติปาลมานพก็คือพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมนี้เอง
ในครั้งนั้น พระองค์มีสหายชื่อฆฏิการะ เป็นช่างหม้อ ซึ่งเป็นกัลยาณมิตร เป็นสหายที่ดี ชักชวนให้ไปหาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ซึ่งในครั้งนั้น โชติปาลมานพผู้เป็นพระผู้มีพระภาคในครั้งนี้จะมีความคิด จะมีความเห็นอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร อานนท์ เมื่อฆฏิการะช่างหม้อกล่าวอย่างนี้แล้ว โชติปาลมานพได้กล่าวว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้นที่เราเห็นแล้วแล่า
ดูกร อานนท์ แม้ครั้งที่ ๒ ฆฏิการะช่างหม้อ ก็ได้กล่าวกะโชติปาลมานพว่ามาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี
แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ โชติปาลมานพ ก็กล่าวว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้นที่เราเห็นแล้วเล่า
ฆฏิการะมานพก็ไม่ท้อถอย กล่าวกับโชติปาลมานพว่า
เพื่อนโชติปาละ ถ้าอย่างนั้น เรามาถือเอาเครื่องสำหรับสีตัวเมื่อเวลาอาบน้ำ ไปแม่น้ำเพื่ออาบน้ำกันเถิด
โชติปาลมานพรับคำฆฏิการะช่างหม้อแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าแก่ท่านพระอานนท์ต่อไป มีข้อความว่า
ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมานพได้ถือเอาเครื่องสำหรับสีตัวเมื่อเวลาอาบน้ำ ไปยังแม่น้ำเพื่ออาบน้ำ ครั้งนั้นแล ฆฏิการะช่างหม้อ ได้เรียกโชติปาลมานพมากล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ นี่ก็ไม่ไกลพระอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเถิดเพื่อน โชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี
ถึงแม้ว่าฆฏิการะช่างหม้อจะกล่าวอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง โชติปาลมานพก็ได้กล่าวกะฆฏิการะช่างหม้อว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นที่เราเห็นแล้วเล่า
ชวนยากไหม ชักชวนที่จะไปเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ชวนยากเหลือเกิน แม้บุคคลนั้นจะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม แต่ว่าในครั้งโน้น ยังไม่พร้อมที่จะไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระกัสสปะ พระผู้มีพระภาค ตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟังต่อไปว่า
ดูกร อานนท์ ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อได้จับโชติปาลมานพที่ชายพก แล้ว กล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ นี้ก็ไม่ไกลอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี
ลำดับนั้น โชติปาลมานพ ให้ฆฏิการะช่างหม้อปล่อยชายพก แล้วกล่าวว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นที่เราเห็นแล้วเล่า
ยังไม่ยอมไปอีก เพราะฉะนั้น ก็ควรจะเป็นเหตุการณ์ที่เมื่อพระองค์ได้เสด็จจาริกมาถึงโกศลชนบทนั้น จึงได้ทรงแย้มพระสรวลเมื่อนึกถึงเมื่อครั้งที่พระองค์เองเป็นโชติปาลมานพ พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟังต่อไปว่า
ดูกร อานนท์ ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อจับโชติปาละผู้อาบน้ำดำเกล้าที่ผม แล้วกล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ นี้ไม่ไกลพระอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี
ครั้งนั้น โชติปาลมานพมีความคิดว่า น่าอัศจรรย์หนอท่าน ไม่เคยมีมาหนอท่าน ที่ฆฏิการะช่างหม้อผู้มีชาติต่ำ มาจับที่ผมของเราผู้อาบน้ำดำเกล้า แล้วการที่เราจะไปนี้ เห็นจะไม่เป็นการไปเล็กน้อยหนอ ดังนี้แล้วได้กล่าวกะฆฏิการะช่างหม้อว่า
เพื่อนฆฏิการะ การที่เพื่อนทำความพยายามตั้งแต่ชักชวนด้วยวาจา จับที่ชายพก จนล่วงเลยถึงจับถึงผมนั้น ก็เพื่อจะชวนกันให้ไปในสำนักพระผู้มีพระภาคพระนามว่า กัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เท่านั้นเองหรือ ฆฏิการะช่างหม้อก็ได้กล่าวตอบว่า เท่านั้นเองเพื่อนโชติปาละ จริงเช่นนั้นเพื่อน ก็การที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นความดี ซึ่งโชติปาลมานพก็กล่าวว่า เพื่อนฆฏิการะ ถ้าอย่างนั้นจงปล่อยเถิด เราจักไป
พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟัง มีข้อความต่อไปว่า
ดูกร อานนท์ ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ และโชติปาลมานพได้เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงที่ประทับ แล้วฆฏิการะช่างหม้อถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ส่วนโชติปาลมานพ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นผ่านการปราศัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ฆฏิการะช่างหม้อนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี่โชติปาลมานพ เป็นสหายที่รักของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่โชติปาลมานพนี้เถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟังต่อไป มีข้อความว่า
ดูกร อานนท์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมานพให้เห็นชัด ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธัมมีกถา
ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมานพอันพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็นชัด ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา เพลิดเพลินชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระ ผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำประทักษิณ แล้วหลีกไป
ได้ฟังธรรม ได้แสดงความเคารพอย่างสูงด้วยการทำประทักษิณ และหลีกไป
พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟัง มีข้อความต่อไปว่า
ดูกร อานนท์ ครั้งนั้น โชติปาลมานพได้ถามฆฏิการะช่างหม้อว่า เพื่อน ฆฏิการะ เมื่อท่านฟังธรรมนี้อยู่ และเมื่อเช่นนั้น ท่านจะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตหรือหนอ ฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า เพื่อนโชติปาละ ท่านก็รู้อยู่ว่า เราต้องเลี้ยงดูมารดาบิดาซึ่งเป็นคนตาบอดผู้ชราแล้ว มิใช่หรือ โชติปาลมานพกล่าวตอบว่า เพื่อนฆฏิการะ ถ้าเช่นนั้น เราจักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
กว่าจะไปได้ แต่พอไปถึงแล้ว พระธรรมเทศนามีคุณมีประโยชน์ที่ทำให้ โชติปาลมานพออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต แต่ไม่ได้บรรลุมรรคผล เพราะจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้ ส่วนฆฏิการะช่างหม้อบวชไม่ได้ เพราะเหตุว่าต้องเลี้ยงดูมารดาบิดาที่เป็นคนตาบอด แต่ท่านบรรลุคุณธรรมเป็นพระอนาคามี นี่คือชีวิตที่ต่างกันของสหายที่รักสองท่าน ในครั้งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟังต่อไป มีข้อความว่า
ดูกร อานนท์ ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมานพได้เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฆฏิการะช่างหม้อได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี่โชติปาลมานพ เป็นสหายที่รักของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคทรงให้ โชติปาลมานพนี้บวชเถิด ดังนี้ โชติปาลมานพได้บรรพชาอุปสมบถแล้วในสำนักของพระผู้พระมีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ครั้นเมื่อโชติปาลมานพอุปสมบทแล้วไม่นาน ประมาณกึ่งเดือน พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่ใน เวภฬิคนิคมตามควรแก่พระพุทธอัธยาศัยแล้ว เสด็จหลีกจาริกไปทางพระนครพาราณสี เสด็จจาริกไปโดยลำดับถึงพระนครพาราณสีแล้ว พระเจ้ากาสีในครั้งนั้น ทรงพระนามว่ากิกิ เมื่อได้ข่าวว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะได้เสด็จจาริกไปถึง ก็ได้ไปเฝ้า และฟังธรรม กราบทูลนิมนต์ให้รับภัตตาหารที่พระราชนิเวศน์
เมื่อพระผู้พระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะ ได้เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ของพระเจ้ากิกิ เมื่อได้ฉันภัตรตาหารแล้ว พระเจ้ากิกิก็ได้กราบทูลขอให้พระองค์ทรงรับการจำพรรษาอยู่ที่เมืองของพระองค์ แต่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเลยมหาบพิตร อาตมาภาพรับการจำพรรษาเสียแล้ว แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓
ทำให้พระเจ้ากิกิทรงแปลกพระทัยมากว่า เพราะเหตุใดพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสปะไม่ทรงรับนิมนต์ จึงได้กราบทูลถามว่า มีใครอื่นที่เป็นอุปัฏฐากยิ่งกว่าพระองค์หรือ
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ฆฏิการะช่างหม้อที่เป็นพระอนาคามีบุคคลนั้น ท่านทำนุบำรุงพระสงฆ์ และโภคทรัพย์ของท่านทั่วไปแก่ท่านผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม เหมือนอย่างเช่นอุคคคฤหบดีในอุคคสูตร เพราะฉะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะทรงรับนิมนต์ที่จะจำพรรษาอยู่ที่นิคมชื่อเวภฬิคะ ซึ่งฆฏิการะ ช่างหม้ออยู่ที่นั่น จึงไม่ทรงรับนิมนต์ของพระเจ้ากิกิ
ต่อไปจะได้เห็นข้อความที่ว่า บุคคลที่เป็นพระอนาคามีบุคคล มีจิตเลื่อมใส การถวายทานของท่านนั้น ด้วยความปลาบปลื้ม ยินดีเพียงไร
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะได้ตรัสแก่ พระเจ้ากิกิ ถึงความศรัทธาและการเป็นผู้อุปัฏฐากยิ่งกว่าบุคคลอื่นของฆฏิการะช่างหม้อ มีข้อความว่า
ช่างหม้อชื่อฆฏิการะ อยู่ในนิคมนั้น คือ นิคมชื่อเวภฬิคะ เวลาเช้าอาตมภาพ นุ่งแล้ว ถือบาตร และจีวร เข้าไปหามารดาและบิดาของฆฏิการะช่างหม้อถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ดูเถิดนี้ คนหาอาหารไปไหนเสียเล่า มารดา บิดาของฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปัฏฐากของพระองค์ออกไปเสียแล้ว ขอพระองค์จงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าวนี้ เอาแกงจากหม้อแกงนี้เสวยเถิด
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น อาตมาภาพได้เอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกง ฉันแล้ว ลุกจากอาสนะ หลีกไป
ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมาเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกง บริโภคแล้ว ลุกจากอาสนะ หลีกไปมารดาบิดาบอกว่า ดูกร พ่อ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกง เสวยแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ หลีกไป
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุข ไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอด ๗ วัน
และในภายหลังก็เป็นเช่นนี้ คือ ฆฏิการะช่างหม้อไม่อยู่ พระผู้มีพระภาคก็เอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกงเสวย เมื่อฆฏิการะช่างหม้อกลับมาได้ทราบ ก็เกิดปีติตลอดกึ่งเดือน และมารดาบิดาก็ตลอด ๗ วัน
ซึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะได้ตรัสเล่าให้พระเจ้ากิกิฟังว่า
ครั้งนั้น อาตมาภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้นเอง ก็สมัยนั้นกุฎีรั่ว อาตมาภาพจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันไปดูหญ้าที่นิเวศน์ของฆฏิการะช่างหม้อ เมื่ออาตมาภาพกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวกะอาตมาาตมาภาพว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญ้าที่นิเวศน์ของฆฏิการะช่างหม้อไม่มี มีแต่หญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่เท่านั้น
อาตมาภาพได้สั่งภิกษุทั้งหลายว่าดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่ มาเถิด
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้นภิกษุเหล่านั้นได้ไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะ ช่างหม้ออยู่มาแล้ว ลำดับนั้น มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเล่า ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ดูกร น้องหญิง กุฎีของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารั่ว มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อได้กล่าวว่า เอาไปเถิดเจ้าข้า เอาไปตามสะดวกเถิดท่านผู้เจริญ
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเสียเล่า มารดาบิดาตอบว่า ดูกร พ่อ ภิกษุทั้งหลายบอกว่า กุฎีของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารั่ว
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและ สุข ไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอด ๗ วัน และครั้งนั้นเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่ทั้งหลังนั้น มีอากาศเป็นหลังคาตลอดอยู่ ๓ เดือน ถึงฝนตกก็ไม่รั่ว
ดูกร มหาบพิตร ฆฏิการะช่างหม้อมีคุณเห็นปานนี้
ซึ่งเมื่อพระเจ้ากิกิได้ฟัง พระองค์ทรงเห็นว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะนั้น ได้รับคำของฆฏิการะช่างหม้อที่จะจำพรรษาที่นั่นแล้ว ก็ได้ส่งอาหารต่างๆ ไปร่วมด้วย และได้เห็นจริงว่า ฆฏิการะช่างหม้อนั้นเป็นผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง
นี่เป็นชีวิตที่ต่างกันระหว่างฆฏิการะช่างหม้อซึ่งไม่ได้ออกบวช กับโชติปาลมานพซึ่งได้ฟังธรรมและออกบวช ซึ่งไม่ได้บรรลุความเป็นพระอริยบุคคลในครังนั้น แต่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม
เป็นชีวิตที่ต่างกันของการที่ได้ฟังธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ชีวิตของท่านที่ฟังธรรมในขณะนี้ ต่างคนต้องต่างกันไปแน่ ใครจะเป็นอย่างไร จะบรรลุคุณธรรมขั้นไหน ในสมัยไหน แม้ได้เฝ้าได้ฟังธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน แต่ว่าชีวิตก็ยังต่างกัน ตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 188
ถ. (ไม่ได้ยิน)
สุ . ถ้าได้เป็นโสดาบันบุคคล จะไม่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าในคืนที่ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าทรงบรรลุความเป็นพระอรหันต์ทันที แต่ต้องทรงบรรลุความเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามีก่อนโดยลำดับ จะไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่จะผ่านพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี โดยไม่บรรลุ และจะไปถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าการรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้นต้องเป็นโดยลำดับขั้น
ชีวิตของคฤหัสถ์ที่เป็นปกติธรรมดา ก็มีวิถีชีวิต สภาพของชีวิตแตกต่างกันไปตามที่ได้ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก มีพระโสดาบันบุคคล มีพระสกทาคามีบุคคล มีพระอนาคามีบุคคล ชีวิตต่างๆ กัน อย่างท่านอุคคคฤหบดีเป็นเศรษฐี เป็นพระอนาคามีบุคคล ฆฏิการะช่างหม้อเป็นพระอนาคามีบุคคล แต่ไม่ใช่เศรษฐี เป็นได้ไหมพระอนาคามีบุคคลโดยไม่ต้องเป็นเศรษฐี ไม่ว่าชีวิตของผู้ใดจะเป็นอย่างไร ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
ปปัญจสูทนี อรรถกถา มีข้อความว่า
ฆฏิการะช่างหม้อ เผาภาชนะ และจัดแจงไว้แล้วในบ้าน ตัวเองก็เข้าป่า หาไม้ ท่านไม่ได้ขายภาชนะของท่านเอง ก่อนที่จะเข้าป่า ท่านก็หุงหาอาหาร จัดทุกอย่างให้มารดาบิดาบริโภคแล้ว ตัวท่านเองก็บริโภคแล้ว นอกจากนั้น ก็ยังจัดภัตตะ สูปะ คือ ข้าว กับข้าว อาหารอย่างดีไว้เพื่อพระผู้มีพระภาคผู้ทรงพระนามว่ากัสสปะ ท่านปูอาสนะไว้พร้อม จัดน้ำไว้ ให้สัญญาแก่มารดาบิดา แล้วก็เข้าป่าไป
ชีวิตปกติไหม เจริญสติปัฏฐานได้ไหม บรรลุคุณธรรมเป็นถึงพระอนาคามี บุคคลได้ไหม จำกัดอะไรหรือเปล่าว่า จะต้องเปลี่ยนชีวิตไปเป็นอีกแบบหนึ่งอย่างบรรพชิต ไม่ทำกิจการงานอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เข้าใจไม่ถูก
ส่วนชาวบ้านที่จะซื้อภาชนะของท่านนั้น ก็เอาเงินบ้าง ข้าวสารบ้าง ทรัพย์สมบัติต่างๆ บ้างมา ถ้าเห็นว่าภาชนะที่ท่านจัดวางไว้นั้นเป็นของที่มีค่ามาก แต่ว่านำเงินมาน้อย ก็กล่าวกะมารดาบิดาของท่านว่า ข้าพเจ้าจะให้สิ่งนี้ๆ แล้วจะถือเอา
หมายความว่า ไม่เอาไปทันที เมื่อเห็นว่าเป็นของที่มีค่ามาก ก็กล่าวว่า จะให้เท่านั้นเท่านี้ และกลับไปเอาเงินมาเพิ่ม นี่เป็นวิธีขายสิ่งที่ท่านมีเพื่อเลี้ยงมารดาบิดา
แต่ถ้าของที่มีนั้นเป็นของที่มีราคาไม่มาก และไม่ต้องการจะซื้อ ชาวบ้านนั้นก็จัดหรือเก็บไว้ให้ดี เหมือนกับเป็นเจ้าของบ้าน แล้วก็กลับไป ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเหตุว่า ชาวบ้านทั้งหลายคิดว่า ฆฏิการะช่างหม้อเป็นพ่อค้าผู้ทรงธรรม บำรุงมารดาบิดา อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาค เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรที่จะเอาเปรียบท่าน ทั้งๆ ที่มารดาบิดาตาบอด แล้วก็มีภาชนะวางอยู่ แต่ว่าชาวบ้านก็ไม่เอาเปรียบ เห็นแก่ได้ แต่ว่าซื้อของด้วยราคาที่สมควร
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะได้ตรัสเล่าให้พระเจ้ากิกิฟังว่า พระองค์ทรงรับนิมนต์ของฆฏิการะช่างหม้อ เรื่องที่จะจำพรรษาอยู่ที่นิคมของฆฏิการะช่างหม้อแล้ว พระเจ้ากิกิก็ตรัสถามว่า
ช่างหม้อมีคุณถึงปานนี้ ทำไมไม่บวช
ซึ่งในพระไตรปิฎกก็มีข้อความแสดงไว้แล้วว่า ที่ฆฏิการะช่างหม้อไม่บวช ก็เพราะเหตุว่าจะต้องเลี้ยงมารดาบิดาที่ตาบอด
เมื่อพระเจ้ากิกิทรงทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ของฆฏิการะช่างหม้อ ก็ได้ส่งเกวียนบรรทุกข้าวสาร ข้าวปัณฑุมุฑิกะสาลี ประมาณ ๕๐๐ เล่ม และเครื่องแกงอันสมควรแก่ข้าวสารนั้น ไปพระราชทานแก่ฆฏิการะช่างหม้อ ซึ่งฆฏิการะช่างหม้อ ก็ได้กล่าวตอบกับราชบุรุษผู้นำของนั้นไปให้ว่า พระราชามีพระราชกิจมาก มีพระราชกรณียมาก ของที่พระราชทานมานี้ อย่าเป็นของข้าพเจ้าเลย จงเป็นของหลวงเถิด
ท่านไม่รับ ท่านไม่ใช่เป็นผู้ที่ยินดีต้องการ มีความโลภ ความปรารถนา ความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏัฐพพะ เพราะเหตุว่าท่านเป็นพระอนาคามีบุคคล
และสิ่งของที่พระเจ้ากิกิทรงส่งไปพระราชทานนั้น เป็นของที่มาก เป็นภาระ หนัก เป็นงานหนัก เพราะฉะนั้น สมควรที่จะเป็นของหลวง ไม่สมควรแก่ท่านที่จะจัดทำภารกิจอันหนักนั้น
ตอนจบของพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า
ดูกร อานนท์ เธอจะพึงมีความคิดเห็นว่า สมัยนั้น คนอื่นได้เป็นโชติปาลมานพแน่นอน แต่ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นอย่างนั้น สมัยนั้นเราได้เป็นโชติปาลมานพ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ยินดี ชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล
ทำไมท่านพระอานนท์ยินดีชื่นชมพระภาษิต ท่านผู้ฟังบางท่านไม่ค่อยจะชื่นชมยินดีกับพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค บางท่านไม่ชอบฟังพระสูตร อยากจะศึกษาแต่พระอภิธรรมเท่านั้น พระสูตรเป็นพุทธพจน์หรือไม่ และผู้ที่เป็นพระพุทธสาวกในครั้งนั้น เมื่อฟังแล้ว ชื่นชมยินดี แต่ทำไมบางท่านสมัยนี้ไม่ชื่นชมยินดี ไม่ยินดีที่จะฟัง พระพุทธพจน์ พระธรรมจากพระโอษฐ์ เพราะไม่เห็นคุณค่าก็เป็นได้
พระผู้มีพระภาคตรัสให้เจริญสติปัฏฐานเนืองๆ บ่อยๆ เพื่อปัญญาจะได้รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ชื่นชมยินดีไหม แล้วทำไมพระผู้มีพระภาคตรัสเล่าเรื่องฆฏิการะช่างหม้อให้ท่านพระอานนท์ฟัง ซึ่งเมื่อท่านพระอานนท์ฟังแล้ว ก็ชื่นชมยินดีในพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค
เรื่องชีวิตในอดีต เรื่องการบำเพ็ญเพียร เรื่องการบรรลุมรรคผลของแม้บุคคลซึ่งเป็นช่างหม้อ ทำให้เกิดปีติโสมนัสเห็นผลของพระธรรม เห็นผลของการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ใด ซึ่งชีวิตจริงๆ ของท่านพระอานนท์ในขณะที่ได้ฟังเรื่องของ ฆฏิการะช่างหม้อ ในขณะนั้นท่านเจริญสติได้ ท่านจะบรรลุมรรคผลในขณะนั้นก็ได้ หรือแม้บุคคลอื่นจะได้ฟัง สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ รู้ชัด และก็บรรลุมรรคผลในขณะนั้นได้ เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นชีวิตจริงๆ
เพราะฉะนั้น ทุกท่านที่เจริญสติปัฏฐานอย่าข้ามที่จะรู้ชีวิตจริงๆ กำลังฟังเรื่องอะไร เป็นชีวิตจริงในขณะนั้น เป็นสัจธรรม เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมที่สติระลึก และรู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าการรู้ชัดสภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ต้องรู้สัจธรรม คือ สิ่งที่เกิดแล้วปรากฏตามความเป็นจริงในขณะนี้
สำหรับเรื่องของฆฏิการะช่างหม้อกับโชติปาลมานพ ซึ่งท่านผู้หนึ่งได้บรรลุความเป็นพระอนาคมีบุคคล แต่อีกท่านหนึ่งปรารถนาความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ชีวิตของท่านทั้งสองจะได้พบกันอีกไหมในวัฏฏะที่ยืดยาว ทุกท่านก็มานั่งพบกันในที่นี้ แต่ว่าในอดีตกาล ครั้งสมัยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงพระนามต่างๆ นั้น ก็ไม่ทราบว่าเคยพบปะกันมาหรือเปล่า แต่ในขณะนี้ก็พบกันอีก ต่อไปข้างหน้าก็มืดอีก ไม่มีใครทราบว่า จะได้พบกันอีกหรือเปล่า
สำหรับฆฏิการะช่างหม้อกับโชติปาลมานพได้พบกันอีกไหม ในเมื่อท่านหนึ่งบรรลุคุณธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล แต่อีกท่านหนึ่งนั้นปรารถนาที่จะเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อาทิตตวรรค ฆฏิการสูตรที่ ๑๐ มีข้อความว่า
ฆฏิการพรหมกราบทูลว่า ภิกษุ ๗ รูป ผู้เข้าถึงพรหมโลกชื่อว่าอวิหา เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว มีราคะ โทสะ สิ้นแล้ว ข้ามเครื่องเกาะเกี่ยวในโลกได้แล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ก็ภิกษุเหล่านั้นคือผู้ใดบ้าง ผู้ข้ามเครื่องข้องเป็นบ่วงของมารที่ข้ามได้แสนยาก ละกายของมนุษย์แล้ว ก้าวล่วงซึ่งทิพยโยคะ ( คือ สังโยชน์เบื้องสูง ซึ่งผู้ที่ยังติดข้องในรูปฌานอรูปฌาน ก็ยังข้องอยู่ เป็นทิพยโยคะ ผู้ที่ละได้คือพระอรหันต์ )
ฆฏิการพรหมกราบทูลว่า
คือ ท่านอุปกะ ๑ ท่านผลคันฑะ ๑ ท่านปุกกุสาติ ๑ รวมเป็น ๓ ท่าน ท่านภัททิยะ ๑ ท่านขัณฑเทวะ ๑ ท่านพหุทันตี ๑ ท่านสิงคิยะ ๑ รวมเป็น ๗ ท่าน ท่านเหล่านั้นล้วนแต่ละกายของมนุษย์ ก้าวล่วงทิพยโยคะได้แล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ท่านเป็นคนมีความฉลาด กล่าวสรรเสริญภิกษุเหล่านั้น ผู้ละบ่วงมารได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นตรัสรู้ธรรมของใครเล่า จึงตัดเครื่องผูก คือ ภพเสียได้
ฆฏิการพรหมกราบทูลว่า
ท่านเหล่านั้นตรัสรู้ธรรมของผู้ใด จึงตัดเครื่องผูก คือ ภพเสียได้ ผู้นั้นไม่มีอื่นไปจากพระผู้มีพระภาค และธรรมนั้นไม่มีอื่นไปจากคำสั่งสอนของพระองค์ นามและรูปดับไม่เหลือในธรรมใด ท่านเหล่านั้นได้รู้ธรรมนั้นในพระศาสนานี้ จึงตัดเครื่องผูก คือ ภพเสียได้
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ท่านกล่าววาจาลึก รู้ได้ยาก เข้าใจให้ดีได้ยาก ท่านรู้ธรรมของใครจึงกล่าววาจาเช่นนี้ได้
ฆฏิการพรหมกราบทูลว่า
เมื่อก่อนข้าพระองค์เป็นช่างหม้อ ทำหม้ออยู่ในเวภฬิคชนบท เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา ได้เป็นอุบาสกของพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นผู้เว้นจากเมถุนธรรม เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เกี่ยวด้วยอามิส ได้เคยเป็นคนร่วมบ้านกับพระองค์ ทั้งได้เคยเป็นสหายของพระองค์ในกาลปางก่อน ข้าพระองค์รู้จักภิกษุ ๗ รูปเหล่านี้ ผู้หลุดพ้นแล้ว มีราคะ และโทสะสิ้นแล้ว ผู้ข้ามเครื่องข้องในโลกได้แล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
แน่ะ นายช่างหม้อ ท่านกล่าวเรื่องอย่างใด เรื่องนั้นได้เป็นจริงแล้วอย่างนั้นในกาลนั้น เมื่อก่อนท่านเคยเป็นช่างหม้อทำหม้ออยู่ในเวภฬิคชนบท เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา เป็นอุบาสกของพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นผู้เว้นจากเมถุนธรรม เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เกี่ยวด้วยอามิส ได้เป็นคนเคยร่วมบ้านกับเรา ทั้งได้เคยเป็นสหายของเราในปางก่อน
พระสังคีติกาจารย์กล่าวว่า
สหายเก่าทั้งสอง ผู้มีตนอันอบรมแล้ว ทรงไว้ซึ่งสรีระมีในที่สุด ได้มาพบกันด้วยอาการอย่างนี้
เวลาที่มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง ก็เป็นชาติสุดท้ายของทั้งสองท่าน คือ พระผู้มีพระภาคเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และฆฏิการพรหมบรรลุคุณธรรมเป็น พระอรหันต์แล้ว จึงได้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาค เพราะฉะนั้น การพบกันในชาติสุดท้ายที่เป็นพระอรหันต์ทั้ง ๒ ท่าน ก็เป็นการพบอย่างดี
ฆฏิการะช่างหม้อบรรลุคุณธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล จึงเกิดในพรหมโลก และบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ในพรหมโลก ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 189